สวัสดีครับเพื่อนๆ อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เกือบตาย เรื่องมีอยู่ว่าสิ้นปี2017 ผมได้กลับมาเคาท์ดาวน์ที่จ.สุรินทร์บ้านเกิด นึกอุตริอะไรไม่รู้เลยนัดแฟนเก่าไปดื่มที่ริมสระน้ำ(เพื่อนๆนึกออกมั้ย มันจะเป็นสระน้ำที่มีบันไดเป็นขั้นๆลงไป)นัดกันประมาณทุ่มกว่าๆ เขาก็บอกให้เราไปรอ เราก็ขี่รถมอไซต์ไปรอริมสระด้านในซึ่งมืดมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดกลัวอะไรเลยนะ เฉยๆมาก ด้วยความอยากเจออ่ะเนอะ แหะๆ รอได้สักพักเขาโทรมาบอกว่ารถมอไซ์ไฟมันเสียไม่กล้าขี่ไปให้เราไปรับหน่อย(เด็กแถวนี้จะรู้ดีว่า บางตำบลไม่มีไฟที่ถนนซึ่งจะมองไม่เห็นอะไรเลย มืดสนิท)โอเคเราก็ไปรับมันก็ไม่ไกลเท่าไร จากนั้นเราก็พากันขี่เข้าไปด้านในลึกสุด เดี๋ยวมีคนมาขัดจังหวะ😅 ไปถึงเราปวดฉี่ก็เลยยืนฉี่แบบไม่คิดอะไรตรงนั้นเลย จากนั้นก็จัดแจงเปิดเบียร์ที่ซื้อมาดื่มกัน นั่งไปนั่งมามือเขาอยู่ไม่นิ่งลูบคลำไปเรื่อย ไปๆมาๆเขาจับเราถอดเสื้อผ้าออกหมดเลย เหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน เราก็เลยปล่อยเลยตามเลย จากนั้นเขาหายไปพักนึงกลับมาพร้อมผ้าขาวม้าที่ไหนไม่รู้ เอามารองให้เรานอนลง ในระหว่างที่เขาซุกไซร้เราอยู่นั้น สายตาของเราเหลือบไปเห็น มีใบหน้าโผล่มาจากหลังต้นยูคาลิปตัส โผล่มาแต่หน้า เราตกใจสุดขีดหลับตาปี๋โผลกอดเขาแน่น เหมือนเขาจะรู้แหละ เลยชวนเรากลับ ในขณะที่เราใส่เสื้อผ้าไม่กล้าเงยหน้าไปมองที่ต้นยูคา เลยมองไปแวบนึงก็ยังอยู่ เรารีบก้มหน้า เกงนงเกงในไม่ใส่มันละ ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเอาละกัน โชคดีที่เป็นชุดนอนบางๆเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวเลยใส่ง่าย แต่งตัวเสร็จก็พากันขี่รถออกมาเลย โดยเราต้องไปส่งเขาก่อน จากนั้นเรากลับมาคนเดียว พอถึงไกล้จุดผ่านสระน้ำดังกล่าว เราบิดจนสุดปลอก(เป็นรถmsx)เราก็ก้มดูไมล์เมื่อไรมันจะขึ้นถึงร้อยสักที พร้อมพูดภาวนา"อีผ่ออีแหม่ โซยข่อยแน" เราก็มองไมล์ตลอดจนขึ้นถึง98-99รถคว่ำด้วยสาเหตุไปเหยียบอะไรสักอย่างแล้วเผลอกำเบรคหน้ามั้ง แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือ เหมือนล้อมันหยุดแล้วรถมันตีลังกาอ่ะ ขอย้อนความก่อนนะว่า เราโกหกที่บ้านว่าจะไปทำธุระในเมือง เลยใส่หมวกกันน็อคไปด้วยเพื่อความเนียน55 