เป็นโอกาสดีมากจริงๆ ที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพรายการที่มีมาตรฐานในการจัดแข่งขันในระดับเอเชีย
ซึ่งทำให้เราได้เห็นความแตกต่างหลายๆอย่าง ระหว่างจุดที่เรายืน จุดที่เราเคยยืน และจุดที่เป็นมาตรฐานในระดับเอเชีย
ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล แต่รวมถึงระบบต่างๆก็เช่นกัน ทั้งการเตรียมงาน การถ่ายทอดสด มุมกล้อง การตัดต่อ การใช้ VAR
และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เราได้เห็นว่า ถ้าเราจะก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้ คงจะหวังว่าแค่นักเตะเก่งขึ้นอย่างเดียวไม่พอจริงๆ
ระบบการจัด การถ่ายทอดสด มุมกล้อง การตัดต่อ เรื่องแบบนี้ก็ต้องพัฒนากันอีกไม่น้อยเลย
รวมไปถึงระบบการตัดสิน นี่คืออีกเรื่องสำคัญ ที่ฤดูกาลที่แล้วมีการกล่าวถึงคุณภาพของระบบตัดสินของลีกอย่างมาก
ในตอนนี้ AFC นำมาวางให้เราเห็นตรงหน้าเราแล้ว เราควรที่จะเรียนรู้กับมันให้มากๆ
เพราะเราเห็นได้ชัดว่า ในทัวร์นาเม้นต์นี้ การตัดสินในแต่ละเกมส์ แตกต่างจากในลีกของไทยอย่างมาก
หลายเกมส์มีเกมส์ที่เร็วมาก หลายเกมส์ปะทะกันตลอดทั้งเกมส์
แนวคิดในการตัดสินของกรรมการผมว่าน่าสนใจในการจัดการความเรียบร้อยในสนามนะ
อย่างแรก เห็นได้ชัดว่า ไม่มีการเป่าๆหยุดบ่อยๆ เกมส์ไหลลื่นกันทุกเกมส์
อย่างที่สอง ถ้าฟาวล์หนัก ก็มีระดับชัดเจน ตลอดทั้งเกมส์ ไม่ใช่ว่าฟาวล์แบบนี้ครึ่งแรกจะแค่โดนเตือน
แต่ครึ่งหลังฟาวล์แบบเดียวกันจะเป็นใบเหลือง คือถ้าจะเป็นการเตือนก็คือเตือน ถ้ายังทำอยู่ ก็จะใบเหลืองทันที
ไม่สนใจว่าจะเป็นครึ่งแรกหรือครึ่งหลัง
อย่างเกมส์กับออสเตรเลียเมื่อวานนี้ เราพยายามตัดฟาวล์ออสเตรเลียที่กลางสนามบ่อยครั้ง
แต่ถ้าออสเตรเลียได้เปรียบอยู่ กรรมการก็จะปล่อยให้เล่นต่อเลย หรือแม้แต่การปะทะเล็กน้อย และล้มง่าย เขาก็ปล่อย
ดังนั้นจึงเกิดการปะทะกันทั้งเกมส์ และถ้าล้มไม่ได้แปลว่าจะได้ฟาวล์ หรือเสียฟาวล์แล้วเกมส์หยุด เสมอไป
สุดท้ายจังหวะแบบนี้ นักเตะที่ไม่ชินจะ เงอะๆงักๆ แล้วก็เสียจังหวะ เกิดช่องโหว่ง และข้อผิดพลาดในที่สุด
เช่นลูกที่เขายิงตีเสมอ
แน่นอนว่าปัญหาความแข็งแกร่งของนักเตะเป็นเรื่องของสโมสร ที่จะต้องกลับไปพัฒนาระบบฟิตเนส เพื่อให้นักเตะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งนั้นมันจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากในสนามไม่อนุญาตให้ใช้ความแข็งแกร่งนี้ได้
ถ้าปะทะล้มแล้วยังได้ฟาวล์ ถ้าไม่ล้มแล้วยังฟาวล์ ถ้าใบเหลืองใบแดงยังมีให้ใช้ได้แค่ครึ่งหลัง แบบนี้ความแข็งแกร่งมันจะไร้ความหมาย
แล้วทำไมสโมสรจะต้องสนใจที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยล่ะครับ
นี่คือข้อแตกต่างของบุรีรัมย์รึเปล่า เพราะพวกเขาต้องต่อสู้ในเวที สโมสรเอเชีย ซึ่งความแข็งแกร่งถูกอนุญาตให้นำมาใช้ได้
นักเตะของพวกเขาจึงสามารถยืนระยะในเกมส์ที่ต้องปะทะหนักๆได้ และในระดับลีกพวกเขาเลยแข็งแกร่งไปด้วย
ผมเรียกร้องให้ทางสมาคม สนใจเรื่องกรรมการ ในไทยลีก ฤดูกาลหน้าด้วย
นักเตะไทยจะแกร่งขึ้นแน่นอน ถ้าความแข็งแกร่งนั้น ถูกอนุญาตให้นำมาใช้ได้
เลิกเสียทีเถอะ แบบปะทะล้มแล้วยังได้ฟาวล์ ถ้าไม่ล้มแล้วยังฟาวล์ ใบเหลืองใบแดงยังมีให้ใช้ได้แค่ครึ่งหลัง แบบนี้น่ะ
แต่ถ้าเล่นรุนแรง ก็แบนยาวๆไปเลย ใบแดงทันทีเลย ถึงเวลาที่สมาคมต้องยกระดับลีกแล้วล่ะครับ
