สวัสดีค่ะ เราเป็นคนนึงที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษมาก คือทั้งชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง และ ไปเรียนที่สถาบันสอนภาษา และพอดีเราทำงานที่ห้องอาหารโรงแรม 5 ดาว เราก็เลยได้มีโอ-กาสพัฒนาตัวเองในเรื่องของภาษาอังกฤษในทุกๆวัน ระหว่างที่ทำงาน เราก็เรียนภาษาอังกฤษไปด้วย จนมาถึงวันนึง วันที่เราก้าวไปพัฒนาสกิลภาษาอังกฤษของเรา อีก step หนึ่ง คือ เราตัดสินใจนำเงินเก็บที่มี ไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษค่ะ แต่สิ่งที่เราได้กลับมา มันมากกว่าสกิลภาษาที่เราได้รับ
มาค่ะ เราจะเล่าประสบการณ์ที่เราได้อยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เกือบ 1 ปี ให้ฟัง
เริ่มแรกวันที่เราเดินทางไปถึงลอนดอน คือเราโชคดีที่มีญาติอาศัยอยู่ที่นั่น เลยได้ไปพักกับญาติ แต่ถ้าเป็นไปได้ ใครมาเรียนภาษาที่นี่ แนะนำให้พักที่มีเพื่อนต่างประเทศแชร์ห้องกันนะคะ เพราะในชีวิตประจำวันจะได้ฝึกพูดภาษาด้วย แต่เราาาาา พูดแต่ภาษาไทยค่ะตอนอยู่บ้าน 5555
อันนี้น้าเรา และ เรา ก่อนเริ่มไปเรียน
เราเป็นคนนึงที่มั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมาก แต่แล้ววันนึง วันที่เราขึ้นรถเมล์กำลังกลับบ้าน รถเมล์ดันหมดระยะกระทันหัน ส่วนเราหลับอยู่ คนขับรถขึ้นมาโวยวาย บอกประมาณว่าเธอต้องลงแล้วเพราะรถหมดระยะ ด้วยความที่เรายังไม่ชินเส้นทาง เลยถามกลับไปว่า ถ้าฉันจะไป Oxford street. จะต้องขึ้นรถอะไรต่อไป คนขับฟังเราไม่รู้เรื่องค่ะ เราพยามอธิบายอยู่นาน จนต้องสะกดว่า O-x-f-o-r-d S-t-r-e-e-t หมดกันภาษาอังกฤษที่เราเรียนมาตั้งแต่อนุบาลที่ประเทศไทย แกรมมงแกรมม่า ช่วยอะไรกูไม่ได้แล้ว เหมือนมาเริ่มใหม่เลย จากนั้นก็เริ่มพยามพูดเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ 5555 เอ้อ ต้องบอกด้วยว่า สำเนียงคนองกฤษ เรียกว่า British accent ค่อนข้างฟังยากสำหรับคนไทย หากใครอยากรู้ว่า British accent เป็นยังงัย ต้องไปดูหนังเรื่อง Harry Potter ค่ะ อันนั้นแหละ ชัดเจน 5555
บรรยากาศการนอนเอนหลังในสวนหย่อมที่ลอนดอน
เปิดเรียนวันแรก สถาบันสอนภาษาท่ี่เราเรียนชื่อว่า Speak up London ค่ะ อยู่ใจกลางถนน Oxford Street ใครเคยมาจะทราบว่าเป็นถนนที่มีแหล่ง Shopping กลางลอนดอนค่ะ สถาบันที่เราเรียนไม่ได้หรูมาก แต่การสอนค่อนข้างดี ทั่วถึง และยังมี Speaking class ฟรี หลังเลิกเรียน 1 ชม ด้วย ทำให้เราได้เจอเพื่อนห้องอื่น ได้ทำความรุ้จักกับเพื่อนต่างชาติเยอะขึ้น
คลาสที่เราเรียนตอน อยู่ level Pre intermediate
