ยุคไดโนเสาร์ ตอนนั้นคนไปอยู่ไหน สัตว์เกิดก่อนคน ...และอื่น ๆ ขออนุญาติ Tag evo

ขออนุญาต Tag  วิวัฒนาการด้วยครับ เพราะมีเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลกและสัตว์ด้วย เผื่อจะได้ความรู้เพิ่ม หากจะเป็นการจับแพะชนแกะจะได้พิจารณาเหตุผลต่อไป

มีคำถามน่าสนใจ ที่ถาม ในยูทูปเห็นว่าน่าจะได้ความเห็นหลากหลายหรือความรู้   หรือผมผิดพลาดจากการอธิบายพระสูตรไปตรงไหน ผู้รู้ก็จะได้ แนะนำให้กลับมาถูกได้หรือบางทีอาจมาเจอคนแนะนำผิดออกอ่าวไปอีก ก็ค่อยว่ากันแต่ในปัจจุบันเท่าที่ผมค้นคว้าเท่าที่มีความรู้ในปัจจุบัน ผม (คาดการณ์) ว่าเป็นแบบนี้จนกว่าจะได้องค์ความรู้ใหม่ ๆ  จึงจะปรับเปลี่ยน ต่อไป  

มีคนถาม
1.ยุคไดโนเสาร์ ตอนนั้นคนไปอยู่ไหน
สัตว์เกิดก่อนคน ...
2. ถ้ามีสิ่งมีชีวิตนอกจากโลกของเราสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีนรกสวรรค์รึปะค่ะ...
3.ปี 2030 คนจะทดลองอยู่บนดาวอังคารถ้าตายนอกโลกวิญญาณจะกลับมาที่โลกรึปะค่ะ...
และอื่นๆ 

นี้คือคำตอบของผม
1. จากที่ศึกษาพระสูตร พุทธวจน ยุคไดโนเสาร์ ตอนนั้นมนุษย์ไปอยู่ไหน คำว่าไดโนเสาร์ คำนี้เป็นคำสมัยใหม่  
ในสมัยพุทธกาล   ถ้าจะสอดคล้องที่สุดเรียกว่า เดรัจฉาน หรืออสุรกาย ซึ่งก็มีหลายประเภท

ประเด็นนี้ต้องขอให้ทำความเข้าใจเรื่อง โอกาสที่สัตว์จะได้การเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนนะครับ 
พระพุทธองค์ทรงอุปมาเรื่องความยากของโอกาสที่สัตว์จะได้การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเทียบเท่ากับ การกำเนิดของโลกหนึ่งครั้ง หมายถึง ตั้งแต่ยังไม่มีโลกจนก่อตัวและหมดอายุขัยของโลกถูกทำลายไป วงรอบหนึ่ง กาลนานไกลนานขนาดคือระบบสุริยะหนึ่งเกิดขึ้นและแตกดับและก่อตัวใหม่

ก็คือสรุปว่าโอกาสที่สัตว์จะได้การเกิดมาเป็นมนุษย์มีแค่ครั้งเดียว ต่อระบบสุริยะ 1 ระบบ  แต่ที่ว่านานขนาดนี้ เกิดยากขนาดนี้ พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า เราเกิดมาในแต่ละโลกเลือดที่เคยเกิดเป็นคนแล้วถูกเขาฆ่าตัดคอน้ำในมหาสมุทรไม่ได้มากกว่าเลย เพราะความยาวนานขนาดนี้ มันเร็วกว่าวาร์ปความเร็วแสงเสียอีกเหมือนคนหมดสติ 1 เดือน 1 ปี ตื่นมาอีกทีเหมือนหลับไปเด็วเดียว  และพระพุทธองค์ทรงอุปมา สัตว์ที่เกิดเป็นพรหมบางชั้น เทวดา มนุษย์ ที่ตายแล้ว จากภพของตน จะไปเกิดที่ไหน    แทบทั้งหมดนั้นไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครับ อุปมาเหมือนดินทั้งโลก ส่วนดิน ที่ติดปลายเล็บ ก็คือสัตว์ที่เกิดเป็นพรหมบางชั้น เทวดา มนุษย์ ที่ตายลงที่ได้โอกาสในการกลับมาเกิดในชั้นพรหม ชั้นสวรรค์ หรือโลกใบเดิมจะเห็นว่าน้อยมาก แค่ปลายเล็บ

แต่สำหรับสัตว์ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสกลับมาเกิดบนโลกเดิมหรือสวรรค์เดิมได้อย่างเก่งไม่เกิน 1 - 7 ครั้ง และจะไม่ไปเร่ร่อนเกิดในอบายภูมิ 4 แน่นอน สัตว์ที่เป็นมนุษย์ประเภทนี้จะเข้านิพพาน สัตว์ที่เป็นมนุษย์ที่ว่านี้คือสัตว์ที่พัฒนาตนเองเป็นอริยะบุคคล ระดับโสดาบันขึ้นไป

ถ้าถามว่าสัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์เกิดยากแล้วทำไมมีมนุษย์เป็นพัน ๆ ล้าน ยากตรงไหน เทียบกับ สัตว์ทุกระบบนะครับ แค่มดก็มากกว่าเราแล้ว หรือเทียบกับ สัตว์ที่ไปเกิดในสวรรค์ ในรูปพรหม อรูปพรหมอีก นับไม่ถ้วน และมีสัตว์เกิดตายทุกวัน วันละนับแสน   ล้าน ตัวเลขไม่ได้คงที่ตลอด มีหมุนเวียนสับเปลี่ยนแทนที่กันตลอดครับ 

