กระทู้นี้อยากแชร์ประสบการณ์ การโดนบูลลืที่เคยเจอมา ตั้งแต่เด็กจนโต
เนื่องด้วยเราเป็นคนที่เกิดมาผิวคล้ำ ปานเต็มตัว ใส่ตาปลอม (ทำให้ตาดูไม่ปกติ) จากกระทู้ก่อนหน้าที่เคยเขียนเรื่องป่วยไปแล้วนั้น เลยทำให้ดูเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งตอนนั้นมีคนถึงขั้นบอกเลยว่า “หน้าเหมือนผี”
ซึ่งพี่ชายจะผิวกาแฟนม พี่สาวนี่ผิวนมสดเลย ตกมาที่เราที่ผิวคล้ำ น่าจะได้จากปู่มาเยอะ แล้วพิการแต่เด็ก ตอนเด็กๆ วลาไปไหนมาไหน ก็จะโดนเปรียบเทียบกับพี่ๆ ว่าไม่ใช่ลุกพ่อแม่ บางคนก็มองว่าเป็นเด็กรับใช้ในบ้านก็มี ซึ่งตอนเด็กๆ นั้น เวลาใครล้อ หรือใครพุดว่า “ทำไมเด็กคนนี้หน้าตาเป็นแบบนั้น แบบนี้” เราก็จะสวนไปในทันที “ยุ่งไร มีปัญหามากหรือไง” ยอมรับว่าโกรธมาก ทำไมต้องว่าเราด้วยอ่ะ เราไม่ได้ไปทำอะไรใครนะ
เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเรารุ้สึกว่าทุกครั้งที่เราโกรธ เราจะโมโห เราจะหงุดหงิด ใจเราขุ่นมัวมาก และจนกระทั่งอยู่ประมาณ ม.ปลาย เริ่มรู้สึกว่า ถ้าเราไปเดือดร้อนกับคำพูดเหล่านั้น คนที่ทำร้ายเราด้วยคำพูด เขาจะยิ่งสนึกปาก การสวนกลับไป คือการทำให้ภารกิจเขาสำเร็จ ทำไมเราต้องเป็นทุกข์เพราะคำพูดของคนอื่นด้วยล่ะ ตั้งแต่นั้นมาก็จะเริ่ม ไม่สนใจกับคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังดดนล้ออะไรแบบนี้มาตลอด โดนมองหัวจรดเท้า และก็นั่งหัวเราะกัน
มาถึงจุดที่เราคิดว่า เป็นการโดนบูลลี่ หรือ อาจจะเรียกอย่างอื่นก็ได้กันดีกว่า ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปีสุดท้ายก็ต้องมีฝึกงาน ซึ่งต้องมีการออกกองและเข้าสตูดิโอ (ขอสงวนชื่อนะคะ) เนื่องจากเพื่อนสนิทเราที่ฝึกงานด้วยกัน เป็นพริตตี้ (และเคยรู้จักกับพี่คนนี้ที่ชวนมาฝึกงาน) ก็เลยชวนเรามาฝึกงานด้วย (ข้อแตกต่างมันมีล่ะ) ก่อนหน้าที่ไปฝึกงาน เพื่อนเราก็พาเราไปรู้จักกับพี่คนนี้ก่อน เหมือนให้รู้จักก่อนไปเริ่มงานจริง วินาทีแรกที่พี่เขาเจอเรา ขอใช้ชื่อว่า อ. นะคะ
