ใครเคยประสบกับปัญหาชีวิต มรสุมชีวิต แบบชีวิตถึงจุดตกต่ำสุดๆบ้างครับ

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ เพื่อนๆ จริงๆก่อนหน้านี้ ผมได้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับปัญหาชีวิตที่ผมได้เผชิญมาตั้งแต่ปี 2560 (ตอนนั้นอายุ 27 ปี) มีเพื่อนๆเข้ามาให้กำลังใจหลายคน สักพักจึงตัดสินใจลบกระทู้ไป เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เมื่อได้กลับเข้ามาอ่านก็เศร้าครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตผมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยครับ เป็นกราฟที่ต่ำคงที่ และมีแนวโน้มดูเหมือนว่าจะต่ำไปเรื่อยๆ วันนี้ผมก็ยังคงตกงาน และหมดเงิน ได้แต่ส่งเรซูเม่หางานทำ แต่ก็ยังไม่มีบริษัทไหนติดต่อเข้ามาให้ไปสัมภาษณ์ เลยตัดสินใจเข้ามาเพื่อระบายความอัดอั้นใจอีกครั้ง 
เข้าเรื่องเลยครับ ยาวหน่อยนะครับ

ที่บ้านผมอยู่มีคุณพ่อ และแม่เลี้ยง และน้องสาว บ้านเราไม่ร่ำรวย ไม่มีทรัพย์สิน ครับ ที่บ้านเปิดกิจการอู่รถยนต์ เล็กๆ ช่างมีไม่มาก อาศัยพอเป็นช่างอยู่แล้วด้วย ลูกค้าก็มาเรื่อยๆ ผมเคยทำงานประจำอยู่สักพัก แต่ด้วยการเดินทาง และอื่นๆ จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านคอยช่วยพ่อ และผมเปิดบริษัทเล็กๆ กับเพื่อนหุ้นส่วนอยู่ 3 คน รายได้บริษัทยังมีไม่มาก เพราะเราตั้งใจจะทำเป็น start up เลยใช้กำไรที่ได้หมุนเวียนลงทุนไปเรื่อยๆ และผมก็เปิดร้านขายของชำเล็กๆบริเวณหน้าอู่ เพื่อหารายได้เสริมไปอีกทางนึงด้วย 
เมื่อปี 2560 คุณพ่อผมไปต่างประเทศ และถูกดำเนินคดีจนถึงต้องโทษจำคุก (ขอไม่เปิดเผยนะครับว่าคดีอะไร) ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุก 5 ปี คุณพ่อจึงขอยื่นอุทรณ์ ศาลอุทรณ์ก็ติดสินตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปีเช่นเดียวกัน ก่อนที่พ่อจะไปต่างประเทศในวันนั้น ผมทะเลาะกับพ่อหนักมาก คือผมกับพ่อมักจะมีปากเสียงกันบ่อยๆ เรื่องความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง พ่อไม่คุยกับผมและก็เดินทางออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกใครทั้งสิ้น แต่เขาได้โทรมาบอกแม่เลี้ยงว่า จะไปต่างประเทศสัก 2-3 วัน แต่เวลาผ่านไป ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากพ่ออีกเลย พวกเราติดต่อไปที่ สายการบินที่พ่อบิน และทางสายการบินก็บอกว่ามีการเดินทางไปจริง แต่ไม่มีการเดินทางกลับ จนผ่านไป 1 สัปดาห์ ผมได้รับจดหมายจากพ่อ เป็นจดหมายที่พ่อเขียนจากเรือนจำ ผมช็อคมาก หลังจากนั้นอีก 2 วันผมก็บินไปหาไปเยี่ยมพ่อ โดยการกดบัตรเงินสดที่ผมมีเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม และค่าใช้จ่ายต่างๆ พอไปถึงได้ไปปรึกษากับทางสถานทูตแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมเจอพ่อแล้วได้พูดคุยกับประมาณ 10 นาทีก็หมดเวลา วันต่อมาก่อนจะกลับ ก็ไปหาอีกวันนึง ก็ได้คุยแค่ 10 นาที พ่อเป็นห่วงอู่มาก เพราะผมไม่เคยได้ช่วยดูงานอู่เท่าไหร่เลย อย่างมากก็ขับรถไปส่งลูกค้า ทำเรื่องประกัน ส่วนเรื่องการช่างผมทำไม่เป็นเลย พอผมกลับมาผมก็ร้องไห้แทบทุกวัน มืดไปหมด และผมก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า  ในหัวก็คิดว่าจะหาเงิน แต่การจ่ายทนายที่ต่างประเทศนั้นต้องใช้เงินเยอะมากๆ ประมาณ 6 - 8 แสนบาทได้ ผมไม่มีเงินเก็บขนาดนั้น แต่ทางศาลก็มีทนายของรัฐคอยช่วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากครับ ผมโทษตัวเองบ่อยมากตอนเรามีเงินทำไมเราไม่เก็บเงิน ถ้าเรามีเงินเก็บก็คงเอาเงินนั้นมาช่วยพ่อได้ อาจจะไม่ได้พ้นคดี แต่อาจจะทำให้โทษนั้นน้อยลงก็ได้ 
หลังจากนั้น เราก็ติดต่อกันโดยกันเขียนจดหมายหากันเป็นระยะๆ ครับ