จริงๆแล้วก่อนเรียน เขาจะมีให้สอบวัด level ภาษาอังกฤษว่าเราควรเริ่มเรียนระดับไหน ของเราลงเรียนไป 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน เลยตัดสินใจขอเรียนตั้งแต่ Elementary Level คือ เบบี๋มากๆ level ของที่นี่จะเริ่มจาก Elementary - Pre Intermediate - Intermediate - Pre Advance - Advance และคลาสที่เราเรียนคือเริ่มตั้งแต่ 9:00 - 12:00 น. คือเรียนแค่ 3 ชม. ต่อวัน จ-ศ ส่วน Speaking Class จะเริ่ม 12:30-13:30 (เรียนฟรี )
ตอนเซลฟี่กับเพื่อนและครู ดูสิ กอดหลังครูเลย 5555
ในวันที่เราเอาขนมมากินด้วยกัน
อันนี้คือตอนไป British Museum กับทางโรงเรียนค่ะ
เพื่อนบราซิลทำขนมมาให้เรากินด้วยยยยย น่ารักมากกก
เพื่อนอิตาลี ทำพิซซ่าให้เรากินนนนนนน
ภายในห้องเรียนจะมีนักเรียนประมาณไม่เกิน 15 คน ครู 1 คน นั่งล้อมเป็นครึ่งวงกลม ไม่เหมือนที่ไทยค่ะ ที่นั่งเรียงกันเป็นหน้ากระดาน 555 ส่วนวิธีการสอน ก็จะขึ้นอยู่กับครูแต่ละคน แต่โดยรวมๆแล้ว เค้าจะสอนในเชิงให้เรากล้าพูด เริ่มจากถามความเห็นต่างๆ แรกๆเราไป ก็ติดนิสัยเด็กไทย คือนั่งเงียบ รู้หรือไม่รู้ก็เงียบไว้ก่อน ซึ่งเราอยากจะบอกว่า เพื่อนในห้องส่วนใหญ่แย่งกันพูดแย่งกันตอบ ถูกหรือผิด เขาไม่แคร์กันเลย ผิดเค้าก็พูดออกมา นั่นคือความกล้าที่เราไม่มีค่ะ เพื่อนในห้องก็จะมีหลากหลายประเทศเลยค่ะ ทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน เกาหลี บราซิล อิตาลี่ เวเนซูเอล่า โมรอคโค เยอะแยะเลยค่ะ เราตื่นเต้นมากๆ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มใช้ภาษาอังกฤษแบบโครตสนุก เพราะเพื่อนในคราสเรา เลเวลก็ไม่ต่างกัน 555 บางคำนึกไม่ออกแต่อยากเม้าท์มอย ก็เปิดดิกซ์กันไปกันมา บางคำเพื่อนได้ บางคำเราได้ เราก็มาแชร์กัน มิหนำซ้ำยังได้ภาษาที่ 3 อีก เป็นช่วงเวลาที่หาในประเทศไทยไม่ได้จริงๆ บ้างก็สอนคำด่า ไอเ-ี้ย อย่างงี้ ตอแ-ล อย่างงี้ เค้าก็สอนเราค่ะ ด่ากันไปกันมา เพื่ออออ อะไรก็ไม่รุ้ แต่ก็นะ ดาร์กๆดี 555555 ส่วนตัวเรามีเพื่อนสนิทเป็นคนอิตาลี่ค่ะ คือแบบ เราก็พูดภาษาอังกฤษ สำเนียงไทย เขาก็พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ เรายังพยามที่จะคุยกันรู้เรื่อง 5555555555 เวลาพักเบรค เราก็จะไปคาเฟ่ค่ะ คนอิตาลีทานกาแฟโหดมากกกกก ส่วนเรา ชอคโกแลตร้อนก็พอ 5555
เพื่อนอิตาลี่ที่เราไปกินกาแฟตอนพักเบรค
บางคลาส ที่เราเรียน ครูจะมีเกมมาให้เล่นทุกวันเลยค่ะ เป็นเกมที่ให้เราฝึกการใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย คือแบบสนุกมากค่ะ อยากไปเรียนคลาสนี้ทุกวันเลย ครูสอนไม่น่าเบื่อ ใจดี แล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อน ทำให้เรากล้าพูด กล้าคุยกับเขา บรรยากาศในห้องเรียน ต่างกับที่ไทยมากๆเลยค่ะ
