Gifted program in USA

วันนี้ว่าง จะมาเล่าเรื่อง gifted program สำหรับเด็กประถม ในอเมริกาให้ฟังค่ะ คือ เราได้อ่าน เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เราเลยอยากมาเล่าให้ฟังนะคะ
 
ลูกเราเรียน public school ที่อเมริกา (รัฐจนค่ะ ถ้ารัฐที่เงินเยอะ อาจจะต่างกันออกไป ) ตอนอยู่ ป.2 ครูมาขออนุญาตให้ลูกไปสอบเข้า program gifted ซึ่งลูกไปสอบก็ผ่านค่ะ เข้า gifted program ซึ่งก็จะเรียนตามปกติ แต่จะมีอาทิตย์ละครั้งจะได้ไปเข้าร่วมกับ gifted program เพื่อเรียนรู้ ทำกิจกรรมพิเศษ ที่ครูผู้เชี่ยวชาญด้าน gifted children คิดมา จากที่ผ่านมา เราเคยถามลูกว่าครูให้เรียนอะไรบ้าง ตอนนี้ลูกอยู่ ป.4 ลูกบอกว่า วงจรไฟฟ้า robots การนำเสนองานด้วยคอมพิวเตอร์ การคิดบัญชีรายจ่ายและวางแผนในการท่องเที่ยว (ลูกบอกอันนี้น่าเบื่อมาก) และก็มีสอนประวัตินักวิทยาศาสตร์ และการทำการทดลองวิทยาศาสตร์ นี่คือคร่าวๆ เท่าที่จำได้ค่ะ เด็ก gifted ต้องตามเก็บวิชาที่ขาดเรียนไปเอง เลยเรียนเยอะกว่าเพื่อนนิดหน่อย แต่เทียบไม่ติดกับเมืองไทยเลย
 
สิ่งที่เราคิดว่าต่างจากไทยมากคือ gifted chlid โดยความหมายที่นี่คือ การสอบเพื่อเข้า gifted program ไม่ได้มุ่งแต่เด็กทีาเรียนเก่งอย่างเดียว แต่มุ่งหาเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ด้วย ข้อสอบไม่ใช่ข้อสอบทางวิชาการ แต่เป็นข้อสอบที่ออกแบบมาพิเศษ ในห้องลูกเรามีเด็ก 22 คน มีเด็กสองคนที่ครูให้ไปสอบเข้าโปรแกรม ดูว่าผ่านเกณฑ์ไหม (ครูจะเป็นผู้คัดเลือกเบื้องต้น) ซึ่งเด็กผู้ชายอีกคนที่ไปสอบพร้อมลูกเราคือ สอบในห้องได้คะแนนแย่มากๆ (ลูกเราชอบเล่าค่ะ เขาเล่าเรื่องเด็กคนนี้ให้เราฟังบ่อยๆ) เราก็ไม่รู้ว่าทำไมครูคิดว่าเด็กคนนี้ gifted แต่คือ ผลผ่านทั้งคู่ ลูกสาวเพื่อนที่อีกที่ได้เข้าสอบ ซึ่งผ่านเหมือนกัน ได้ไปสอบเพราะ ครูเห็นว่าสามารถใช้สีในการวาดได้ดีกว่าเด็กคนอื่น (choose unusable combination color in her painting) เป็นการเปิดโลกเราเลยว่า gifted child ที่นี่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องวิชาการ
 
ที่โรงเรียนนั้น ครูไม่ได้ปฏิบัติกับเด็ก gifted ต่างจากเด็กอื่นๆ ซึ่งต่างกับเมืองไทยที่ครูมักชอบ รัก ยกย่องเด็กฉลาด มากกว่าเด็กทั่ว ๆ ไป  
 