เมื่อผมกลับมา ผมก็ได้บอกความจริงให้ช่างที่อยู่ที่อู่ ซึ่งมีอยู่ 3 คน ณ ตอนนั้น ผมก็เรียกทุกคนเข้ามาและบอกความจริงของพ่อไป และห้ามบอกใครเรื่องนี้ 
ทุกคนดูเห็นอกเห็นใจผมและตั้งใจทำงานกัน โดยมีแม่เลี้ยงคอยช่วย คอยสนับสนุน 
หลังจากนั้น ช่างที่อู่ก็ลาออกทีละคนๆ รวมถึงแม่เลี้ยงด้วยเขาก็ย้ายออกไป เพราะเขาก็ไม่ได้ทำงาน เขาเป็นแม่บ้าน และผมก็ไม่มีเงินแบ่งให้เขา และเท่านั้นยังไม่พอ ช่างก็ได้โกงเงินค่าจ้างไปด้วย คือเบิกเงินล่วงหน้าไป แล้วก็หนีหายไม่ทำงานเลย (ประมาณ 13,000 บาท) บวกกับผมต้องรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแต่ละเดือนของอู่ ค่าอุปกรณ์ ค่าวัตถุดิบ ต้องมีเงินให้ลูกค้าเบิกล่วงหน้าได้ตลอด เพราะส่วนนึงคือเราต้องการจะเลี้ยงเขาไว้ให้ทำงานอยู่กับเรานานๆ จนสุดท้าย ที่อู่ก็เหลือช่างเพียง 1 คนเท่านั้น แน่นอนครับ เงินผมหมดลงๆ จะเรียกว่าภาะขาดทุนก็ได้นะครับ เพราะ การที่มีช่างเพียง 1 คนนั้นหมายถึงว่า เราก็สามารถซ่อมรถได้ครั้งละ 1 คันเท่านั้น กำลังคนเราไม่มี แต่ช่างคนนี้ก็ยังคง royalty อยู่ 
ผ่านไม่สักปีนึงได้ ช่างคนนี้ ก็เดินมาบอกผมว่า เขาขอรับงานที่อู่นี้ด้วยตัวเขาเอง เขาใช้อุปกรณ์ สถานที่ ทุกอย่างในอู่ แต่วัตุดิบ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆเขาจะรับผิดชอบเอง โดยเขาจะให้ส่วนแบ่งรายได้ 10% ให้ผม ฟังดูก็เหมือนโดนฮุบกิจการยังไงไม่รู้นะครับ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกผมก็ต้องตัดค่าใช้จ่ายเท่าที่จะตัดได้ออก ผมจึงตกลงตามนี้  ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันครับ ผมก็ได้ส่วนแบ่งเล็กๆน้อยๆจากรายได้ของอู่ในแบบที่ช่างของผมรับงานเองทั้งหมด แต่ผมก็ ได้ช่วยหาลูกค้าด้วย ก็คิดซะว่า ลูกค้ามีเขาได้เราก็ได้ บางทีเขารับลูกค้าเองบ้าง ผมก็อาจจะไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมคิดแค่ว่า จะทำยังไงให้กิจการเดินต่อไปได้ จนกว่าพ่อจะกลับมาเท่านั้น 