ทุกวันศุกร์ เค้าจะมี hang out กันค่ะ หรือไปผับกันกับกลุ่มเพื่อนและครูที่โรงเรียน เราเคยไปครั้งนึงค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย 55555 เพราะน้าเราโทรตามตั้งแต่ 4 ทุ่ม เห้ยยยยย เพิ่งเริ่มดื่มตอน 2 ทุ่มครึ่งเอ๊งงงงง ม่ายยยยย ยังไม่เมา เครื่องยังไม่ติดเล้ย สรุป น้าวนรถมารับแล้วจ้า ตอน 4 ทุ่ม เราเศร้ามากก แต่ก็ต้องกลับบ้าน เซงมากมาย แต่ก็ถึอว่าสนุกมาก เพราะเราได้เจอเพื่อนต่างห้อง ดื่มกับครู เจอเพื่อนคนไทย และเจอหนุ่มหล่อๆ โอ้ย เป็น 2 ชม. ที่ฟินนาเล่มากกกกกกกกก อาหารกินหรือจะสู้อาหารตา 555555
เซลฟี่ในผับกับครูและเพื่อน
อันนี้คือผับที่เราไป
เราดื่มเบียร์อันนี้ค่ะ ขวดเดียวเมา คออ่อนมากกกกกกก
นอกเหนือจากการพูดในห้องเรียน พูดกับเพื่อน สั่งอาหาร คุยกับคนด้วยการสอบถามทางทั่วไป ยังมีอันที่พีคคคคคกว่านั้นคือ คุยโทรศัพท์ อ๊ากกกกก! คือมีอยู่วันนึงค่ะ เราทำบัตรรถโดยสารหาย (oyster card) และคนที่เป็นนักเรียน จะได้ส่วนรถค่าเดินทาง 30% ทำให้เราต้องโทรไปติดต่อเพื่อที่จะรับบัตรใหม่ที่มีรูปหน้าเราบนบัตร เพื่อที่จะได้รับส่วนลดเหมือนเดิม โอ้ยยยยยย ใครเคยโทรไปจะรู้ว่าสำเนียงมันฟังยากมากกกกก อุ๊กๆ อั๊กๆ แต่เราก็พยามค่ะ คุยจนได้บัตรใหม่มา เป็นความท้าทายการใช้ภาษาไปอีกแบบนึง
ระหว่างที่เราไปเรียนที่ลอนดอน เราก็ได้ไปทำตามความฝันอีกอย่างนึงค่ะ คือเราชอบ Harry Potter มากกกกกกกกกกก เลยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ Warner Bros Studio, ชานชาลา 9 3/4, สถานีคิงครอส, สก๊อตแลนด์ ได้ไปนั่งร้านที่คุณแม่ เจ เค นั่งเขียนหนังสือ Harry Potter โอ้ย ฟินมากค่ะ และที่อื่นๆ อย่างเช่น Stone henge, oxford university, cambride university, Roman Bath, Big Ben, London Eye, และพิพิธภัณฑ์ อีกเพียบบบบบบบบบบ
สำหรับเราประสบการณ์ 1 ปีที่เราไปเรียนภาษาที่อังกฤษ มันคุ้มค่ามากๆ อย่างที่ประเมินค่าไม่ได้ ได้ทั้งสกิลภาษาที่เพิ่มขึ้น ได้เพื่อนต่างชาติ ได้เที่ยว ได้ความกล้ามากขึ้นในการพูด ส่วนค่าเรียนถ้าเทียบกับที่ไทยแล้ว แพงกว่ากันไม่มากเลยค่ะ เพราะเราเรียน 9 เดือน เสียเงินไป แสนต้นๆ แต่ราคาค่าเรียนก็ขึ้นอยู่แต่ละโรงเรียนด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ หากใครมีคำถามที่อยากถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอังกฤษ ที่เที่ยว การเดินทาง การเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ ทักมาถามเราได้ค่ะ ยินดีให้คำแนะนำ ที่ line id : maplenames
