ถ้ามีใครถามเราว่า ไปเที่ยวสเปนมาเป็นไงบ้าง
เราก็อยากจะถามคุณผู้อ่านกลับไปว่า คุณมีเวลามากพอที่จะฟังเราไหม
เพราะถ้าคุณมีเวลา เราก็พร้อมที่จะเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในทริปนี้ ที่เที่ยวไปทั้งหมด 6 เมือง!
ในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่7วันที่ผ่านมา ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดสำหรับผู้หญิงอายุ20 ตัดสินใจกล้าที่จะไปเที่ยวคนเดียวอย่างเรา
ทริปนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของเราไหม?
-ก็อาจจะใช่นะ
เราวางแผนทุกอย่างเองในช่วงที่มีเวลาว่าง ซึ่งไม่ง่ายนัก เพราะในช่วงปีใหม่การจองทัวร์ รถบัส รถไฟ ไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ของแต่ละบริษัทนั้นจะมีวันหยุดทำการบ้าง กว่าจะหาวันลงได้ในแต่ละที่ ก็ใช้เวลาวางแผนไปหลายวันเหมือนกัน
เราเดินทางไปมาดริดคนเดียว พอไปถึงสนามบิน บาราฆัส แม้จะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่ก็น่าแปลกที่คนไม่ได้ดูแน่นตาอย่างที่คิด เรารับกระเป๋าเรียบร้อย ออกมาเจอคุณลุงกับป้าและรุ่นพี่ที่มาคอยรับเราที่สนามบิน.......นี่ไงมีคนรู้จักคอยsupport อย่างนี้ จะเรียกว่าเที่ยวคนเดียวไหมนะ?
เรานั่งรถเอาของไปเก็บที่บ้านก่อน ทานอาหารรองท้อง เพราะตั้งแต่มาถึงวันแรกก็มีโปรแกรมเที่ยวเลยคือไป Royal Palace และ Museo del Prado
ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกับพี่หนอนรุ่นพี่ที่เรียนที่นี่ ซึ่งคุณลุงให้พี่เค้าคอยพาเราเที่ยว เป็นไกด์ให้เราวันนี้ คงสบายหน่อยล่ะเพราะพี่เค้าพูดสเปนได้ ข้อมูลหลายๆอย่างก็มีพี่เค้าคอยแนะนำและเล่าให้ฟัง
คุณลุงขับรถออกจากบ้านตอนบ่ายสามใช้เวลา20นาที เพื่อเข้าไปส่งเรากับพี่หนอนแถว
Plaza mayor จตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองมาดริด เป็นจุดนับกิโลเมตรที่ 1 ของสเปน ที่นี่เป็นจุดตัดถนนสายหลักหลายเส้น และมีแหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย
ในช่วงนั้นจะมี Christmas Market มีคนแต่งชุดแฟนซี บรรยากาศคึกคักเหมาะกับช่วงเทศกาล
“พี่หนอน งั้นเราเดินไปพระราชวังเลยดีกว่าไปถ่ายรูปที่นั่นเลย”
เดินเพลินๆผ่าน ตลาด San Mieugel
“เออเนส พี่เห็นเราเขียนในโปรแกรมว่าจะมาเดินตลาดนี้ ลองเข้าไปดูไหม”
พี่หนอนพาเราเดินเข้าไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามา ถ้ามีการจัดคลาสตลาดเหมือนเวลานั่งเครื่องบิน ตลาดนี้ก็คงจะจัดอยู่ใน First class เลยล่ะ ข้างในคนเยอะ มีแอร์เปิด สะอาดสะอ้าน มีที่ให้นั่งกิน