อ. : เราชื่ออะไรนะ
เรา : ___ ค่ะ
อ. : พิการด้วยใช่ไหม ดูก็รู้ว่าใส่ตาปลอม เป็นไรมาล่ะ พี่เคยเห็นคนพิการเยอะพี่ดูออก (ตาก็มองไปที่เพื่อนเราตลอด)
เรา : ใช่ค่ะ
หลังจากที่เจอกันไปแล้ว ก็เข้าสู่การฝึกงานวันแรก (บอกก่อนว่าที่นี้ไม่ต้องมาฝึกทุกวัน นอกจากว่าโดนเรียกให้มาออฟฟิศ ออกกอง และไปสตูดิโอ) ซึ่งในนั้นก็จะมีพี่เลี้ยงคนหนึ่งไว้คอยดูแลพวกเรา การต้อนรับของที่นั้นค่อนข้างดี จนตอนที่มาถึงเราแล้วบอกว่า
อ. : น้องคนนี้ชื่อ __ อย่าไปล้อมันมากนะ มันเป็นแบบนี้ก็แย่พอล่ะ
เรา : ค่ะ หวัดดีค่ะพี่ๆ
จะบอกว่า พี่คนนั้นกับตากล้อง + ตัดต่อ เขาจะป็นคู่หูดูโอ้ ในการมาล้อเรามาก คือต้องมาคู่กัน เนื้อหาที่เขาล้อ ก็จะเป็นอะไรเดิมๆ ทุกครั้งที่ออกกอง หรือไปสตูดิโอ คำพูดแบบ
กู ... แบบนี้ค่ะ
อ. : เห้ย (ตะโกนเรียกเรา) อย่าทำตาหลุดมานะ ถ้าหลุดมากุกระทืบตาปลอมแตกเลยนะ (พร้อมเรียกตากล้องให้ล้อ ต่อและหัวเราะ)
เรา : (หนูก็จะตะดกนกลับไปว่า) แหมพี่ มันไม่ได้หลุดง่ายๆ แบบนั้นม่ะ ทำเป็นกลัวไปได้
อ. : กูไม่รู้ กูบอกไว้ก่อน ชอบทำตัวประหลาด ...
เรา : ??
จนกระทั่งวันหนึ่งไปฝึกงาน ที่ รพ. ๆ นึงเป็น รพ. ที่ให้คนตาบอดมีงานทำ และช่วงถ่ายทำ เราก็ดดนล้อเรื่องเดิมๆ ทั้งหน้าตา ผิว และตาปลอม จนหัวหน้า รพ. ของที่นั่นยืนกางร่มข้างเรา เขากอดและถามว่า
พยบ. : หนูเป็นอะไรหรอลูก ทำไมเขาถึงล้อหนุกันแรงขนาดนั้น
เรา : อ่อ หนุเป็นแบบนี้ๆๆ ค่ะ (บอกพยาบาลไป)
พยบ. : ไม่เป็นไรนะ ช่างเขา ปล่อยเขาไป
เรา : ไม่เป็นไรค่ะ ชินแล้ว
หลังจากออกกองเสร็จ ก้ไปทานข้าวกัน กับทีมที่ รพ. ช่วงเย็น หลังจากทานข้าวเสร็จก็นั่งคุยกับกับทีม ที่ รพ. และคู่ดูโอ้ ก็เดินมา ยืนตรงหน้าเรา