ตอนนี้ดูเหมือนผมจะโล่งเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วใช่ไหมครับ แต่รายได้จากส่วนแบ่ง 10% ก็ไม่ได้มากพออะไรหรอกครับ บางเดือนงานน้อยๆ ผมก็ไม่ได้ก็มี ผมเคยขอเขา แต่เขาบอกว่างานน้อยนะเดือนนี้ ขอไม่ให้ ผมก็ยอมๆ 

ผมก็ขายของของผมไป บวกกับรายได้เล็กๆน้อยๆ จากบริษัทตัวเอง ย้ำว่าน้อยจริงๆ ครับแบบน้อยกว่าเงินเดือน ป.ตรีอ่ะ แต่ผมก็เริ่มเก็บหอมรอมริบได้นิดๆหน่อยๆ ถามว่า แล้วงานไม่มีความมั่นคงอย่างนี้ ทำไมไม่ไปสมัครงาน ก็เพราะว่าคำพูดของพ่อผมที่บอกว่าให้ดูอู่ยังไงล่ะครับ ผมถึงยึดติด แต่ห่วงแต่อู่ ร้านขายของชำก็อยู่หน้าอู่ ทำงานตัวเองก็ทำที่ออฟฟิศที่อู่ ผมไม่เคยได้ไปไหนเลย เรื่องหางานพอคิดจะหา หัวก็กลับมาคิดว่า แล้วใครจะดูอู่ล่ะ 

ผมและน้องสาวพอจะเก็บเงินได้นิดหน่อย ผมเลยออกไอเดียให้น้องเช่าตึกเปิดร้านอาหารตอนกลางคืนกัน ตอนกลางวันผมก็อยู่อู่ได้พอตกตอนเย็นก็มาช่วยกันที่ร้าน เราทั้ง 2 คน ได้ใช้เงินเก็บอันเล็กน้อยเท่าที่มี 2 คนรวมกันได้ประมาณ 6 หมื่นบาท เช่าตึกอาคารพาณิชย์หน้าโรงงาน อุตสาหกรรมและคลังสินค้า เปิดร้านอาหารกึ่งบาร์ ครับ และในที่สุดผมก็ต้องปิดร้านของชำผมไปโดยทันที เพราะว่าก็ไม่มีใครช่วยขายครับ ผมได้ทุ่มเท แรง เงิน และความสามารถที่มีให้กับร้านอาหารนี้ช่วยน้องทุกอย่าง และให้ชื่อน้องเป็นคนจดทะเบียน เพื่อที่จะได้เดินบัญชีในการทำธุรกรรมต่างๆในอนาคตต่อไป เพราะตัวผมเองติดบูโรเรื่องบัตรเครดิตไปแล้ว 