ยืนกินอาหารที่ซื้อมา กินเสร็จถ้าอยากจะว่างทิ้งไว้ก็ไม่ต้องห่วง มีพนักงานมาคอยเก็บทำความสะอาดให้
เราเดินผ่านร้านแรก “เนสอยากลองป่าวขาหมูสเปน เดี๋ยวพี่สั่งให้”
“ได้เลยพี่”
“เค้าเรียกว่าไรนะพี่”
“ฮามอน (Jamon) คือ แฮมสเปน เป็นขาหมูที่กึ่งดิบกึ่งสุก แล้วเอามาปรุงรส แขวนในที่อากาศเย็น มันจะออกค่อนข้างเค็มหน่อยนะ ”
กินไปคำแรก เค็มจริงด้วย เราเลยหยิบขนมปังกรอบที่เค้าให้มาด้วยมากินคู่กัน
“เออละก็ หมูที่เอามาทำฮามอนนี่อะรู้ป่าว เค้าจะเลี้ยงหมูอย่างดี ให้กินอาหารอย่างดีเลยนะ”
กินไปได้ไม่กี่คำก็พอ ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ แต่กลัวว่าจะไปเข้าชมพระราชวังไม่ทัน จองไว้รอบสี่โมงครึ่ง
พี่หนอนเลยห่อฮามอนเก็บไว้ให้เราไปกินต่อที่บ้าน
เดินไปถึงพระราชวังเห็นแถวยาวมากแต่โชคดีที่เราซื้อตั๋วออนไลน์จากทางเว็บ www.patrimonionacional.es ... ถ้าอยากเข้าชม kitchen ก็จ่ายเพิ่มไปอีก ในเว็บจะบอกรายละเอียดราคาเรทต่างๆ มีให้เลือกเป็นแบบทัวร์ audio บอกวันและเวลาเปิดปิดใครสนใจก็เข้าไปดูในเว็บนี้เลย
ก่อนจะเข้าไปทางฝั่งตรงข้ามพระราชวังเป็น โบสถ์ Santa María
ระหว่างที่ยืนถ่ายรูปอยู่ก็มีคนเข้ามาชวนคุยกับพี่หนอนแล้วเอากำไลมาผูกข้อมือให้ ตอนแรกเหมือนจะให้ฟรี เล่าว่าตัวเองอยากให้ แต่ไปๆมาๆก็บอกว่าตัวเองไม่มีเงินใช้ ขอเก็บเงิน พอเราบอกไม่เอา เค้าก็ชักสีหน้าและถอดกำไลออกทันที
Royal palace of Madrid
พระราชวังหลวงแห่งมาดริด ที่นี่เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปเลยมีห้องพักมากถึง 3,418 ห้อง สำหรับคนที่ซื้อตั๋วมาแล้วสามารถเดินเข้าไปช่องทางลัดเข้าชมได้ทันทีไม่ต้องต่อคิว เจ้าหน้าที่จะสแกนบาร์โค้ด ตรวจxray กระเป๋าก่อนเข้า
เข้ามาแล้ว เข้ามาดูตัวพระราชวังที่ไม่มีรั้วกัน เข้ามาดูกันชัดๆ
เข้าไปในรั้วพระราชวังมองออกมาเห็นโบสถ์ในมุมที่กว้างขึ้น
ภายในจะมีบางโซนไม่ให้ถ่ายรูปเราใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้
จากที่เดินดูของเค้าสวยจริงๆ ทั้งภาพประดับฝาผนัง ข้าวของเครื่องใช้ ภาพศิลปะเครื่องใช้ในวังที่เก็บสะสมเอาไว้ รวมถึงอาวุธในสมัยก่อน สวย อลังการ จัดแบ่งหลายห้อง ถ้าจะดูแบบระเอียดจริงๆ 1 ชั่วโมงคงไม่พอ สำหรับคนที่รักประวัติศาสตร์ชอบดูสถาปัตยกรรม
เจ้าหน้าที่เดินมาบอกเรา บอกว่าห้องข้างในของพระราชวังห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้แต่ข้างนอก
ระหว่างเดินบางทีจะมีเจ้าหน้าที่มาขอดูตั๋วอีกทีด้วย อย่าทำหายล่ะ
ออกมาเจอพี่หนอนที่ยืนรออยู่ข้างนอก
