พาขับรถชมธรรมชาติเที่ยวเดียว 6800 กม. 24 วัน ผ่าน 4 รัฐในประเทศออสเตรเลีย

ตอนที่ 3 ตอนจบ

หาอ่านตอนที่ 1  ได้ที่ https://ppantip.com/topic/39562443
หาอ่านตอนที่ 2  ได้ที่ https://ppantip.com/topic/39572220

28-31/12/19
ตอนสุดท้ายกันแล้วค่ะไม่รู้ว่ายังมีคนติดตามอ่านกันหรือเปล่า เราขับกันมาได้ 4400 กม.กันแล้วยังเหลืออีก 2405 กม.ที่จะถึงจุดหมาย  การขับออกจากเมือง Coober Pede ถึงจุดหมายต่อมาคือไปดูหิน Uluru (Ayers Rock) ระยะทาง 755 กม. อุณหภูมิก็อยู่ 40 กว่าองศาตลอดระยะทาง เราออกเดินทางกันตั้งแต่ 7.10 โมงเช้า ไปถึงบ่าย 3 โมงเย็นค่ะ ขับเข้าเขต Northern Territory กันมาแล้ว วันแรกไปถึงก็พักก่อนเพราะระยะทางไกลที่สุดที่ขับกันมา เราพักที่อพาร์ตเมนท์ 3 คืนมีอาหารติดตัวไปทำกินเองเพราะที่นี่มีโรงแรมไม่มาก โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดก็คือโรงแรม  Ayers Rock Resort ที่เราพักซึ่งมีทั้ง 2  แบบที่สามารถหุงหากินได้และแบบทั่วไปที่ไปทานที่ห้องอาหารของโรงแรม รร.นี้ต้องบุ๊คโดยตรงกับทาง รร.เลยค่ะไม่ผ่านเว๊บไซสต์อะไรทั้งนั้น อพาร์ตเมนต์เราราคาคืนละ 330 เหรียญมีอาหารเช้าให้ เราก็เลยต้องมีอาหารไปทำกินเองซึ่งประหยัดกว่าเยอะค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ไปดู Uluru กันซึ่งไปกับ Sunrise and Segway Tour ราคาคนละ 179 เหรียญค่ะ รถมารับตั้งแต่ตี 5 ทางโรงแรมจัดอาหารกินเล่นพวกผลไม้ เค๊ก น้ำผลไม้ ใส่กล่องเตรียมไปให้เพราะเราไม่ได้มาทานอาหารเช้าที่รร.  เช้าที่ไปก็มีฝนปรอย ๆ ช่วยให้ไม่ค่อยร้อนมากเพราะปกติแถบนี้ร้อนระอุเลยค่ะ

Uluru นี้ไกด์บอกว่าเป็นหินก้อนเดียวที่มีความกว้างของฐานที่เราเห็นนั้นประมาณ 9 กม. สูง 348 เมตร อายุ 550 ล้านปี สามารถมองเห็นได้ในระยะ 100 เมตรกันเลยทีเดียว ส่วนที่เห็นนั้นเป็นแค่ 10% ที่โผล่ออกมา 90% อยู่ใต้ติดนะคะคล้าย ๆ กับ Iceberg โผล่ออกมาในลักษณะเอียงเกือบจะ 90 องศาเราจะเห็นหลักฐานรอยเซาะของน้ำเมื่อล้าน ๆ ปีเป็นแนวตั้งไม่ใช่แนวนอนเหมือนหินทั่วไปค่ะ การดูหินก้อนนี้จะมีทางเดินที่ทำไว้ให้คนเดินชมรอบ ๆ หรือขี่จักรยานได้ ส่วนเรานั้นพอดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ไปดูรอบ ๆ โดยใช้พาหนะ Segway ขับดูค่ะ เดินไม่ไหวแน่นอนขนาดยืนบน Segway เท้าของเรายังเป็นเหน็บชาเลย