คู่ดูโอ้ : ทุกคน (ทุกคนหันมา) ดูนะครับ ถ้าเลือกเด็กฝึกงาน ถ้าเอาออกงานต้องเป็นคนนี้ (ชี้ไปทางเพื่อนเรา) แต่ถ้าพวกใช้แรงงานแบบหนักๆ ต้อง (ไอเด็กคนนี้ครับ) มันเป็นเด็กประหลาด ชอบเจอด่า เพราะเวลาด่ามันๆ จะมีความสุข (และดุโอ้ ก็หัวราะลั่น) ดูมันสิครับ (**อันนี้ถามทุกคนว่าสายตาของทีม รพ. จะมองและสงสารเราหรือคู่หูดูโอ้ค่ะ)
เรา : อ้าว พี่เคยถามหนูด้วยหรอ
(จนกระทั่งพิธีกรภาคสนาม พี่เขาจะนั่งวิลแชร์ นั่งข้างเรายกมือไหว้และบอกว่า)
พิธีกรภาคสนาม : พวกพี่หนุไหว้ล่ะ อย่าไปล้อ ว่าน้องมันนักเลย เดี๋ยวเวรกรรมมันจะตกมาที่ลุกหลานพี่นะ
คู่ดูโอ้ : แกคิดว่าคนอย่างพี่จะให้ คนแบบมันเกิดมาได้หรอ อายคนอื่นตายห่า ถ้ารู้จะเกิดมาเป็นแบบมัน พี่ไม่ให้เกิดมาหรอก (หัวเราะกันต่อ) หลังจากบทสนทนาที่นี้จบลง ก็ไปเดินเล่นตลาด โดยมีพี่เลี้ยงไปด้วย เวลาใครถามมาทำอะไรพี่เลี้ยงก็จะบอกกับคนขายของแถวนั้นว่า
พี่เลี้ยง : เนี่ยป้า เด็กฝึกงาน บริษัทหนู คนนี้สวยออกงานได้ (ดึงเพื่อนไป) และดึงเราส่วนนี้ เป็นเด็กเอ๋อ ใช้อะไรก็ทำ
**ปล. อยากบอกว่าเพื่อนเราก็พูดสวน ทีมเหมือนกันนะคะว่าทำไมถึงพูดกับเราไม่ดี ซึ่ง พี่เจ้าของจะค่อนข้างยอม เพราะพี่เจ้าของชอบเพื่อนเราอยู่ แต่เพื่อนเราไม่เล่นด้วย แต่ขอไม่พุดถึงจุดที่เพื่อนสวนไปนะคะ
หลังจากที่จบ . ภารกิจที่ รพ. อีกอาทิตย์ ก็ต้องมาที่สตูดิโอ จนอัดรายการเสร็จ นั่งรถตู้กลับออฟฟิศ และแล้ว .... พี่ตากล้อง ที่นั่งหน้ารถตู้ก็พูดออกมา (เนื่องจากรถติดมาก และรถจอดท้ายรถกระบะ ที่มีคนนั่งอยู่บนนั้น)
พี่ตากล้อง : เห้ย .. ทุกคนดุดิ เด็กนั่งท้ายกระบะ หน้ามันเหมือน ไอ้___ (หมายถึงเรา) เลย โห ไม่คิดเลยว่ะ
พอพูดจบ พี่อ. ก็พูดต่อ
พี่อ. : เออ หว่ะ เห้ย (พร้อมหันหลังมา) พูดกับเราและบอกว่า นี่พี่จะบอกอะไรให้นะ เคยได้ยินม่ะ เวลาคนเขาทำรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ดังๆมา เขาหล่อเสร็จเขาก็จะทำลายทิ้ง ไม่มีใครเลียนแบบได้ แต่นี่ คือพี่ไม่คิดว่า จะมีคนที่เหมือน มีอยู่ในโลกอีก เป็นพี่นะ ไม่หเกิดมาให้อายคนอื่นหรอกว่ะ ทำลายตั้งแต่จะรู้ว่าเป็นแล้ว ...