ตอนนั้นเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งใจจะไป museum หลังหกโมงเย็นเพราะเข้าฟรี ระหว่างทางก็เดินผ่านอีกด้านหนึ่งของพระราชวัง ไม่ไกลจะเป็นวัด Debod พี่หนอนบอกว่าไปดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนั้นจะมีวิวสวยด้วย แต่เรากลัวไปดู museum ไม่ทันเลยบอกว่าวันหลังค่อยมาดูพระอาทิตย์ตกดินละกัน
พี่หนอนบอกว่าชอบตึกนี้มันเรียงตัวกันสวยดี
อากาศตอนเย็นเดินสบายสิบกว่าองศาชิลๆ
ทางไปค่อนข้างเดินไกลเลย เป็นทางเดินย้อนกลับไปผ่านจัตุรัส Puerta del Sol อีกหนึ่งแหล่งสำคัญที่คนใช้เป็นจุดนัดหมาย ในช่วงคริสต์มาสต์ก็จะมีการประดับไฟ มีต้นคริสต์มาสต์ตั้งโชว์
ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งเรียกง่ายๆว่ากิโลเมตรที่ศูนย์
เอาเท้ามาวางไว้ตรงตำแหน่งนี้ ว่ากันว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง
บรรยากาศช่วงเย็นวันนี้คนเยอะมากทีเดียว
The bear and the cherry tree in Madrid
The bear and the cherry tree in Madrid
รูปปั้นสัญลักษณ์ของกรุงมาริด
ระหว่างทางผ่านอาคารสภา
เดินไปถึงปราโดก็พบว่าแถวคิวยาวมากๆ น่าจะเป็นเพราะหลังหกโมงเย็นที่นี่เปิดให้เข้าฟรี บวกกับช่วงวันปีใหม่นักท่องเที่ยวเยอะ ทำเอาเรากับพี่หนอนลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม
“ไหนๆก็มาแล้วลองต่อดูซัก15นาที ว่าแถวมันจะขยับแค่ไหน ถ้าไม่ค่อยขยับงั้น เดี๋ยวเราไปกินชูโรสกัน”
เรากับพี่หนอนตัดสินใจต่อคิวรอท่ามกลางอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้เข้า
เมื่อท้องฟ้ามืดลง ตอนกลางคืนอากาศจะเย็นขึ้นอย่างรู้สึกได้ ตอนนั้นประมาณ 8 องศา
เราเดินดูแต่ละห้องที่จัดแสดงภาพศิลปะตามยุคสมัยและจิตกรชื่อดัง ตามโบชัวร์ที่เค้าแจกให้
สุดท้ายเราต่างยอมรับกันว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนชอบเสพงานศิลป์กันเลย แต่เราอยากเข้ามาดูสักครั้ง
ช่วงท้ายปีแบบนี้ ถนนหนทางต่างประดับไปด้วยไฟ เพิ่มความ festive ให้กับเมือง
เดินชมบรรยากาศตอนนั้น แสงไฟ อากาศเย็น มาดริดตอนกลางคืน มีเสน่ห์มาก
Plaza de Cibeles
มี Fuente de Cibeles น้ำพุที่แกะสลักรูปปั้นตั้งเด่นอยู่ตรงกลางจัตุรัส หลายคนอาจคนภาพนี้เพราะทีมฟุตบอลreal Madridมาฉลองเวลาได้แชมป์
อาคารด้านหลังเป็นอาคารไปรษณีย์เก่า ซึ่งปัจจุบันมีการบูรณะภายในและใช้เป็น ศาลาว่าการเมืองมาดริด (City hall)
ตอนกลางคืนจะมีไฟเปลี่ยนสี ผู้คนมากมายมายืนถ่ายรูปกัน
เที่ยวสเปนเมืองแรก เริ่มที่ “กรุงมาดริด” (ช่วงปีใหม่)
เราก็อยากจะถามคุณผู้อ่านกลับไปว่า คุณมีเวลามากพอที่จะฟังเราไหม
เพราะถ้าคุณมีเวลา เราก็พร้อมที่จะเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในทริปนี้ ที่เที่ยวไปทั้งหมด 6 เมือง!
ในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่7วันที่ผ่านมา ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดสำหรับผู้หญิงอายุ20 ตัดสินใจกล้าที่จะไปเที่ยวคนเดียวอย่างเรา
ทริปนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของเราไหม?
-ก็อาจจะใช่นะ
เราวางแผนทุกอย่างเองในช่วงที่มีเวลาว่าง ซึ่งไม่ง่ายนัก เพราะในช่วงปีใหม่การจองทัวร์ รถบัส รถไฟ ไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ของแต่ละบริษัทนั้นจะมีวันหยุดทำการบ้าง กว่าจะหาวันลงได้ในแต่ละที่ ก็ใช้เวลาวางแผนไปหลายวันเหมือนกัน
เราเดินทางไปมาดริดคนเดียว พอไปถึงสนามบิน บาราฆัส แม้จะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่ก็น่าแปลกที่คนไม่ได้ดูแน่นตาอย่างที่คิด เรารับกระเป๋าเรียบร้อย ออกมาเจอคุณลุงกับป้าและรุ่นพี่ที่มาคอยรับเราที่สนามบิน.......นี่ไงมีคนรู้จักคอยsupport อย่างนี้ จะเรียกว่าเที่ยวคนเดียวไหมนะ?
เรานั่งรถเอาของไปเก็บที่บ้านก่อน ทานอาหารรองท้อง เพราะตั้งแต่มาถึงวันแรกก็มีโปรแกรมเที่ยวเลยคือไป Royal Palace และ Museo del Prado
ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกับพี่หนอนรุ่นพี่ที่เรียนที่นี่ ซึ่งคุณลุงให้พี่เค้าคอยพาเราเที่ยว เป็นไกด์ให้เราวันนี้ คงสบายหน่อยล่ะเพราะพี่เค้าพูดสเปนได้ ข้อมูลหลายๆอย่างก็มีพี่เค้าคอยแนะนำและเล่าให้ฟัง
คุณลุงขับรถออกจากบ้านตอนบ่ายสามใช้เวลา20นาที เพื่อเข้าไปส่งเรากับพี่หนอนแถว
Plaza mayor จตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองมาดริด เป็นจุดนับกิโลเมตรที่ 1 ของสเปน ที่นี่เป็นจุดตัดถนนสายหลักหลายเส้น และมีแหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย
ในช่วงนั้นจะมี Christmas Market มีคนแต่งชุดแฟนซี บรรยากาศคึกคักเหมาะกับช่วงเทศกาล
“พี่หนอน งั้นเราเดินไปพระราชวังเลยดีกว่าไปถ่ายรูปที่นั่นเลย”
เดินเพลินๆผ่าน ตลาด San Mieugel
“เออเนส พี่เห็นเราเขียนในโปรแกรมว่าจะมาเดินตลาดนี้ ลองเข้าไปดูไหม”
พี่หนอนพาเราเดินเข้าไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามา ถ้ามีการจัดคลาสตลาดเหมือนเวลานั่งเครื่องบิน ตลาดนี้ก็คงจะจัดอยู่ใน First class เลยล่ะ ข้างในคนเยอะ มีแอร์เปิด สะอาดสะอ้าน มีที่ให้นั่งกิน
ยืนกินอาหารที่ซื้อมา กินเสร็จถ้าอยากจะว่างทิ้งไว้ก็ไม่ต้องห่วง มีพนักงานมาคอยเก็บทำความสะอาดให้