เปิดเดือนแรก สค 62 ยังไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก เข้าเดือนที่ 2 กย 62  ก็ดีขึ้นแต่ก็ยังคงเงียบอยู่ พอเข้าเดือนที่ 3 ตค62 ดีเลยครับ ลูกค้าแน่นทุกวัน แต่ ก็ทำไปหมุนไปใช้จ่ายไปกับค่าอุปกรณ์ต่างๆ เพราะเงินทุกเราน้อยครับ อย่างเช่นตอนแรก ที่ร้านจะเปิดเพลงด้วยผมก็เอาเครื่องเสียงที่ผมฟังอยู่มาเปิด แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่เยอะขึ้นเสียงลำโพงสู้กับเสียงลูกค้าไม่ได้ก็ทำให้เพลงเบา เลยต้องลงทุนซื้อเครื่องเสียงลำโพงชุดใหญ่ขึ้น มีการลงทุนเรื่องโต๊ะเก้าอี้เพิ่มขึ้น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ลูกค้าเยอะก็จริงครับ แต่เราก็ลงทุน เงินก็เลยเหลือไม่เยอะ บวกกับค่าเช่าร้านอีกเดือนละ 10,000 บาท ค่าไฟประมาณ 5,000 บาท ค่าน้ำประมาณ 500 บาท ค่าเน็ต 900 บาท ค่าจ้างพนักงานประมาณ 9,000 บาท จึงทำให้กำไรเหลือไม่เยอะอะไรนัก ผมก็บอกน้องว่าไม่เป็นไร ถือซะว่า เดือนนี้ลงทุน เดือนหน้าเดี๋ยวก็ได้ 

ผมไปช่วยน้องที่ร้านทุกเย็น ทุกคืน โดยที่ไม่ได้ค่าจ้างแต่อย่างใด เงินทุกบาททุกสตางค์ผมให้น้องเก็บหมด และผมก็ไม่ได้เรียกร้องด้วยผมอยากช่วยน้อง และผมก็เต็มใจ แม้บางวันผมต้องทิ้งงานเพื่อไปดูแลร้านก็ตาม เพราะน้องสาวผมมีลูก 3 ขวบ เธอเป็น single mom ผมจึงต้องเป็นพ่อแทนตอนเช้าผมไปส่งหลานไปโรงเรียน บ่าย 3 ผมไปรับกลับมาแล้วเข้าร้านเลย  ตกเย็นก็ต้องเอาหลานไปนอนแล้ว ผมจึงต้องอยู่ที่ร้านทุกคืน โดยที่ไม่ได้อะไร ถามว่าทำไปทำไม ก็ความเป็นพี่ชายนะครับ เราเสียละได้ และเต็มใจครับถึงแม้ว่า เราจะเดือนร้อนก็ตาม กดือนร้อนจริงๆนะครับ งานตัวเองไม่ได้ทำ รายได้ก็หายไป ร้านขายของชำก็ปิด แต่เพราะเราเป็นพี่ชายไงครับ ผมเลยต้องทำแบบนี้

พอเข้าเดือน พย 62 เงียบเลยครับ เนื่องจากว่ากลุ่มลูกค้าเราเป็นคนทำงานโรงงานรายได้ไม่เยอะ และใกล้ปีใหม่แล้วเขาจึงเก็บเงิน ต่อมาเดือน ธค 62 ก็เงียบเช่นเดียวกันครับ ช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือน มาได้คืนช่วงปลายเดือนที่มีกลุ่มโรงงานมาฉลองปีใหม่กัน สรุปปลายปี ก็เดือนชนเดือนครับ ไม่ได้กำไรอะไรมากเลย ชนพอดีเป๊ะๆ ที่ทำไปก็เพราะว่า ส่วนนึง เราก็เห็นว่ามีลูกค้าหน้าใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ และธุรกิจร้านอาหารแบบนี้ต้องอาศัยเวลา หน่อย เพราะทุนโปรโมทร้านเราไม่เยอะ อย่างเอาป้ายไปติดหน้าทางเข้า ก็โดนทางหลวงเอาออก ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กีดขวางเลย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ คิดว่าซวยไป 