แต่หมวกนี่ล่ะช่วยชีวิตเราไว้ เพราะด้านหลังศีรษะฟาดที่พื้นเต็มๆจนหมวกแตก ร่างเราไถลไปกับพื้นตามแรงรถ ตอนนั้นรู้สึกว่าไถลนานมาก จนความรู้สึกแบบ หยุดสักทีๆ ไถลนานจนมีเวลาคิดว่า เราจะรอดมั้ย ถ้ารอดเราจะนอนรอตรงนี้หรือจะเอาไงดี😅 ถ้านอนรอคงไม่ดีแน่ จะลุกได้หรือเปล่า พอร่างหยุดไถล เรารีบลุกขึ้นดูว่าไหวมั้ย เท่านั้นแหละเราวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย ไม่มอง ไม่อะไรทั้งนั่นเหมือนหนีตายอ่ะ รถก็ปล่อย
เลย วิ่งเท้าเปล่าเจ็บเท้าก็เจ็บแต่ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด เพราะอีก500ม.จะถึงบ้านแล้ว
แต่คุณพระ โชคดีแท้ๆมีรถกระบะขับผ่านมาพอดี เขาเห็นเราเลยจอดถามว่าเกิดอะไรขึ้นน้อง ไปโดนอะไรมา เพราะตอนนั้นตัวเราถลอกปลอกเปิก เสื้อผ้าขาดวิ่นเกือบทั้งตัว ทั้งเลือดทั้งน้ำเหลืองไหลกระเซอะไปหมด เราก็บอก อีกนิดเดียวจะถึงบ้านแล้ว พี่ช่วยขับไปส่งหน่อย ตอนแรกเขาจะพาไปส่งโรงพยาบาลเลย เราบอกต้องไปบอกพ่อกับแม่ก่อน เป็นห่วงรถด้วย พอถึงบ้านเราก็ตะโกนบอก ช่วยด้วยรถคว่ำแต่พ่อนี่สิจะมาตีเราซ้ำเพราะห้ามแล้วไม่ฟัง ห้ามออกจากบ้านตอนค่ำมืด แถวนี้มันไม่เหมือนอยู่ชลบุรีนะ เราก็เลยบอกพ่อว่าให้ช่วยไปเอารถมาให้ก่อน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอข้ามในส่วนตอนที่ไปรพ.เลยนะครับ
เราก็สารภาพกับแม่ตรงๆว่าไปทำอะไรมา แต่บอกแค่ว่าไปนั่งดื่มเฉยๆ นอกเหนือจากนั้นไม่ได้บอก แหะๆ😅 แม่บอกตอนเช้าจะพาไปขอขมาเจ้าที่ พอตอนเช้าเราก็พาแม่ไปโดยมีพ่อเป็นคนขับรถให้ พอไปถึงเท่านั้นล่ะ แม่ก็ต่อว่า ทำไมเอ็งกล้ามารู้มั้ยแถวนี้ไม่มีใครกล้าผ่านตอนมืดๆหรอก ประมาณว่าแถวนี้มันขลัง อาจจะของเยอะอะไรสักอย่างนี่ล่ะ บังเอิญที่สุดคือ จุดที่เรารถคว่ำคือไกล้จุดทางเข้าไปข้างในสระ แถมตรงนั้นมีศาลตายาย ด้านในที่เราเข้าไปกันแล้วเรายืนฉี่ตรงนั้นมันมีท่อนไม้วางเรียงซ้อนกันอยู่ แต่ไม่รู้เป็นไม้อะไร ก็ขอขมาตรงจุดๆนั้นแหละ จากนั้นก็มาตามหารองเท้าและมือถือ ตอนกลางคืนที่วิ่งหนีเราหยิบมาข้างนึงแล้วกลับมาเอารถกับพ่อ เราก็ตามหามือถือนะแต่ไม่เจอจำไม่ได้ว่าตั้งเสียงหรือสั่น เราก็เอามือถือพ่อโทรหาแหละ แต่ไม่ได้ยิน ไม่เห็นแสงไฟเลย ถ้ามันคว่ำอยู่ ณตอนนั้นก็ต้องเห็นแสงวับๆแวมๆบ้างแหละ เพราะมันมืดมาก ต้องเห็นแสงง่ายอยู่แล้วก็เลยเดี๋ยวค่อยกลับมาหาตอนเช้า