เราไม่สามารถถ่ายรูปหินทั้งก้อนได้ในระยะใกล้ได้เลยค่ะเพราะมันใหญ่จริง ๆ ภาพที่เห็นตามเน็ตทั่วไปก็ขับกันออกมาประมาณ 5 กม.เพื่อจะถ่ายให้ได้ภาพหินทั้งลูกซึ่งมีคนพูดกันว่าหิน Uluru นี้เปลี่ยนสีตลอดเวลาที่ถ่ายรูป เราคิดว่าเป็นมุมของแสงอาทิตย์ที่กระทบมากกว่าเพราะมันใหญ่จริง ๆ จากรูปภาพจะเห็นสีของหินที่แตกต่างตั้งแต่ไปดูตอนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนแดดร้อนเต็มที่ สีของภาพจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดค่ะ


ภาพก่อนพระอาทิตย์ขึ้น


 






ทางทัวร์จะฝึกการใช้ Segway ก่อนที่จะไปขับกันจริง ๆ

 
ภาพที่คนท้องถิ่นวาดไว้นานมากประมาณ 5พันปีได้ค่ะ

 
หลักฐานน้ำเซาะหินแต่โผล่มาเป็นแนวตั้งให้เห็นค่ะ

จุดที่เห็นเป็นเส้นขาวบนหินนั้นคือจุดที่เคยอนุญาติให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขา แต่เดี๋ยวนี้ห้ามขึ้นแล้วค่ะเพราะหินนี้เป็นหินที่ทางคนเผ่า Aboriginies บูชายันต์กันมานมนาน พอทางการมอบคืนให้ก็เลยงดการปีนเขา

เสร็จ Sunrise ทัวร์ประมาณ 10 โมงเช้า อากาศเริ่มร้อนมากได้เวลาทัวร์พากลับกันและคิดว่าจะกลับมาดู Sunset over the Uluru โดยสามารถขับรถเข้ามาถึงหินนี้เองได้ไม่จำเป็นต้องซื้อทัวร์นะคะ แต่จะต้องซื้อตั๋วเข้าอุทยานนี้ในราคา 50 เหรียญ ใช้ได้ 3 วันสามารถเข้าออกได้หลายครั้งค่ะ ความตั้งใจที่จะได้เห็นสีของหินตอนพระอาทิตย์ตกดินก็หมดโอกาสเพราะเกิดพายุฝุ่นแรงมากค่ะเลยไม่ได้ไปและก็ตั้งใจว่าไปวันต่อมาก็แล้วกัน

พายุฝุ่น

ตะวันขึ้นของวันที่ 2


เราเข้าไปเที่ยวชมกันถึง 2 วันค่ะ วันที่ 2 ขับเข้าไปกันเอง โดยในช่วงเช้าจะมีบริการฟรีไกด์คือเจ้าหน้าที่อุทยานพาเที่ยวเดินกันประมาณ 2-3 กม.และอธิบายเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนท้องถิ่นสมัยก่อนที่นี่กับหินก้อนนี้และอย่างที่บอกสีแต่ละวันแต่ละเวลาก็ต่างกันจริง ๆ แล้วเราก็ขับต่อไปดูหินอีกแถบหนึ่งซึ่งมีอายุแก่กว่า Uluru คือภูเขา The Olgas มีอายุ 850-800 ล้านปีลักษณะเป็นรูปโดมมีทั้งหมด 36 โดมด้วยกัน สามารถ treckking ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิเกิน 36 องศา ทางราชการมีป้ายประกาศว่าห้ามปีนเขาเด็ดขาดและอนุญาติให้อยู่ดูได้ถึง 11 โมงเช้าค่ะ เราได้แต่ขับรถเข้าไปดูถ่ายรูปแล้วก็กลับออกมาเพราะมันเริ่มมากกว่า 36 องศาแล้วขณะที่ไปถึงเกือบ 11 โมง จะเห็นทัวร์บัสที่รับลูกทัวร์ญี่ปุ่นถึง 3 คันเต็ม ขับสวนออกมาค่ะ
   