มาถึงตอนนี้ มค 63 ร้านหลังปีใหม่ก็ยังคงทรงตัว ลูกค้ายังไม่เข้ามาแน่นเหมือน ตค 62 เพราะส่วนนึงก็คิดว่า เงินเขาน่าจะหมดไปกับช่วงเทศกาล ทางร้านก็ทำโปรโมชั่นเรื่อยๆนะครับ ก็ได้แต่หวังกว่า วันต่อๆไปจะดีขึ้น และคอยอยู่เคียงข้างน้องเป็นผู้นำน้องตลอด แต่ความกดดันมหาศาลก็เข้ามาครับ วันไหนหรือช่วงไหนที่ร้านเงียบๆ ผมมักจะเครียดแล้วคิดอยู่ตลอดว่า เราจะถอยไม่ได้ เราจะพาน้องมาตายไม่ได้ เราต้องทำให้น้องเห็นว่า เราพามาแล้วรอด เครียดมากครับ 

กลับมาที่ตัวผมบ้างครับ อย่างที่บอกไป ผมทิ้งงานส่วนตัว ปิดร้านเพื่อไปช่วยทำร้านอาหาร ผมใช้เงินส่วนตัวของตัวเองช่วยน้องลงทุน และเงินของผมก็หมดลงเรื่อยๆครับ ผมมารู้ตัวเองอีกทีคือเงินใน บช เหลือไม่ถึงพัน ความเครียดก็ทำให้ผมขึ้นเสียงใส่น้อง แต่ขึ้นเเรื่องอื่นๆนะครับ เรื่องงานในร้านนี่แหละ เราทะเลาะกันในไลน์สักพัก แล้วก็ไม่เคยกัน 

ผมจึงตัดสินใจ ไม่เข้าร้าน ผมอยู่คนเดียวและเปิดคอม ปรับปรุง resume แล้วร่อนไปตามบริษัทและสายงานที่เราเคยทำมาครับ ผ่านมาก็ 1 สัปดาห์แล้ว ยังไม่มีใครไหน เรียกเลยครับ คิดว่า ผมได้เว้นช่วงการทำงานประจำไปหลายปีเหมือนกัน อายุงานเลยน้อยไม่ประติดประต่อ เลยทำให้ไม่น่าสนใจกับ hr ผมไม่ได้เข้าไปที่ร้านมา 2 วันแล้วครับ อยู่กับตัวเองเงียบๆคนเดียวเก็บตัว เปิดคอมดูงานบริษัทตัวเองก็ไม่มี สลับกับส่งใบสมัครงาน  และวันนี้เงินผมก็เหลือเพียง 150 บาทใน บช ครับ เรื่องจริงครับ ผมเครียดมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี  มืดไปหมดเลยครับ  งานบริษัทตัวเองก็ไม่มี ท้อมาก ก็นอนดูเพดานโง่ๆ เปิดเกมเล่นบ้าง ผมไม่รู้จะปรึกษาใครเรื่องนี้ดี หรือทำอะไรดี ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะตกต่ำถึงขนาดนี้ ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน อ้อและที่สำคัญหนี้สินอีกเยอะมาก ค่างวดต่างๆ ตามทวงกันทุกวันเลยครับ ค่างวดรถค้างมา 3 งวดแล้ว จะเข้า 4 งวดเดือนี้ไหนจะเรื่องอื่นๆอีก มันเครียดมันสิ้นหวังมากครับ ผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าตั้งแต่พ่อผมไม่ได้กลับมาเมืองไทย ถึงตอนนี้ก็เป็นหนักขึ้นครับ ผมคิดเรื่องคิดสั้นบ่อยมาก มันแวปมาในหัวตลอดๆ วันละ 2-3ครั้งเลย 
ผมคือคนแพ้คนนึงเลยครับ ผมบริหารชีวิตตัวเองผิดพลาด ไปยังน้องที่พาน้องมาเปิดร้านอาหา ที่ผ่านไป 5 เดือน ก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าเท่าที่ควรอีก 

เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ เคยเจอเหตุการณ์หรือจุดต่ำสุดของชีวิตบ้างครับ ผ่านมายังไง แล้วคิดว่าผมควรทำอย่างไรต่อไปดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่