นักดูหนังต้องรู้จักเธอเป็นอย่างดี ออดรีย์ เฮปเบิร์น ดาวค้างฟ้า ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งฮอลลีวู้ด
แต่น่าเสียดายที่วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน เธอมาจากโลกนี้กลับดวงดาวบนฟ้าไปเสียก่อนด้วยวัยเพียง 63 ปีจากโรคร้าย มะเร็งไส้ติ่ง
วันนี้ในอดีตมาย้อนความทรงจำถึงเธออีกครั้ง
เส้นทางดวงดาว
ออดรีย์ เฮปเบิร์น หรือบางคนเรียก ออเดรย์ เธอเป็นนักแสดงอังกฤษเชื้อสายเนเธอร์แลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2472 ที่เมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม และมาโตในเนเธอร์แลนด์ที่เมือง “อาร์นเฮม”
ข้อมูลเล่าว่า บิดาของเธอมาจากตระกูลขุนนางชาวอังกฤษ ส่วนมารดาสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางชาวดัตช์ แต่ชีวิตวัยเด็กของเธอแทบไม่ต่างจากเด็กโชคร้ายคนอื่นที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก
และด้วยภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนั้น ส่งผลให้เธอต้องโยกย้ายถิ่นฐานตามมารดาหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อสิ้นสุดสงครามเธอจึงได้มาลงหลักปักฐานที่อังกฤษ ราวอายุ 19 ปี
ที่ลอนดอน ออเดรย์ซึ่งกำลังโตเป็นสาวสะพรั่ง แถมยังมีใบหน้าสะสวย เธอจึงมุ่งหน้าในสายอาชีพการแสดง โดยไปเรียนการแสดงและทำงานเป็นนางแบบ
จนกระทั่งเข้าสู่แวดวงแผ่นฟิล์ม มีผลงานแสดงภาพยนตร์ และแสดงในละครเวทีเรื่อง Gigi แต่ช่วงแรกยังไม่ปังมากนัก จนเมื่อวิลเลียม ไวเลอร์ มาพบเธอเข้าก็ปี๊งเลยว่า เธอคนนี้แหละที่เหมาะสมกับบทเจ้าหญิงในภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday (2496)
และก็เปรี้ยงจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เฮปเบิร์นโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วและยังได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรก (และครั้งเดียว) รวมไปถึงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟต้า
แน่นอนหลังจากนั้นเฮปเบิร์นก็ได้แสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ที่โด่งดัง เช่น Sabrina (2497), Ondine (2497) ซึ่งเรื่องนี้เธอได้รับรางวัลโทนี่ จากนั้นWar and Peace 2499,Funny face 2500
และมาโด่งดังสุดขีดอีกครั้งกับภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany (2504) ขณะมีอายุ 28 ปีว่ากันว่าที่เธอแจ้งเกิดก็เพราะสาวๆ ไปถูกอกถูกใจชุดยาวสีดำกับบุหรี่ก้านยาวที่เธอสวมใส่ในเรื่อง จนกลายมาเป็นแฟชั่นที่สาว ๆ ยุคนั้นคลั่งไคล้หนักมาก
ต่อมา เธอยังรับบทในเรื่อง My fair lady (2507) ว่ากันว่าเรื่องนี้เธอทุ่มสุดตัว แต่ก็ต้องผิดหวังพลาดเข้าชิงออสการ์ในปีนั้น
ทั้งนี้ หลังจากเรื่อง My fair lady แล้ว เฮปเบิร์นก็เริ่มรับงานแสดงน้อยลงเพื่อให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เธอแสดงคือเรื่อง Always (2532) ขณะมีอายุ 56 ปี
ดาวจรัสแสง
นอกจากงานแสดงแล้ว เฮปเบิร์นยังอุทิศตัวให้กับการทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์อีกด้วย โดยร่วมงานกับยูนิเซฟมาตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มมีชื่อเสียงใหม่ ๆ
เมื่อเธอเลิกราจากงานแสดง เธอก็อุทิศตัวทำงานกับยูนิเซฟ จากประสบการณ์ในช่วงสงครามของเธอทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในงานทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์
เธอทำงานกับยูนิเซฟตั้งแต่ทศวรรษ 2493 เธอยังอุทิศเวลาและกำลังกายให้กับองค์กร ตั้งแต่ปี 2531 ถึง 2535 เธอทำงานให้กับชุมชนในแอฟริกาอเมริกาใต้และเอเชียโดยไม่แสวงหาผลประโยชน์
และในปี 2535 เธอได้รับเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดีสำหรับการทำงานให้ในฐานะ UNICEF Goodwill Ambassador
กระทั่งในปีต่อมา ออดรีย์ เฮปเบิร์น เสียชีวิตจากมะเร็งที่ไส้ติ่ง ที่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์อายุได้ 63 ปี ในวันที่ 20 มกราคม 2536
อย่างไรก็ดีเธอยังได้รับรางวัลหลังการเสียชีวิตอย่างรางวัล The Jean Hersholt Humanitarian Award จาก Academy of Motion Picture Arts and Sciences สำหรับงานการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม เธอได้รับรางวัลแกรมมี่จากผลงานบันทึกเสียงเกี่ยวกับการพูด ในผลงาน Audrey Hepburn's Enchanted Talesในปี 1994
และในปีเดียวกันเธอได้รับรางวัลเอมมีในสาขา Outstanding Achievement for Gardens of the World นอกจากนี้เธอยังอยู่อันดับ 3 จากการจัดอันดับ ดาราสาวตลอดกาลจากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน
สำหรับชีวิตส่วนตัว เธอแต่งงานสองครั้ง มีลูกชาย 2 คนจากสามีสองคนแรก โดย 1 คน จากสามีคนแรก เมล์ เฟอร์เรอร์ นักแสดง พวกเขาอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2497-2511 (14 ปี)
และคนต่อมาจากสามีคนที่สอง แอนเดรีย ด็อตติ ซึ่งเป็นจิตแพทย์ อยู่กินกันตั้งแต่ปี 2512-2525 (13 ปี) โดยสามีเสียชีวิต
จากนั้น เธอมาอยู่กินกับ โรเบิร์ต โวลเดอรส์ นักแสดง ตั้งแต่ปี 2525-2536 (11 ปี) จนกระทั่งเธอเสียชีวิตที่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์
ใครคิดถึงดาวที่สวยงามดวงนี้ ยังคงหาผลงานของเธอดูได้ ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก หากได้ชมฝีมือของเธอสักครั้งอาจถึงขั้นหลงรักเธอเลยก็เป็นได้
*******************************
มะเร็งคร่าชีวิต ออดรีย์ เฮปเบิร์น #วันนี้ในอดีต คอลัมน์วาไรตี้ประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่ความทรงจำ
แต่น่าเสียดายที่วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน เธอมาจากโลกนี้กลับดวงดาวบนฟ้าไปเสียก่อนด้วยวัยเพียง 63 ปีจากโรคร้าย มะเร็งไส้ติ่ง
วันนี้ในอดีตมาย้อนความทรงจำถึงเธออีกครั้ง
ออดรีย์ เฮปเบิร์น หรือบางคนเรียก ออเดรย์ เธอเป็นนักแสดงอังกฤษเชื้อสายเนเธอร์แลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2472 ที่เมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม และมาโตในเนเธอร์แลนด์ที่เมือง “อาร์นเฮม”
ข้อมูลเล่าว่า บิดาของเธอมาจากตระกูลขุนนางชาวอังกฤษ ส่วนมารดาสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางชาวดัตช์ แต่ชีวิตวัยเด็กของเธอแทบไม่ต่างจากเด็กโชคร้ายคนอื่นที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก
และด้วยภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนั้น ส่งผลให้เธอต้องโยกย้ายถิ่นฐานตามมารดาหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อสิ้นสุดสงครามเธอจึงได้มาลงหลักปักฐานที่อังกฤษ ราวอายุ 19 ปี
จนกระทั่งเข้าสู่แวดวงแผ่นฟิล์ม มีผลงานแสดงภาพยนตร์ และแสดงในละครเวทีเรื่อง Gigi แต่ช่วงแรกยังไม่ปังมากนัก จนเมื่อวิลเลียม ไวเลอร์ มาพบเธอเข้าก็ปี๊งเลยว่า เธอคนนี้แหละที่เหมาะสมกับบทเจ้าหญิงในภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday (2496)
แน่นอนหลังจากนั้นเฮปเบิร์นก็ได้แสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ที่โด่งดัง เช่น Sabrina (2497), Ondine (2497) ซึ่งเรื่องนี้เธอได้รับรางวัลโทนี่ จากนั้นWar and Peace 2499,Funny face 2500
และมาโด่งดังสุดขีดอีกครั้งกับภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany (2504) ขณะมีอายุ 28 ปีว่ากันว่าที่เธอแจ้งเกิดก็เพราะสาวๆ ไปถูกอกถูกใจชุดยาวสีดำกับบุหรี่ก้านยาวที่เธอสวมใส่ในเรื่อง จนกลายมาเป็นแฟชั่นที่สาว ๆ ยุคนั้นคลั่งไคล้หนักมาก
ทั้งนี้ หลังจากเรื่อง My fair lady แล้ว เฮปเบิร์นก็เริ่มรับงานแสดงน้อยลงเพื่อให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เธอแสดงคือเรื่อง Always (2532) ขณะมีอายุ 56 ปี
เมื่อเธอเลิกราจากงานแสดง เธอก็อุทิศตัวทำงานกับยูนิเซฟ จากประสบการณ์ในช่วงสงครามของเธอทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในงานทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์
และในปี 2535 เธอได้รับเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดีสำหรับการทำงานให้ในฐานะ UNICEF Goodwill Ambassador
กระทั่งในปีต่อมา ออดรีย์ เฮปเบิร์น เสียชีวิตจากมะเร็งที่ไส้ติ่ง ที่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์อายุได้ 63 ปี ในวันที่ 20 มกราคม 2536
อย่างไรก็ดีเธอยังได้รับรางวัลหลังการเสียชีวิตอย่างรางวัล The Jean Hersholt Humanitarian Award จาก Academy of Motion Picture Arts and Sciences สำหรับงานการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม เธอได้รับรางวัลแกรมมี่จากผลงานบันทึกเสียงเกี่ยวกับการพูด ในผลงาน Audrey Hepburn's Enchanted Talesในปี 1994
และในปีเดียวกันเธอได้รับรางวัลเอมมีในสาขา Outstanding Achievement for Gardens of the World นอกจากนี้เธอยังอยู่อันดับ 3 จากการจัดอันดับ ดาราสาวตลอดกาลจากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน
และคนต่อมาจากสามีคนที่สอง แอนเดรีย ด็อตติ ซึ่งเป็นจิตแพทย์ อยู่กินกันตั้งแต่ปี 2512-2525 (13 ปี) โดยสามีเสียชีวิต
ใครคิดถึงดาวที่สวยงามดวงนี้ ยังคงหาผลงานของเธอดูได้ ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก หากได้ชมฝีมือของเธอสักครั้งอาจถึงขั้นหลงรักเธอเลยก็เป็นได้