ระบบการตัดสินควรต้องได้รับการปรับปรุงเสียที
ควันหลงจากเกมส์แพ้ออสเตรเลีย นักเตะไทยจะก้าวไปอีกขั้น แค่สโมสรอาจจะยังไม่พอ ระบบลีกต้องปรับปรุงด้วย
ซึ่งทำให้เราได้เห็นความแตกต่างหลายๆอย่าง ระหว่างจุดที่เรายืน จุดที่เราเคยยืน และจุดที่เป็นมาตรฐานในระดับเอเชีย
ไม่ใช่แค่นักฟุตบอล แต่รวมถึงระบบต่างๆก็เช่นกัน ทั้งการเตรียมงาน การถ่ายทอดสด มุมกล้อง การตัดต่อ การใช้ VAR
และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เราได้เห็นว่า ถ้าเราจะก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้ คงจะหวังว่าแค่นักเตะเก่งขึ้นอย่างเดียวไม่พอจริงๆ
ระบบการจัด การถ่ายทอดสด มุมกล้อง การตัดต่อ เรื่องแบบนี้ก็ต้องพัฒนากันอีกไม่น้อยเลย
รวมไปถึงระบบการตัดสิน นี่คืออีกเรื่องสำคัญ ที่ฤดูกาลที่แล้วมีการกล่าวถึงคุณภาพของระบบตัดสินของลีกอย่างมาก
ในตอนนี้ AFC นำมาวางให้เราเห็นตรงหน้าเราแล้ว เราควรที่จะเรียนรู้กับมันให้มากๆ
เพราะเราเห็นได้ชัดว่า ในทัวร์นาเม้นต์นี้ การตัดสินในแต่ละเกมส์ แตกต่างจากในลีกของไทยอย่างมาก
หลายเกมส์มีเกมส์ที่เร็วมาก หลายเกมส์ปะทะกันตลอดทั้งเกมส์
แนวคิดในการตัดสินของกรรมการผมว่าน่าสนใจในการจัดการความเรียบร้อยในสนามนะ
อย่างแรก เห็นได้ชัดว่า ไม่มีการเป่าๆหยุดบ่อยๆ เกมส์ไหลลื่นกันทุกเกมส์
อย่างที่สอง ถ้าฟาวล์หนัก ก็มีระดับชัดเจน ตลอดทั้งเกมส์ ไม่ใช่ว่าฟาวล์แบบนี้ครึ่งแรกจะแค่โดนเตือน
แต่ครึ่งหลังฟาวล์แบบเดียวกันจะเป็นใบเหลือง คือถ้าจะเป็นการเตือนก็คือเตือน ถ้ายังทำอยู่ ก็จะใบเหลืองทันที
ไม่สนใจว่าจะเป็นครึ่งแรกหรือครึ่งหลัง
อย่างเกมส์กับออสเตรเลียเมื่อวานนี้ เราพยายามตัดฟาวล์ออสเตรเลียที่กลางสนามบ่อยครั้ง
แต่ถ้าออสเตรเลียได้เปรียบอยู่ กรรมการก็จะปล่อยให้เล่นต่อเลย หรือแม้แต่การปะทะเล็กน้อย และล้มง่าย เขาก็ปล่อย
ดังนั้นจึงเกิดการปะทะกันทั้งเกมส์ และถ้าล้มไม่ได้แปลว่าจะได้ฟาวล์ หรือเสียฟาวล์แล้วเกมส์หยุด เสมอไป
สุดท้ายจังหวะแบบนี้ นักเตะที่ไม่ชินจะ เงอะๆงักๆ แล้วก็เสียจังหวะ เกิดช่องโหว่ง และข้อผิดพลาดในที่สุด
เช่นลูกที่เขายิงตีเสมอ
แน่นอนว่าปัญหาความแข็งแกร่งของนักเตะเป็นเรื่องของสโมสร ที่จะต้องกลับไปพัฒนาระบบฟิตเนส เพื่อให้นักเตะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งนั้นมันจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากในสนามไม่อนุญาตให้ใช้ความแข็งแกร่งนี้ได้
ถ้าปะทะล้มแล้วยังได้ฟาวล์ ถ้าไม่ล้มแล้วยังฟาวล์ ถ้าใบเหลืองใบแดงยังมีให้ใช้ได้แค่ครึ่งหลัง แบบนี้ความแข็งแกร่งมันจะไร้ความหมาย
แล้วทำไมสโมสรจะต้องสนใจที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยล่ะครับ
นี่คือข้อแตกต่างของบุรีรัมย์รึเปล่า เพราะพวกเขาต้องต่อสู้ในเวที สโมสรเอเชีย ซึ่งความแข็งแกร่งถูกอนุญาตให้นำมาใช้ได้
นักเตะของพวกเขาจึงสามารถยืนระยะในเกมส์ที่ต้องปะทะหนักๆได้ และในระดับลีกพวกเขาเลยแข็งแกร่งไปด้วย
ผมเรียกร้องให้ทางสมาคม สนใจเรื่องกรรมการ ในไทยลีก ฤดูกาลหน้าด้วย
นักเตะไทยจะแกร่งขึ้นแน่นอน ถ้าความแข็งแกร่งนั้น ถูกอนุญาตให้นำมาใช้ได้
เลิกเสียทีเถอะ แบบปะทะล้มแล้วยังได้ฟาวล์ ถ้าไม่ล้มแล้วยังฟาวล์ ใบเหลืองใบแดงยังมีให้ใช้ได้แค่ครึ่งหลัง แบบนี้น่ะ
แต่ถ้าเล่นรุนแรง ก็แบนยาวๆไปเลย ใบแดงทันทีเลย ถึงเวลาที่สมาคมต้องยกระดับลีกแล้วล่ะครับ
ระบบการตัดสินควรต้องได้รับการปรับปรุงเสียที