ไม่ต้องไปเรียนกับพีทเลือดบวกหรอกครับ มานี่ ผมจะสอน "สดอย่างไรให้ปลอดภัย" ฟรีๆ

***********คำเตือน
"กระทู้นี้มีความสุ่มเสี่ยงในการนำเสนอมาก อยากให้ทุกคนได้อ่านข้อความทั้งหมดก่อนสรุป และทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากสุดครับ รวมถึงคิดวิเคราะห์ด้วยครับ อยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ดี มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่อ่านไม่ได้ศัพจับไปกระเดียด หรือนำไปใช้ผิดๆ นะครับ"

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

       สวัสดีครับ หลายท่านที่เข้าคงสงสัยว่า เอ๊ะ ไม่ใส่ถุงยางจะปลอดภัยด้วยหรอ ก่อนอื่นต้องบอกว่า ทางการแพทย์ไม่มีอะไรที่100% เพราะฉะนั้น ผมจะเปลี่ยนคำว่าปลอดภัย เป็นเสี่ยงน้อยที่สุดแทนนะครับ 

 โดยที่ผมจั่วหัวกระทู้แบบนั้น เพื่อต้องการจะอิงกระแส และเรียกแขกโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่นิยมมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช่ถุงยางที่แฝงตัวอยู่ในสังคนเราเป็นล้านๆคน รวมถึงคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆมาช่วยเกลาเนื้อหาให้ผมด้วย

บทความต่อไปนี้ ไม่ใช่บทความวิชาการ ไม่ใช่บทความทางการแพทย์ แต่เป็นเพียงกระทู้นึงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมนะครับ บทความนี้ได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่จากบทความเก่าที่หลายๆท่านได้ติติงถึงจุดที่ผิดพลาด หรือการนำเสนอที่ไม่ดี ท่านสามารถอ่านบทความเก่าได้ที่ช่องสปอยคห.21ครับ สุดท้ายบทความนี้ไม่ได้พูดถึงการคุมกำเนิดนะครับ พูดในแง่ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือ STD ล้วนๆเลยครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก่อนอื่นมาดูในหัวข้อของ *HIV* กันก่อนครับ  พื้นฐานโรคนี้ทุกคนน่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว ทีนี้จะพูดถึงว่าประเด็นว่า เราจะสดได้จริงๆหรอ?

เรามาดูทางด้านคนเลือดบวกก่อนครับ

ปัจจุบันนั้นมีทฤษฎี  U=U ครับ ที่องค์กรต่างๆทั่วโลกให้การยอมรับเพราะมีวิจัยเรื่องนี้ออกมาแล้วสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้  แนะนำลิ๊ง(https://www.redcross.or.th/news/information/4665/)

U=U คืออะไร  U=U คือ Undetectable = Untransmittable แปลได้ว่า ผู้ป่วยเลือดบวกที่ตรวจไม่พบเชื้อ HIV ในเลือด เนื่องจากมีปริมาณเชื้อในเลือดน้อยมาก (ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่มีเชื้อนะ ยังมีอยู่) แต่จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้อีกคนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยโดยไม่ใช้ถุงได้
ทีนี้จะทำให้คนที่เป็น HIV ตรวจไม่พบเชื้อได้ยังไงครับ คำตอบก็คือ การทานยาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ อย่างน้อย6 เดือนขึ้นไป รวมถึงการไม่ไปรับเชื้อเพิ่ม และทำสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงครับ 

****แต่ U=U ยังมีจุดอ่อนที่คนไม่ค่อยรู้กันอยู่ครับ นั่นคือ 
1. ถึงแม้จะตรวจไม่พบเชื้อ HIV ในเลือด แต่5%ยังสามารถตรวจพบในน้ำอสุจิได้ครับ นั่นหมายความว่ายังมีโอกาสแพร่เชื้อได้
2.โอกาสเกิด Blip (อ่านเพิ่มเติมได้ในคห.1)  ซึ่งอันตรายเพราะทำให้ส่งผ่านเชื้อดื้อยาได้ อาจทำให้การรักษา HIV ต้องใช้ยาต้านมีราคาที่สูงขึ้นไปอีก

ทีนี้มาดูทางคนเลือดลบกันบ้าง

และปัจจุบันมีการเข้ามาของยา PrEP และ PEP ครับ 
PrEP คือยาสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อทานก่อนที่จะไปเสี่ยงได้รับเชื้อ มันจะมีวิธีการทานยาที่ถูกต้องของมันอยู่ และมีผลข้างเคียงด้วย ถ้าสนใจลองศึกษาหาข้อมูลดูเพิ่มเติม คลิ้ก https://ppantip.com/topic/39613252/comment37
ส่วน PEP คือทานหลังจากที่เสี่ยงรับเชื้อมาแล้ว

ทีนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ PrEP กัน ปัจจุบันมีงานวิจัยที่บอกว่า PrEP มี%การติดHIVน้อยกว่าการใช้ถุงยางนะครับถ้าทานอย่างถูกต้อง ซึ่งก็ไม่ 100% ถุงยางก็ไม่ 100% ครับ 
ซึ่งการจะทาน PrEP ให้ถูกต้องได้อย่างไร ผมแนะนำให้หาข้อมูลเพิ่มเติมหรือเข้าไปปรึกษาคุณหมอเพื่อรับยาได้เลยครับ คุณจะต้องมีการตรวจเลือดเป็นประจำ (ตามไกด์ไลน์ทุก3เดือน) เพื่อเช็ค STD ต่างๆและค่าตับค่าไตจากผลข้างเคียงของยาครับ
หากคุณหลุดทานยา PrEP เมื่อไหร่ปั๊บ คุณก็ต้องใช้ถุงยางทันทีเลยครับ

อันนี้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง PrEP และถุงยาง จากคุณPhytocosmedครับ 

ความปลอดภัยของการใช้ยา PrEP
ของกรม ควบคุมโรค ตี 96%
ของสภากาชาด ตี 99%+
อ้างอิงในงาน Bangkok International symposium 2020 ที่จัดไปแล้ว

ความปลอดภัยของการใช้ถุงยาง
รามา ตี 98%
สภากาชาด ตี 70-80%
(ซึ่งถุงยางถ้าใช้ถูกต้องจริง และนับแค่จุดที่คลุมอวัยวะเพศ ควรได้เกือบเต็ม 100%)

*ถึงแม้ว่า PrEP จะมีประสิทธิภาพที่ดีจริง  แต่กระนั้น ไม่ควรมองว่า PrEP เป็นวิธีแรกที่จะใช้ป้องกัน HIV แต่ให้มองว่าเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ เมื่อทานควบคู่ไปกับ การป้องกันวิธีอื่นๆ ด้วยครับ 

ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการพิจารณาเท่านั้น

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทีนี้มาดูเรื่องของ *STD*หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับ เริม หูดต่างๆ นี่แหละครับที่จะเป็นปัญหา ซึ่งยาPrEPไม่สามารถป้องกันตรงนี้ได้
"ถุงยาง" จึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องพวกนี้อยู่

แต่จะว่าไปแล้ว โรคพวกนี้อาจจะไม่ได้มีความสำคัญเท่า HIV นัก เนื่องจากส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือบางโรคก็มีวัคซีนป้องกันแล้ว (แนะนำให้ทุกคนไปฉีดเพื่อป้องกันด้วยนะครับ) แต่ก็ไม่ควรประมาทเพราะบางโรค เช่น ไวรัสตับอักเสบซี มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง รักษาหายขาดคือไม่มีเชื้อประมาณ90% แต่ต่อให้ไม่มีเชื้อแล้ว ก็อาจตายได้จาก complication ของเชื้อภายหลังได้ เช่น ตับวาย มะเร็งตับ เป็นต้นครับ

ในปัจจุบันมีคนกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะทาน PrEP เพียงอย่างเดียวและไม่ใช้ถุงครับ มันอาจจะไม่เพิ่มอัตราการเกิด HIV แต่มันทำให้อัตราการเกิดโรค STDต่างๆมีมากขึ้นในช่วงหลังๆถ้าได้ตามข่าวกัน ทำให้หมอหรือนักวิชาการบางท่านในแวดวงนี้ รู้สึกไม่เห็นด้วยกับการนำยา PrEP มาใช้ครับ

นอกจากนี้ ยังมีร้านยาที่แอบขายยา PrEP อยู่ด้วย แล้วคนก็ซื้อกินกันเอง โดยที่ไม่ได้ตรวจเลือดใดๆทั้งสิ้น พวกนี้อันตราย ยาPrEPถ้ากินโดยไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อแล้วจะเกิดการดื้อยาขึ้นครับ