เราไปหาอ่านเรื่อง gifted child จากรัฐบาล เพิ่มเติม เขาอธิบายไว้ว่าgifted child เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ จะมีสมองที่รับรู้ได้เร็ว ช่างจดจำ คิดลึก สร้างสรรค์ แต่ทั้งนี้ ความที่สมองเด็กเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าคนทั่วไป เวลาเขาเจ็บปวด อาจจะรู้สึกมากกว่าคนทั่วไป เขาจะคิดมากกว่า ตั้งคำถามเยอะกว่า  อาจจะกังวลมากกว่าเด็กทั่ว ๆ ไป เวลาเรียน หากให้สิ่งกระตุ้นไม่พอ เขาอาจจะเบื่อหน่าย และเกลียดการเรียนไปเลย ดังนั้นรัฐบาลเห็นว่า ควรมีการส่งเสริม เด็ก gifted เพื่อให้เด็กพัฒนาตัวเอง ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้คุ้มค่า เราชอบมากที่เขาอธิบายว่ามันมีข้อดีอย่างนี้  แต่มันมีข้อเสียด้วย ซึ่งที่ไทย เวลาคนพูดถึง gifted คือเด็กเรียนเก่ง จบ ซึ่งมันไม่ใช่เลย มันมีลักษณะ มีข้อดี ข้อด้อย ที่เราควรสังเกตุ เข้าใจ และส่งเสริม ประโยคที่เราชอบมากๆ คือ “  ถ้าเด็ก gifted ได้รับความเข้าใจ ส่งเสริม พัฒนาจากพ่อแม่ ครูอาจารย์ เด็กก็จะพัฒนาได้ดี และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เด็ก gifted แต่ เด็กทุกคน ถ้าได้รับการส่งเสริม ยอมรับ จากพ่อแม่ ครูอาจารย์ ย่อมมีโอกาสประสบมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ส่งเสริมเด็ก ๆ ทุกคนไม่ว่าจะ gifted หรือไม่” 
 
สำหรับพ่อแม่ที่อยากสังเกตุว่าลูก gifted ไหม ตอนเป็นทารก ลองสังเกตต่อไปนี้นะคะ 
 
ตอนเป็นเด็กทารก เด็กนอนน้อยกว่าเด็กทั่วไป ตื่นตัวเยอะ มองไปมาตลอด พัฒนาการเร็วกว่าปกติ ขี้เบื่อ demanding ( เราไม่รู้จะแปลว่าอะไรค่ะ เอาแต่ใจได้ไหม) อันนี้คือ ลูกเราเป็นหมด เคยคิดว่า ทำไมลูกเรามันช่างเลี้ยงยากเย็นกว่าคนอื่นเขา ลูกคนอื่นกินแล้วนอน ทำไมลูกเราไม่นอน แล้วจะโง่ไหม หนังสือว่านอนไม่พอเดี๋ยวสมองไม่พัฒนาอีก มีเคลิ้ม ๆ เผลอ สับปะหงก เอามือตบหน้าตัวเองให้ตื่นอีก แม่เครียดมาก ลูกเป็นอะไร 555
 
 
พอโตแล้วก็จะถามค่ะ สงสัย โน่นนี่ และคิดมากๆๆ บางทีก็กังวลมากไป และจะเจ็บปวดง่ายค่ะ sensitive ทั้งกายภาพ และจิตใจ คนอื่นปวดระดับ 1 ลูกเราปวดเหมือนกัน แต่ลูกเราปวดระดับ 5 ค่ะ ตอนแรกคิดว่าลูกดราม่า  แต่พออ่านเรื่อง gifted ก็เริ่มเข้าใจ แต่ทั้งนี้  ไม่มีรูปแบบตายตัวนะคะ แม่บางคนว่าลูก นอนง่าย เป็นคนง่ายๆ  ไม่มีอะไรแบบนี้เลย ก็ gifted ก็มี

อีกข้อที่คิดว่า gifted program ของอเมริกา ดีคือ เด็กบางคนมีปัญหาการเรียนรู้ เป็น adhd ก็เป็น gifted ได้ คือ เขาไม่ตัดเด็กที่มีปัญหาออก ถ้าเด็กเข้าข่าย ก็ถือว่า gifted 

ข้อดีของ gifted ก็คือ เรียนรู้ไวค่ะ ถ้าคนอื่นแนวสร้างสรรค์อาจจะต่างไป แต่ลูกเราชอบเรียนที่โรงเรียน แต่ไม่มีเรียนพิเศษวิชาการนะคะ  นี่คือผลสอบระดับรัฐ 


อ้อ gifted วันนี้ อาจไม่ gifted ตลอดไปนะคะ เหมือนสูงตอนประถม แต่ตอนมัธยมอาจจะโดนเพื่อนไล่ทัน ฉะนั้น
คุณพ่อ คุณแม่ก็เตรียมใจไว้บ้าง อย่าคิดแต่ว่าลูกจะต้องเก่งแบบนี้ตลอดไป อันนี้ความรู้ใหม่สำหรับเราเหมือนกัน

นึกออกแค่นี้ค่ะ ได้เวลากลับบ้านพอดี 55 ถ้านึกออกจะมาเล่าต่อนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่