และที่บอกว่า สัตว์ที่เป็นมดกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เหรอได้เหรอ แล้วสัตว์ที่ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นแมลงได้เหรอ 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วตายลงไปเกิดในอบายภูมิง่ายมากครับ และลงไปแล้วอยู่ยาวครับ เช่นเคยเป็นมนุษย์แล้วตายลงไปเป็นเห็บ จิ้งจก ยุง  อายุมันสั้นมากและมีชีวิตที่แสนเข็ญมาก  แทบไม่มีโอกาสเลยที่จะได้สุขคติ หรือทันได้มีสติ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์    ถ้าจะยกระดับตนเองก็ไม่พ้นจากสัตว์ในอบายวนไปเวียนมา จากมดน้อย มดใหญ่ มดพญา ไล่ไปเรื่อยๆ แต่กว่าจะไล่ได้พ้นวงจรเดรัจฉาน  ก็ยาวจนโลกหน้าอีกทีหละครับ นานจนลืม จะได้เกิดอีกทีโลกหน้ากาลนานไกล เป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ยุคหิน ยุคยังไม่เจริญ ไล่ฆ่ากันอีก

ดังนั้น ที่เราเกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเราไม่ใช่ อริยะบุคคลที่จะได้เข้านิพพานแสดงว่าเราเพิ่งจะเกิดครั้งแรกบนโลกใบนี้ แต่โลกในอดีตเราเคยเกิดมาแล้วครับ แต่จะเป็นมนุษย์ในช่วงยุคไหนก็ว่ากันอีกที และในโลกใบก่อนหน้านั้นเราก็เคยวิวัฒนาการเป็นสัตว์ในอบายมาแทบทุกประเภทแล้ว หรือบางคนอาจเพิ่งพ้นจากอบายในโลกนี้แล้วเป็นมนุษย์หมาด ๆ ก็มีครับ 
แต่ถ้าเราเป็นอริยะบุคคล การเกิดในโลกนี้ซ้ำอาจเป็นครั้งที่ 2-7 ของเราก็เป็นได้ครับ

สัตว์ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ที่มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออสุรกาย (ไดโนเสาร์) ก็คือสัตว์ที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนในโลกก่อนหน้านั้นเองครับ และไดโนเสาร์ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิต หลาย ๆ อย่าง ในปัจจุบันนี้ได้เช่นกันครับ รวมถึง สัตว์บางบุคคล อาจยึดถือร่างของ สัตว์ในอบาย ตั้งแต่ไดโนเสาร์ ยาวมา จนยึดถือร่าง มนุษย์ ก็มีครับ 

แต่บางพวกเช่นพวกเราบางบุคคล ก็รอจนกว่าเหตุปัจจัยโลกจะเจริญวิวัฒนาการของระบบทั้งหมดของโลก เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคต่าง ๆ ที่โหดร้ายบ้าง สงบบ้าง เกิดเป็นมนุษย์ผู้มีส่วนชั่วบ้าง ดีบ้าง มั่งคั่งบ้าง ตามระดับไล่ไป เหมือนตอนพระโพธิสัตว์มองดูโลกว่าเหมาะแก่การลงมาเป็นพระพุทธเจ้าหรือยังนั่นแหละครับ 

นี้แสดงให้เห็นว่าเราทำกรรมดีไว้ดีกว่าสัตว์รุ่นก่อน ๆ จึงได้ มาเป็นมนุษย์ยุคเซเปี้ยน ที่โลกก้าวหน้า เป็นต้นครับ  แต่ถึงมีบุญมาเกิด ก็หาความแน่นอนไม่ได้ครับ ตามพระสูตร 
บุคคลสี่จำพวก 
บุคคลบางพวกเกิดมาสว่างเพราะบุญมากแต่ไปมืดซะงั้นเพราะมาหลงกับโลกทำกรรมชั่ว  
บางพวกมามืดไปสว่าง
บางพวกมามืดไปมืด
บางพวกมาสว่างไปสว่าง 
เราจึงเห็นคนดีคนเลวปะปนกันยุ่งเหยิงไปหมด ในสังคม เพราะระบบโลกมันคือระบบเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงได้ตลอด
นอกจากจิตใจจะตั้งมั่น อย่างอริยะบุคคลแล้วจริง ๆ ก็ เป็นเปอเซนต์ที่น้อยมาก แทบนับเป็นเปอร์เซนต์ไม่ได้ดังกล่าวด้านบน 

2. สิ่งมีชีวิตนอกโลก 
ถ้าตาม พระสูตร สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็คือ สัตว์ครับ แต่ไปเกิดบน สวรรค์แต่ละชั้น พรหม อรูปพรหม แต่ละชั้น เขาเหล่านี้ตามพระสูตร บอกชัดว่า สิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ รับกรรม รับบุญ ในนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวดา วนเวียนไปมาเหมือนเดิมครับ   ก็สรุปว่ามีครับ

3. เรื่องดาวอังคารอะไรนั่น ตามพระสูตร ที่อ่านมา ถ้าตายบนนั้นยังไงก็ต้องกลับมาครับ เพราะจิต ผูกพัน กับสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ของการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เช่นผูกพันกับโลกก็กลับมาเกิดโลก ถ้าไม่ผูกพันกับโลก แต่ติดกับดาวอังคารก็เกิดวนเวียนล่องลอยอยู่ที่นั่น หรือถ้าบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตมีมนุษย์ แล้วผูกพันก็ว่าไปตามเหตุปัจจัยเกิดบนนั้นครับ จบครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่