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณอยากปลอดภัยจาก STD+HIV 
ที่ดีที่สุดคือแนะนำ"การใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP"จะเสียงน้อยที่สุดครับ 
ที่ดีรองลงมาก็ คือ ถุงยางอย่างเดียว เป็นมาตรฐานของการป้องกันโดยทั่วไป
และสุดท้ายถ้าคุณเลือกที่จะไม่ใช้ถุงยางเพราะรสนิยมหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยคุณก็ควรจะใช้ยา PrEP ครับ แต่การใช้ PrEP เพียงอย่างเดียว ต้องคำนึงถึง STD อื่นๆ ด้วย ดังที่บอกไปแล้วว่า ยาPrEPไม่ได้ช่วยป้องกันSTD อื่นๆนะครับ แต่อย่างน้อย ย่อมดีกว่าการไม่เลือกป้องกันวิธีใดๆเลยครับ 
ที่สำคัญคือ หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง คุณต้องหมั่นตรวจเลือดเป็นประจำครับ รู้เร็วรักษาเร็ว เป็นเรื่องที่ดีครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทีนี้เราก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์กันแล้ว "สดอย่างไรจึงจะเสี่ยงน้อยที่สุด" มันมีเงื่อนไขมากมายหลายประการของมันอยู่ครับ
**เงื่อนไขนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน อาจจะเหมาะสำหรับคู่รักคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเลือดบวกส่วนอีกฝ่ายเป็นลบ หรือผู้ที่แพ้ถุงยาง แพ้เจลในถุงยาง หรือผู้ที่มีรสนิยมไม่ใส่ถุงยางครับ
1.หากผู้ที่มี HIV คุณต้องได้รับยาต้านจนกระทั่งคุณตรวจเลือดตรวจอสุจิไม่พบเชื้อ HIV นั้นคือเข้าสู่ทฤษฎี U=U โอกาสที่คุณจะแพร่เชื้อให้อีกฝ่ายน้อยมาก แต่ให้ระวังเรื่องของ Blip ครับ
2.ผู้ที่มีเลือดลบ ต้องมีการใช้ ยา PrEP อย่างถูกต้องครับ จะช่วยลดการติดเชื้อ HIVจากอีกคนได้ถึงเกือบ100%
3.ทั้งคู่ต้องผ่านการตรวจ STD อื่นๆ มาอย่างครบถ้วนแล้วครับ และต้องไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นในระหว่างที่คุณกำลังจะเริ่มการไม่ใช้ถุงยาง
4.ทั้งคู่ควรมีพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ไม่แนะนำการมั่วsex
5.ควรมีความจำเป็นที่จะไม่ใช้ถุงยางจริงๆ ถึงเลือกวิธีนี้ครับ
6.สุดท้ายถ้าทำตามเงื่อนไขทั้งหมดไม่ได้ แนะนำให้กลับไปใช้ถุงยางครับ
จะเห็นว่าถ้าคุณจะทำตามเงื่อนไขทั้งหมดนี้ คุณจะสามารถสดให้เสี่ยงน้อยที่สุดได้ แต่คุณจะต้องเข้าสู่ระบบของสาธารณะสุขครับ

******หากใครสนใจจริงๆเรื่องนี้ แนะนำหาความรู้เพิ่มเติมหรือปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางเลยครับ อย่าเพิ่งเชื่อกระทู้นี้เพียงกระทู้เดียวครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จาก เฟสของแพทยสภา แนะนำตามไปอ่านให้หมดยิ่งดีครับ https://www.facebook.com/thaimedcouncil/posts/2477711302493760

4. การที่มีผู้แนะนำไม่ให้ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มคนไข้ที่เป็น U=U ท่านเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร
.
ความจริง คำถามข้อนี้ได้ตอบไปแล้วในคำถามก่อนหน้านี้ (ข้อ 3) ขอย้ำอีกครั้งว่า ข้อเท็จจริงเรื่อง U=U ไม่ได้เกี่ยวกับการแนะนำว่าไม่ต้องใช้ถุงยางอนามัยแล้วถ้า U (undetectable) เพียงแต่บอกว่าถ้าเป็น U (undetectable) แล้ว จะไม่ใส่ถุงยางอนามัยเพราะไม่มีถุงยาง ถุงยางแตก ก็ไม่เป็นไร หรืออยากมีลูกตามช่องทางธรรมชาติ ก็ทำได้ ไม่ต้องเป็นกังวล หรือโทษตัวเอง จะได้มีความมั่นใจในชีวิตมากขึ้น ชีวิตครอบครัวจะได้มีความสุขมากขึ้น ส่วนการตัดสินใจจะใส่หรือไม่ใส่ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม และการตัดสินใจและการยินยอมร่วมกันของคน 2 คนที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน ว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เป็นห่วงอะไร เช่น เป็นห่วงเรื่องตั้งครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆหรือไม่
.
เพราะการที่เป็น U (undetectable) ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ถ้าไม่ใส่ถุงยางอนามัย ดังนั้น ข้อเท็จจริง (fact) ของ U=U จึงไม่ใช่เป็นตัวชี้ว่าไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัย หรือพูดสั้นๆคือ
.
“U equals to U but does not equal to condomless sex”

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

******หากมีเพิ่มเติมแก้ไขตรงไหน บอกมาได้เลยครับ เด๋วจัดให้

สุดท้ายขอแปะquote จาก คุณPhytocosmed หน่อยครับ
"การป้องกันทุกประเภท มันมีข้อดี ข้อด้อย มีข้อผิดพลาดได้ เช่นสวมถุง ผิดขนาด สวมไม่ไล่อากาศ ใช้ถุงผิดวิธี ถุงเสื่อมคุณภาพ มันก็ไม่ได้ป้องกันดี
จะPrEP+ถุง จะถุงอย่างเดียว หรือใครชอบสด PrEPอย่างเดียว  มันไม่ใช่ปัญหา  ปัญหาคือ  ป้องกันยังไงให้ถูกวิธี และถูกต้อง  ต่อให้ใช้คู่ทั้งPrEP และถุง  ถ้าใส่ถุงผิดขนาด ถุงแตก กินPrEP กินๆหยุดๆ มันก็เสี่ยงทั้งนั้นละครับ แค่จะมากหรือน้อย"

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณผู้ที่ช่วยแก้เสริมเติมแต่งให้กระทู้นี้มันดียิ่งๆขึ้นไปครับ 
Phytocosmed
สมาชิกหมายเลข 1218304 
kokonoga 
สมาชิกหมายเลข 1075737
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่