ก็อย่างที่เล่าไป ขอขมาเสร็จเราก็พาแม่มาช่วยหารองเท้าอีกข้างนึงและมือถือ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ อีกใจก็คิดว่ามีชาวบ้านมาเก็บไปแล้ว เราบอกแม่ว่ารองเท้าช่างมันเถอะแต่จะหามือถือให้เจอ แม่บอกไม่ได้อย่าเอาของๆเรามาทิ้งไว้แถวนี้ จากนั้นแม่เราก็พูดภาษาเขมร เราฟังไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไร คุณพระ!! บุญบาป บังเอิญหรือไม่ ไม่รู้ แต่เจอมือถือที่แปลกคือมันหงายอยู่ แล้วทำไมเมื่อคืนมองไม่เห็นอยู่ริมถนนพอดี หากรถขับมาคงเหยียบแน่โชคดีที่เจอก่อน เดินไปอีกนิดก็เจอรองเท้าอีกข้าง อยู่ข้างทางตรงป่าหญ้าแต่แปลกใจทำไมกระเด็นไปไกลจัง คงจะคว่ำแรงหน้าดู นั่นแหละก็เป็นบทเรียนต่างบ้านต่างเมืองอย่าไปหาทำพิเรนหรือทำอะไรไม่ดี หากวันนั้นไม่ได้สวมหมวกกันน็อคไป เราคงไม่มีโอกาสได้พิมพ์กระทู้อยู่ตอนนี้แน่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่อยู่รพ.เราก็เดินไปนู่นไปนี้ เพิ่งมารู้ตัวตอนทำแผลเสร็จ คลำๆดู อ้าว ตูดขาดนี่ แล้วนังพี่สาวที่พามาไม่บอกสักคำเลยหรอว่าตูดขาด ไม่ขาดธรรมดาคือขาดแบบโล่งกว้างเห็นแก้มก้นทั้งสองข้าง😭 ก็้เลยไปต่อว่า มีการบอกตูดแกก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนี่ คือเราควรจะดีใจใช่มั้ยที่ตูดไม่น่าเกลียด
ประมาณเดือนเมษายน2018เราก็มีแฟนใหม่นะ อีคุณแฟนนี่ก็พิเรนใช่ย่อย ขากลับจากงานวัดเห็นบ้านร้างจะพาเราเข้าไปแวะซัมซิงเพราะขี้เกียจเปิดห้อง ตอนแรกเราก็ยอมเข้าไปนะ แต่นึกถึงเหตุการณ์ที่สุรินทร์เลยกลับเหอะ น่ากลัว อีแฟนก็บอก เออน่ากลัวจริงว่ะ เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แฟนเป็นผู้ชาย
ประสบการณ์เกือบตายเพราะความ(want)
แต่คุณพระ โชคดีแท้ๆมีรถกระบะขับผ่านมาพอดี เขาเห็นเราเลยจอดถามว่าเกิดอะไรขึ้นน้อง ไปโดนอะไรมา เพราะตอนนั้นตัวเราถลอกปลอกเปิก เสื้อผ้าขาดวิ่นเกือบทั้งตัว ทั้งเลือดทั้งน้ำเหลืองไหลกระเซอะไปหมด เราก็บอก อีกนิดเดียวจะถึงบ้านแล้ว พี่ช่วยขับไปส่งหน่อย ตอนแรกเขาจะพาไปส่งโรงพยาบาลเลย เราบอกต้องไปบอกพ่อกับแม่ก่อน เป็นห่วงรถด้วย พอถึงบ้านเราก็ตะโกนบอก ช่วยด้วยรถคว่ำแต่พ่อนี่สิจะมาตีเราซ้ำเพราะห้ามแล้วไม่ฟัง ห้ามออกจากบ้านตอนค่ำมืด แถวนี้มันไม่เหมือนอยู่ชลบุรีนะ เราก็เลยบอกพ่อว่าให้ช่วยไปเอารถมาให้ก่อน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราก็สารภาพกับแม่ตรงๆว่าไปทำอะไรมา แต่บอกแค่ว่าไปนั่งดื่มเฉยๆ นอกเหนือจากนั้นไม่ได้บอก แหะๆ😅 แม่บอกตอนเช้าจะพาไปขอขมาเจ้าที่ พอตอนเช้าเราก็พาแม่ไปโดยมีพ่อเป็นคนขับรถให้ พอไปถึงเท่านั้นล่ะ แม่ก็ต่อว่า ทำไมเอ็งกล้ามารู้มั้ยแถวนี้ไม่มีใครกล้าผ่านตอนมืดๆหรอก ประมาณว่าแถวนี้มันขลัง อาจจะของเยอะอะไรสักอย่างนี่ล่ะ บังเอิญที่สุดคือ จุดที่เรารถคว่ำคือไกล้จุดทางเข้าไปข้างในสระ แถมตรงนั้นมีศาลตายาย ด้านในที่เราเข้าไปกันแล้วเรายืนฉี่ตรงนั้นมันมีท่อนไม้วางเรียงซ้อนกันอยู่ แต่ไม่รู้เป็นไม้อะไร ก็ขอขมาตรงจุดๆนั้นแหละ จากนั้นก็มาตามหารองเท้าและมือถือ ตอนกลางคืนที่วิ่งหนีเราหยิบมาข้างนึงแล้วกลับมาเอารถกับพ่อ เราก็ตามหามือถือนะแต่ไม่เจอจำไม่ได้ว่าตั้งเสียงหรือสั่น เราก็เอามือถือพ่อโทรหาแหละ แต่ไม่ได้ยิน ไม่เห็นแสงไฟเลย ถ้ามันคว่ำอยู่ ณตอนนั้นก็ต้องเห็นแสงวับๆแวมๆบ้างแหละ เพราะมันมืดมาก ต้องเห็นแสงง่ายอยู่แล้วก็เลยเดี๋ยวค่อยกลับมาหาตอนเช้า ก็อย่างที่เล่าไป ขอขมาเสร็จเราก็พาแม่มาช่วยหารองเท้าอีกข้างนึงและมือถือ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ อีกใจก็คิดว่ามีชาวบ้านมาเก็บไปแล้ว เราบอกแม่ว่ารองเท้าช่างมันเถอะแต่จะหามือถือให้เจอ แม่บอกไม่ได้อย่าเอาของๆเรามาทิ้งไว้แถวนี้ จากนั้นแม่เราก็พูดภาษาเขมร เราฟังไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไร คุณพระ!! บุญบาป บังเอิญหรือไม่ ไม่รู้ แต่เจอมือถือที่แปลกคือมันหงายอยู่ แล้วทำไมเมื่อคืนมองไม่เห็นอยู่ริมถนนพอดี หากรถขับมาคงเหยียบแน่โชคดีที่เจอก่อน เดินไปอีกนิดก็เจอรองเท้าอีกข้าง อยู่ข้างทางตรงป่าหญ้าแต่แปลกใจทำไมกระเด็นไปไกลจัง คงจะคว่ำแรงหน้าดู นั่นแหละก็เป็นบทเรียนต่างบ้านต่างเมืองอย่าไปหาทำพิเรนหรือทำอะไรไม่ดี หากวันนั้นไม่ได้สวมหมวกกันน็อคไป เราคงไม่มีโอกาสได้พิมพ์กระทู้อยู่ตอนนี้แน่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประมาณเดือนเมษายน2018เราก็มีแฟนใหม่นะ อีคุณแฟนนี่ก็พิเรนใช่ย่อย ขากลับจากงานวัดเห็นบ้านร้างจะพาเราเข้าไปแวะซัมซิงเพราะขี้เกียจเปิดห้อง ตอนแรกเราก็ยอมเข้าไปนะ แต่นึกถึงเหตุการณ์ที่สุรินทร์เลยกลับเหอะ น่ากลัว อีแฟนก็บอก เออน่ากลัวจริงว่ะ เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้