อีกอย่างหนึ่งค่ะ ความเห็นของเรา เป็นประสบการณ์ที่เราได้เจอ หากใครมีความเห็นหรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มาแชร์กันได้ค่ะ
ประสบการณ์เรียนภาษาอังกฤษที่ลอนดอน
เริ่มแรกวันที่เราเดินทางไปถึงลอนดอน คือเราโชคดีที่มีญาติอาศัยอยู่ที่นั่น เลยได้ไปพักกับญาติ แต่ถ้าเป็นไปได้ ใครมาเรียนภาษาที่นี่ แนะนำให้พักที่มีเพื่อนต่างประเทศแชร์ห้องกันนะคะ เพราะในชีวิตประจำวันจะได้ฝึกพูดภาษาด้วย แต่เราาาาา พูดแต่ภาษาไทยค่ะตอนอยู่บ้าน 5555
ทุกวันศุกร์ เค้าจะมี hang out กันค่ะ หรือไปผับกันกับกลุ่มเพื่อนและครูที่โรงเรียน เราเคยไปครั้งนึงค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย 55555 เพราะน้าเราโทรตามตั้งแต่ 4 ทุ่ม เห้ยยยยย เพิ่งเริ่มดื่มตอน 2 ทุ่มครึ่งเอ๊งงงงง ม่ายยยยย ยังไม่เมา เครื่องยังไม่ติดเล้ย สรุป น้าวนรถมารับแล้วจ้า ตอน 4 ทุ่ม เราเศร้ามากก แต่ก็ต้องกลับบ้าน เซงมากมาย แต่ก็ถึอว่าสนุกมาก เพราะเราได้เจอเพื่อนต่างห้อง ดื่มกับครู เจอเพื่อนคนไทย และเจอหนุ่มหล่อๆ โอ้ย เป็น 2 ชม. ที่ฟินนาเล่มากกกกกกกกก อาหารกินหรือจะสู้อาหารตา 555555
ระหว่างที่เราไปเรียนที่ลอนดอน เราก็ได้ไปทำตามความฝันอีกอย่างนึงค่ะ คือเราชอบ Harry Potter มากกกกกกกกกกก เลยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ Warner Bros Studio, ชานชาลา 9 3/4, สถานีคิงครอส, สก๊อตแลนด์ ได้ไปนั่งร้านที่คุณแม่ เจ เค นั่งเขียนหนังสือ Harry Potter โอ้ย ฟินมากค่ะ และที่อื่นๆ อย่างเช่น Stone henge, oxford university, cambride university, Roman Bath, Big Ben, London Eye, และพิพิธภัณฑ์ อีกเพียบบบบบบบบบบ
สำหรับเราประสบการณ์ 1 ปีที่เราไปเรียนภาษาที่อังกฤษ มันคุ้มค่ามากๆ อย่างที่ประเมินค่าไม่ได้ ได้ทั้งสกิลภาษาที่เพิ่มขึ้น ได้เพื่อนต่างชาติ ได้เที่ยว ได้ความกล้ามากขึ้นในการพูด ส่วนค่าเรียนถ้าเทียบกับที่ไทยแล้ว แพงกว่ากันไม่มากเลยค่ะ เพราะเราเรียน 9 เดือน เสียเงินไป แสนต้นๆ แต่ราคาค่าเรียนก็ขึ้นอยู่แต่ละโรงเรียนด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ หากใครมีคำถามที่อยากถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอังกฤษ ที่เที่ยว การเดินทาง การเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ ทักมาถามเราได้ค่ะ ยินดีให้คำแนะนำ ที่ line id : maplenames
อีกอย่างหนึ่งค่ะ ความเห็นของเรา เป็นประสบการณ์ที่เราได้เจอ หากใครมีความเห็นหรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มาแชร์กันได้ค่ะ