คิดถูกหรือผิดที่เปลี่ยนศาสนา

ดิฉันได้ยืมแอคเค้าท์ของเพื่อนมาตั้งกระทู้เพื่อสอบถามและขอคำแนะนำประกอบการตัดใจในการดำเนินชีวิต หากกระทู้นี้พาดพิงหรือทำให้ศาสเสื่อมเสีย ดิฉันต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
       เมื่อ1ปีที่ผ่านมา ดิฉันได้เกิดความสนใจในศาสนาคริส และได้ทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นแล้ว จึงตัดสินใจหันมาเชื่อมั่นในหลักคำสอนของพระเยซู และเดินในทางของคริสเตียนอย่างเต็มตัว ดิฉันหมั่นเข้าโบสถ์และอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ จนดิฉันได้รับการชักชวนเค้าเป็นสมาชิกของคริสตจักแห่งหนึ่ง เมื่อดิฉันเข้าไปแล้วเกิดความรู้สึกอบอุ่น เสมือนมีครอบครัวแสนอบอุ่นมาเติมเต็ม ที่นี่เปรียบเหมือนบ้าน ทุกคนเป็นกันเองมาก ทุกๆเช้าวันอาทิตย์ดิฉันไปร่วมนมัสการพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นร่วมรับประทานอาหาร และตามด้วยการพูดคุยหรือทำกิจกรรมสานสัมพันธ์ ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยให้ทุกคนได้เปิดใจพูดคุยระบายความในใจออกมา เสริมกำลังใจกัน กระชับความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จนกระทั่งเย็นเมื่อกิจกรรมจบลงทุกคนต้องจากลาแยกย้ายกัน มีการกอดกันเป็นปกติ ทุกคนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน และทุกคนย้ำกับฉันเสมอว่าเราคือครอบครัวของเค้า 
      มีชายวัยกลางคนอายุราวๆ30กว่าๆ เป็นสมาชิกในคริสตจักคนหนึ่ง เค้าเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาทั้งในไทยและในเกาหลี ได้เข้ามาตีสนิทกับดิฉัน เค้าได้บอกว่าเราคือครอบครัวเค้าและเค้าไม่เคยมีน้องสาวเลยมีแต่น้องชาย เค้าดีใจที่ฉันเข้ามาเป็นสมาชิกเหมือนเป็นคนในครอบครัวอีกคนหนึ่ง เค้าจึงขอกอดน้องสาวเพราะเค้าดีมจมากๆ และด้วยความรู้สึกแปลกๆดิฉันพยายามรักษาระยะห่างไว้ แต่ด้วยคำยืนยันจากศิยพิบาลว่าเค้าไว้ใจได้ ดิฉันจึงไว้ใจมากขึ้น และด้วยการที่คริสตจักมีกลุ่มเซลล์ มีการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันพฤหัส มีการทำกิจกรรมร่วมกันอื่นๆ จึงเกิดความเชื่อใจว่าสามารถทำกิจกรรมร่วมกันโดยข้ามเรื่องเพศไปได้ เพราะเราคือครอบครัวและไม่มีทางคิดชู้สาวแน่นอน การทำกิจกรรมต่างๆมากขึ้น ทานข้าวร่วมกันเป็นปกติ วันนึงชายผู้นี้ได้อ้างว่าจะพาไปทานข้าวเช่นเดิมแต่ครั้งนี้ผิดปกติเนื่องจากไปเพียง2คน แต่ด้วยคำที่ทุกคนบอกเสมอว่าเราคือครอบครัวเราต้องเชื่อใจและไว้ใจกันนี้ก็นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิด ดิฉันจึงได้แจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดี และได้แจ้งกับศิยพิบาลประจำโบสถ์ แต่สิ่งที่ศิยพิบาลตอบกลับมาคือ ระวังติดใจในรสรัก ระวังจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ระวังจะโหยหาชายผู้นี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่น่าขยะแขยงจากศิยพิบาลที่ดิฉันเคยชื่นชมและศรัทธามาตลอด และคำพูดสุดท้ายจากศิยพิบาลคืออย่านำคนในครสตจักเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ นี่คือคำตอบ นี่คือครอบครัว เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันกลับมาเป็นซึมเศร้าคิดมากและเกือบจะฆ่าตัวตาย ดิฉันได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าเราผิดอะไร ทำไมเรื่องร้ายๆต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย ทำไมคนในคริสตจักมองเหมือนเราเป็นตัวประหลาด ไม่มีใครอยากจะพูดคุยกับเรา ทุกคนบล็อกเราออกจากเฟสบุ๊ค นี่หรือครอบครัว ทุกคนที่รู้เรื่องพยายามปกปิดและปิดปากเรื่องนี้ไว้ ชายคนนั้นก็ยังทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาอย่างหน้าตาเฉยและลบล้างสิ่งนี้ด้วยการรับบับติสมาใหม่ และเค้าไม่ได้คิดว่าเค้าทำผิดต่อฉันแต่เค้าอ้างว่าศิยพิบาลเป็นคนยกดิฉันให้ชายผู้นี้ และดิฉันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้เค้า ซึ่งดิฉันคิดว่ามันเหลวไหลสิ้นดี ดิฉันจึงปล่อยให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย
   ดิฉันจึงอยากจะสอบถามว่าดิฉันควรจะยึดหลักการดำเนินต่อไปในทางคริสเตียนแล้วเปลี่ยนคริสจักหรือจะกลับไปเป็นพุทธเช่นเดิม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆจากสมาชิกทุกท่านนะคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
“นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิด”. คือสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่