เราเดินผ่านร้านแรก “เนสอยากลองป่าวขาหมูสเปน เดี๋ยวพี่สั่งให้”
“ได้เลยพี่”
“เค้าเรียกว่าไรนะพี่”
“ฮามอน (Jamon) คือ แฮมสเปน เป็นขาหมูที่กึ่งดิบกึ่งสุก แล้วเอามาปรุงรส แขวนในที่อากาศเย็น มันจะออกค่อนข้างเค็มหน่อยนะ ”
กินไปคำแรก เค็มจริงด้วย เราเลยหยิบขนมปังกรอบที่เค้าให้มาด้วยมากินคู่กัน
“เออละก็ หมูที่เอามาทำฮามอนนี่อะรู้ป่าว เค้าจะเลี้ยงหมูอย่างดี ให้กินอาหารอย่างดีเลยนะ”
กินไปได้ไม่กี่คำก็พอ ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ แต่กลัวว่าจะไปเข้าชมพระราชวังไม่ทัน จองไว้รอบสี่โมงครึ่ง
พี่หนอนเลยห่อฮามอนเก็บไว้ให้เราไปกินต่อที่บ้าน
เดินไปถึงพระราชวังเห็นแถวยาวมากแต่โชคดีที่เราซื้อตั๋วออนไลน์จากทางเว็บ www.patrimonionacional.es ... ถ้าอยากเข้าชม kitchen ก็จ่ายเพิ่มไปอีก ในเว็บจะบอกรายละเอียดราคาเรทต่างๆ มีให้เลือกเป็นแบบทัวร์ audio บอกวันและเวลาเปิดปิดใครสนใจก็เข้าไปดูในเว็บนี้เลย
ก่อนจะเข้าไปทางฝั่งตรงข้ามพระราชวังเป็น โบสถ์ Santa María
ระหว่างที่ยืนถ่ายรูปอยู่ก็มีคนเข้ามาชวนคุยกับพี่หนอนแล้วเอากำไลมาผูกข้อมือให้ ตอนแรกเหมือนจะให้ฟรี เล่าว่าตัวเองอยากให้ แต่ไปๆมาๆก็บอกว่าตัวเองไม่มีเงินใช้ ขอเก็บเงิน พอเราบอกไม่เอา เค้าก็ชักสีหน้าและถอดกำไลออกทันที
Royal palace of Madrid
พระราชวังหลวงแห่งมาดริด ที่นี่เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปเลยมีห้องพักมากถึง 3,418 ห้อง สำหรับคนที่ซื้อตั๋วมาแล้วสามารถเดินเข้าไปช่องทางลัดเข้าชมได้ทันทีไม่ต้องต่อคิว เจ้าหน้าที่จะสแกนบาร์โค้ด ตรวจxray กระเป๋าก่อนเข้า
เข้ามาแล้ว เข้ามาดูตัวพระราชวังที่ไม่มีรั้วกัน เข้ามาดูกันชัดๆ
เข้าไปในรั้วพระราชวังมองออกมาเห็นโบสถ์ในมุมที่กว้างขึ้น
ภายในจะมีบางโซนไม่ให้ถ่ายรูปเราใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้
จากที่เดินดูของเค้าสวยจริงๆ ทั้งภาพประดับฝาผนัง ข้าวของเครื่องใช้ ภาพศิลปะเครื่องใช้ในวังที่เก็บสะสมเอาไว้ รวมถึงอาวุธในสมัยก่อน สวย อลังการ จัดแบ่งหลายห้อง ถ้าจะดูแบบระเอียดจริงๆ 1 ชั่วโมงคงไม่พอ สำหรับคนที่รักประวัติศาสตร์ชอบดูสถาปัตยกรรม
เจ้าหน้าที่เดินมาบอกเรา บอกว่าห้องข้างในของพระราชวังห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้แต่ข้างนอก
ระหว่างเดินบางทีจะมีเจ้าหน้าที่มาขอดูตั๋วอีกทีด้วย อย่าทำหายล่ะ
ออกมาเจอพี่หนอนที่ยืนรออยู่ข้างนอก