นั้นคือการร้องไห้ ครั้งแรกที่โดนบูลลี่มาตลอดการฝึกงาน 4 เดือน คือดดนเยอะมาก แต่รอบนี้ร้องไห้ เพราะว่า ตอนที่แม่ท้อง หมอก้บอกว่าเราจะเกิดมาเป็นยังไง แต่เนื่องด้วย ที่บ้านเป็นคาทอลิค พ่อบอกว่า ยังไงก็จะเก็บลูกไว้ เพราะพระเจ้าให้มาแล้ว นั้นคือคำพูดที่ลอยมาในความคิด จึงทำให้เราร้องไห้ออกมา) และทุกคนบทรถก็หัวเราะ ยกเว้นเพื่อนเรา จนพี่ช่วงแต่งหน้าที่เป็นสาวประเภทสองหันมาเจอเราร้องไห้ และบอกกับทุกคนว่า “พี่ๆ ค่ะ น้องร้องไห้แล้วนะ”
พี่ อ. : จะร้องทำไม แค่ล้อเล่น อย่ามาดราม่า (และก็หันไปพุดใส่ตากล้องว่า กูบอกแล้วว่าอย่าไปล้อมัน ก็รู้มันเป็นยังไง ยังจะไปล้อมันอีก แค่นี้มันก้แย่แล้ว) จนพี่อีกคน ที่เป็นคนที่พี่ อ.ชอบอีกคนที่มาช่วยงานด้วยบอกว่า “พี่จะพอได้หรือยัง” พี่ อ. ก็เลยเงียบ
พอมาถึงออฟฟิศ ทุกคนเงียบไม่มีใครคุยกับเราเฉย เหมือนเราผิด ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้อะไรแล้ว ก็เฉยๆ ไม่โกรธไม่อะไร ก็ลากลับบ้านกลับเพื่อน พี่เลี้ยงก้โทรมา ....
พี่เลี้ยง : นี่.. ทำไมเราต้องมาร้องไห้ จะดราม่าทำไม
เรา : อ้าว!พี่ ก็หนูโดนล้อ หนูนึกถึงพ่อแม่ หนุผิดอะไรอ่ะ
พี่เลี้ยง : เขาล้อเล่นกันนะ ทีหลังไม่ต้องมาทำแบบนี้นะ
เรา : หนูโดนล้อ จนจะฝึกงานจบอยู่แล้วนะพี่ โอเคงั้นหนุขอโทษ ที่ร้องไห้ตะกี้นะคะ
พี่เลี้ยง : รู้ไว้นะ เขาล้อเล่นกัน แยกแยะให้ได้ด้วย
.... ยืนงง ในดงลาดพร้าวแปป 5555
"ถ้าพี่รู้จะมีลูกออกมาเป็นแบบแก พี่ไม่ให้เกิดมาหรอก" ปสก.โดนบูลลี่ จากคนที่โดนล้อจนชิน
เนื่องด้วยเราเป็นคนที่เกิดมาผิวคล้ำ ปานเต็มตัว ใส่ตาปลอม (ทำให้ตาดูไม่ปกติ) จากกระทู้ก่อนหน้าที่เคยเขียนเรื่องป่วยไปแล้วนั้น เลยทำให้ดูเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งตอนนั้นมีคนถึงขั้นบอกเลยว่า “หน้าเหมือนผี”
ซึ่งพี่ชายจะผิวกาแฟนม พี่สาวนี่ผิวนมสดเลย ตกมาที่เราที่ผิวคล้ำ น่าจะได้จากปู่มาเยอะ แล้วพิการแต่เด็ก ตอนเด็กๆ วลาไปไหนมาไหน ก็จะโดนเปรียบเทียบกับพี่ๆ ว่าไม่ใช่ลุกพ่อแม่ บางคนก็มองว่าเป็นเด็กรับใช้ในบ้านก็มี ซึ่งตอนเด็กๆ นั้น เวลาใครล้อ หรือใครพุดว่า “ทำไมเด็กคนนี้หน้าตาเป็นแบบนั้น แบบนี้” เราก็จะสวนไปในทันที “ยุ่งไร มีปัญหามากหรือไง” ยอมรับว่าโกรธมาก ทำไมต้องว่าเราด้วยอ่ะ เราไม่ได้ไปทำอะไรใครนะ
เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเรารุ้สึกว่าทุกครั้งที่เราโกรธ เราจะโมโห เราจะหงุดหงิด ใจเราขุ่นมัวมาก และจนกระทั่งอยู่ประมาณ ม.ปลาย เริ่มรู้สึกว่า ถ้าเราไปเดือดร้อนกับคำพูดเหล่านั้น คนที่ทำร้ายเราด้วยคำพูด เขาจะยิ่งสนึกปาก การสวนกลับไป คือการทำให้ภารกิจเขาสำเร็จ ทำไมเราต้องเป็นทุกข์เพราะคำพูดของคนอื่นด้วยล่ะ ตั้งแต่นั้นมาก็จะเริ่ม ไม่สนใจกับคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังดดนล้ออะไรแบบนี้มาตลอด โดนมองหัวจรดเท้า และก็นั่งหัวเราะกัน
มาถึงจุดที่เราคิดว่า เป็นการโดนบูลลี่ หรือ อาจจะเรียกอย่างอื่นก็ได้กันดีกว่า ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปีสุดท้ายก็ต้องมีฝึกงาน ซึ่งต้องมีการออกกองและเข้าสตูดิโอ (ขอสงวนชื่อนะคะ) เนื่องจากเพื่อนสนิทเราที่ฝึกงานด้วยกัน เป็นพริตตี้ (และเคยรู้จักกับพี่คนนี้ที่ชวนมาฝึกงาน) ก็เลยชวนเรามาฝึกงานด้วย (ข้อแตกต่างมันมีล่ะ) ก่อนหน้าที่ไปฝึกงาน เพื่อนเราก็พาเราไปรู้จักกับพี่คนนี้ก่อน เหมือนให้รู้จักก่อนไปเริ่มงานจริง วินาทีแรกที่พี่เขาเจอเรา ขอใช้ชื่อว่า อ. นะคะ
อ. : เราชื่ออะไรนะ
เรา : ___ ค่ะ
อ. : พิการด้วยใช่ไหม ดูก็รู้ว่าใส่ตาปลอม เป็นไรมาล่ะ พี่เคยเห็นคนพิการเยอะพี่ดูออก (ตาก็มองไปที่เพื่อนเราตลอด)
เรา : ใช่ค่ะ
หลังจากที่เจอกันไปแล้ว ก็เข้าสู่การฝึกงานวันแรก (บอกก่อนว่าที่นี้ไม่ต้องมาฝึกทุกวัน นอกจากว่าโดนเรียกให้มาออฟฟิศ ออกกอง และไปสตูดิโอ) ซึ่งในนั้นก็จะมีพี่เลี้ยงคนหนึ่งไว้คอยดูแลพวกเรา การต้อนรับของที่นั้นค่อนข้างดี จนตอนที่มาถึงเราแล้วบอกว่า
อ. : น้องคนนี้ชื่อ __ อย่าไปล้อมันมากนะ มันเป็นแบบนี้ก็แย่พอล่ะ
เรา : ค่ะ หวัดดีค่ะพี่ๆ
จะบอกว่า พี่คนนั้นกับตากล้อง + ตัดต่อ เขาจะป็นคู่หูดูโอ้ ในการมาล้อเรามาก คือต้องมาคู่กัน เนื้อหาที่เขาล้อ ก็จะเป็นอะไรเดิมๆ ทุกครั้งที่ออกกอง หรือไปสตูดิโอ คำพูดแบบ กู ... แบบนี้ค่ะ
อ. : เห้ย (ตะโกนเรียกเรา) อย่าทำตาหลุดมานะ ถ้าหลุดมากุกระทืบตาปลอมแตกเลยนะ (พร้อมเรียกตากล้องให้ล้อ ต่อและหัวเราะ)
เรา : (หนูก็จะตะดกนกลับไปว่า) แหมพี่ มันไม่ได้หลุดง่ายๆ แบบนั้นม่ะ ทำเป็นกลัวไปได้
อ. : กูไม่รู้ กูบอกไว้ก่อน ชอบทำตัวประหลาด ...
เรา : ??