พอตอนเย็นก็ได้เวลาไปดูสีของหิน Uluru ช่วงตะวันตกดินกันค่ะ แต่ก็โชคร้ายอีกแล้วเพราะฝนตั้งเค้าให้เห็นกันมาตั้งแต่ 5 โมงเย็นกว่า แต่เราและนักท่องเที่ยวอีกมากมายก็ไม่ย่อท้อตั้งกล้องดูกันจนวินาทีสุดท้าย เอาเข้าจริงมันก็สวยไปอีกแบบเพราะภาพที่ได้ก่อนฝนจะเฮลงมาจะเป็นภาพสีทองไปหมดค่ะ เราไม่เคยเห็นภาพถ่ายที่ออกมาจะเป็นสีทองอำมฤติ ก็เพิ่งจะเห็นภาพของเราเองนี่แหละค่ะ

ฝนที่นี่ตกหนักมากไม่น่าเชื่อเลยเพราะมันเป็นสถานที่แห้งแล้วไม่มีต้นไม้ใหญ่อะไรมากมาย ซึ่งในขณะที่ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ณ ตอนนั้นกำลังถูกไฟป่าเผาผลาญทุกคนก็ภาวนาอยากให้ฝนตกที่นั่น แต่ดันมาตกที่นี่ที่ที่เราไม่ต้องการให้ตกเพราะอยากเห็นสีของหินอีกสีหนึ่งค่ะ

สีทองอำมฤติ
 
 
ภาพสุดท้ายของ Uluru ถ่ายในรถตอนฝนตกหนักมาก

เราเลยไม่ได้ภาพตะวันตกดินค่ะ แต่ก็ไม่เสียดายเพราะภาพสีทองมันสวยจับตา..ฝนเทลงมาหนักมากอุณภูมิลดจาก 36 องศาเหลือ 23 องศาภายใน 5 นาที ทั้งฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าติด ๆ กัน ตอนเราขับคลานกันออกมาก็มีรถพยาบาลสวนเข้าไป พอวันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวจากทางวิทยุท้องถิ่นว่าฟ้าผ่าที่ Uluru มีคนบาดเจ็บ 6 คน 2 คนเข้าพักโรงพยาบาลค่ะ

จริง ๆ แล้วเราบุ๊คกับทางโรงแรมที่จะไปดู Field of light Uluru กับทางโรงแรมราคา 43 เหรียญต่อคน ซึ่งจะประดับด้วยไฟโทนสีม่วงจำนวนประมาณ 50000 ดวง ทาง รร.ก็ต้องยกเลิกเพราะฝนตกหนักมากค่ะ ภาพในเน็ตของทางโรงแรมเองสวยมาก..ผิดหวังจริง ๆ
 
ภาพจาก Australia.com

31/12-2/1/20
เมื่อครบกำหนด 3 คืนก็ต้องเดินทางออกจาก Uluru ไปยังเมือง  Alice Springs ระยะทาง 468 กม. ค่ะ เราพักกันที่นี่ 2 คืนซึ่งเป็นคืนของส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ เราไม่ต้องการพักเพียง 1 คืนเพราะสามีคิดว่าจะมีพวกที่ดื่มฉลองปีใหม่กันหนักมากและอาจจะมีพวกที่เมาค้างขับรถบนถนนเกินกว่าความเร็วที่กำหนดแน่นอน ซึ่งถนน Stuart Highway นี้สมัยก่อนปี 2007 มีชื่อเสียงด้านอนุญาตให้ขับรถแบบ Open speed เท่าไหร่ก็ได้ ทั้งที่ตอนนี้ทางราชการกำหนดไว้แค่ 130 กม/ชม. แต่คนก็ยังติดนิสัยขับเร็วกันอยู่เพราะถนนมันโล่งและแทบจะไม่มีอะไรเลย และที่เมืองนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้ดูมีแต่ดินแดง ภูเขาหิน


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่