ตอนนั้นเวลาห้าโมงครึ่ง ตั้งใจจะไป museum หลังหกโมงเย็นเพราะเข้าฟรี ระหว่างทางก็เดินผ่านอีกด้านหนึ่งของพระราชวัง ไม่ไกลจะเป็นวัด Debod พี่หนอนบอกว่าไปดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนั้นจะมีวิวสวยด้วย แต่เรากลัวไปดู museum ไม่ทันเลยบอกว่าวันหลังค่อยมาดูพระอาทิตย์ตกดินละกัน
พี่หนอนบอกว่าชอบตึกนี้มันเรียงตัวกันสวยดี
อากาศตอนเย็นเดินสบายสิบกว่าองศาชิลๆ
ทางไปค่อนข้างเดินไกลเลย เป็นทางเดินย้อนกลับไปผ่านจัตุรัส Puerta del Sol อีกหนึ่งแหล่งสำคัญที่คนใช้เป็นจุดนัดหมาย ในช่วงคริสต์มาสต์ก็จะมีการประดับไฟ มีต้นคริสต์มาสต์ตั้งโชว์
ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งเรียกง่ายๆว่ากิโลเมตรที่ศูนย์
เอาเท้ามาวางไว้ตรงตำแหน่งนี้ ว่ากันว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง
บรรยากาศช่วงเย็นวันนี้คนเยอะมากทีเดียว
The bear and the cherry tree in Madrid
The bear and the cherry tree in Madrid
รูปปั้นสัญลักษณ์ของกรุงมาริด
ระหว่างทางผ่านอาคารสภา
เดินไปถึงปราโดก็พบว่าแถวคิวยาวมากๆ น่าจะเป็นเพราะหลังหกโมงเย็นที่นี่เปิดให้เข้าฟรี บวกกับช่วงวันปีใหม่นักท่องเที่ยวเยอะ ทำเอาเรากับพี่หนอนลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม
“ไหนๆก็มาแล้วลองต่อดูซัก15นาที ว่าแถวมันจะขยับแค่ไหน ถ้าไม่ค่อยขยับงั้น เดี๋ยวเราไปกินชูโรสกัน”
เรากับพี่หนอนตัดสินใจต่อคิวรอท่ามกลางอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้เข้า
เมื่อท้องฟ้ามืดลง ตอนกลางคืนอากาศจะเย็นขึ้นอย่างรู้สึกได้ ตอนนั้นประมาณ 8 องศา
เราเดินดูแต่ละห้องที่จัดแสดงภาพศิลปะตามยุคสมัยและจิตกรชื่อดัง ตามโบชัวร์ที่เค้าแจกให้
สุดท้ายเราต่างยอมรับกันว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนชอบเสพงานศิลป์กันเลย แต่เราอยากเข้ามาดูสักครั้ง
ช่วงท้ายปีแบบนี้ ถนนหนทางต่างประดับไปด้วยไฟ เพิ่มความ festive ให้กับเมือง
เดินชมบรรยากาศตอนนั้น แสงไฟ อากาศเย็น มาดริดตอนกลางคืน มีเสน่ห์มาก
Plaza de Cibeles
มี Fuente de Cibeles น้ำพุที่แกะสลักรูปปั้นตั้งเด่นอยู่ตรงกลางจัตุรัส หลายคนอาจคนภาพนี้เพราะทีมฟุตบอลreal Madridมาฉลองเวลาได้แชมป์
อาคารด้านหลังเป็นอาคารไปรษณีย์เก่า ซึ่งปัจจุบันมีการบูรณะภายในและใช้เป็น ศาลาว่าการเมืองมาดริด (City hall)
ตอนกลางคืนจะมีไฟเปลี่ยนสี ผู้คนมากมายมายืนถ่ายรูปกัน