จนกระทั่งวันหนึ่งไปฝึกงาน ที่ รพ. ๆ นึงเป็น รพ. ที่ให้คนตาบอดมีงานทำ และช่วงถ่ายทำ เราก็ดดนล้อเรื่องเดิมๆ ทั้งหน้าตา ผิว และตาปลอม จนหัวหน้า รพ. ของที่นั่นยืนกางร่มข้างเรา เขากอดและถามว่า
พยบ. : หนูเป็นอะไรหรอลูก ทำไมเขาถึงล้อหนุกันแรงขนาดนั้น
เรา : อ่อ หนุเป็นแบบนี้ๆๆ ค่ะ (บอกพยาบาลไป)
พยบ. : ไม่เป็นไรนะ ช่างเขา ปล่อยเขาไป
เรา : ไม่เป็นไรค่ะ ชินแล้ว
หลังจากออกกองเสร็จ ก้ไปทานข้าวกัน กับทีมที่ รพ. ช่วงเย็น หลังจากทานข้าวเสร็จก็นั่งคุยกับกับทีม ที่ รพ. และคู่ดูโอ้ ก็เดินมา ยืนตรงหน้าเรา
คู่ดูโอ้ : ทุกคน (ทุกคนหันมา) ดูนะครับ ถ้าเลือกเด็กฝึกงาน ถ้าเอาออกงานต้องเป็นคนนี้ (ชี้ไปทางเพื่อนเรา) แต่ถ้าพวกใช้แรงงานแบบหนักๆ ต้อง (ไอเด็กคนนี้ครับ) มันเป็นเด็กประหลาด ชอบเจอด่า เพราะเวลาด่ามันๆ จะมีความสุข (และดุโอ้ ก็หัวราะลั่น) ดูมันสิครับ (**อันนี้ถามทุกคนว่าสายตาของทีม รพ. จะมองและสงสารเราหรือคู่หูดูโอ้ค่ะ)
เรา : อ้าว พี่เคยถามหนูด้วยหรอ
(จนกระทั่งพิธีกรภาคสนาม พี่เขาจะนั่งวิลแชร์ นั่งข้างเรายกมือไหว้และบอกว่า)
พิธีกรภาคสนาม : พวกพี่หนุไหว้ล่ะ อย่าไปล้อ ว่าน้องมันนักเลย เดี๋ยวเวรกรรมมันจะตกมาที่ลุกหลานพี่นะ
คู่ดูโอ้ : แกคิดว่าคนอย่างพี่จะให้ คนแบบมันเกิดมาได้หรอ อายคนอื่นตายห่า ถ้ารู้จะเกิดมาเป็นแบบมัน พี่ไม่ให้เกิดมาหรอก (หัวเราะกันต่อ) หลังจากบทสนทนาที่นี้จบลง ก็ไปเดินเล่นตลาด โดยมีพี่เลี้ยงไปด้วย เวลาใครถามมาทำอะไรพี่เลี้ยงก็จะบอกกับคนขายของแถวนั้นว่า
พี่เลี้ยง : เนี่ยป้า เด็กฝึกงาน บริษัทหนู คนนี้สวยออกงานได้ (ดึงเพื่อนไป) และดึงเราส่วนนี้ เป็นเด็กเอ๋อ ใช้อะไรก็ทำ
**ปล. อยากบอกว่าเพื่อนเราก็พูดสวน ทีมเหมือนกันนะคะว่าทำไมถึงพูดกับเราไม่ดี ซึ่ง พี่เจ้าของจะค่อนข้างยอม เพราะพี่เจ้าของชอบเพื่อนเราอยู่ แต่เพื่อนเราไม่เล่นด้วย แต่ขอไม่พุดถึงจุดที่เพื่อนสวนไปนะคะ
หลังจากที่จบ . ภารกิจที่ รพ. อีกอาทิตย์ ก็ต้องมาที่สตูดิโอ จนอัดรายการเสร็จ นั่งรถตู้กลับออฟฟิศ และแล้ว .... พี่ตากล้อง ที่นั่งหน้ารถตู้ก็พูดออกมา (เนื่องจากรถติดมาก และรถจอดท้ายรถกระบะ ที่มีคนนั่งอยู่บนนั้น)
พี่ตากล้อง : เห้ย .. ทุกคนดุดิ เด็กนั่งท้ายกระบะ หน้ามันเหมือน ไอ้___ (หมายถึงเรา) เลย โห ไม่คิดเลยว่ะ
พอพูดจบ พี่อ. ก็พูดต่อ
พี่อ. : เออ หว่ะ เห้ย (พร้อมหันหลังมา) พูดกับเราและบอกว่า นี่พี่จะบอกอะไรให้นะ เคยได้ยินม่ะ เวลาคนเขาทำรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ดังๆมา เขาหล่อเสร็จเขาก็จะทำลายทิ้ง ไม่มีใครเลียนแบบได้ แต่นี่ คือพี่ไม่คิดว่า จะมีคนที่เหมือน มีอยู่ในโลกอีก เป็นพี่นะ ไม่หเกิดมาให้อายคนอื่นหรอกว่ะ ทำลายตั้งแต่จะรู้ว่าเป็นแล้ว ...
นั้นคือการร้องไห้ ครั้งแรกที่โดนบูลลี่มาตลอดการฝึกงาน 4 เดือน คือดดนเยอะมาก แต่รอบนี้ร้องไห้ เพราะว่า ตอนที่แม่ท้อง หมอก้บอกว่าเราจะเกิดมาเป็นยังไง แต่เนื่องด้วย ที่บ้านเป็นคาทอลิค พ่อบอกว่า ยังไงก็จะเก็บลูกไว้ เพราะพระเจ้าให้มาแล้ว นั้นคือคำพูดที่ลอยมาในความคิด จึงทำให้เราร้องไห้ออกมา) และทุกคนบทรถก็หัวเราะ ยกเว้นเพื่อนเรา จนพี่ช่วงแต่งหน้าที่เป็นสาวประเภทสองหันมาเจอเราร้องไห้ และบอกกับทุกคนว่า “พี่ๆ ค่ะ น้องร้องไห้แล้วนะ”
พี่ อ. : จะร้องทำไม แค่ล้อเล่น อย่ามาดราม่า (และก็หันไปพุดใส่ตากล้องว่า กูบอกแล้วว่าอย่าไปล้อมัน ก็รู้มันเป็นยังไง ยังจะไปล้อมันอีก แค่นี้มันก้แย่แล้ว) จนพี่อีกคน ที่เป็นคนที่พี่ อ.ชอบอีกคนที่มาช่วยงานด้วยบอกว่า “พี่จะพอได้หรือยัง” พี่ อ. ก็เลยเงียบ
พอมาถึงออฟฟิศ ทุกคนเงียบไม่มีใครคุยกับเราเฉย เหมือนเราผิด ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้อะไรแล้ว ก็เฉยๆ ไม่โกรธไม่อะไร ก็ลากลับบ้านกลับเพื่อน พี่เลี้ยงก้โทรมา ....
พี่เลี้ยง : นี่.. ทำไมเราต้องมาร้องไห้ จะดราม่าทำไม
เรา : อ้าว!พี่ ก็หนูโดนล้อ หนูนึกถึงพ่อแม่ หนุผิดอะไรอ่ะ
พี่เลี้ยง : เขาล้อเล่นกันนะ ทีหลังไม่ต้องมาทำแบบนี้นะ
เรา : หนูโดนล้อ จนจะฝึกงานจบอยู่แล้วนะพี่ โอเคงั้นหนุขอโทษ ที่ร้องไห้ตะกี้นะคะ
พี่เลี้ยง : รู้ไว้นะ เขาล้อเล่นกัน แยกแยะให้ได้ด้วย
.... ยืนงง ในดงลาดพร้าวแปป 5555