ส่องดวงเมืองผ่านดวงดาว ๒๕๖๓ (ตอนที่ ๒)
(ดาวพฤหัสฯ และ ดาวเสาร์โคจรในราศีธนู)
ปรากฏการณ์สำคัญของดวงดาวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ คือ การที่ดาวพฤหัสบดี (5) ประธานแห่งดาวศุภเคราะห์
และ ดาวเสาร์ (7) ประธานแห่งดาวบาปพระเคราะห์ โคจรร่วมกันในราศีธนู ซึ่งการร่วมกันเช่นนี้จะเกิดขึ้นประมาณทุกๆ ๒๐ ปี
ในราศีต่างๆ กันไป ความสำคัญของดาวคู่นี้ นักโหราศาสตร์ทั่วโลกต่างยอมรับตรงกันว่า เป็นดวงดาวที่มีอิทธิพลในด้าน
สร้างสรรค์และทำลายล้างอย่างรุนแรง
ในตำราโหราศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองของ "ยอดธง ทับทิวไม้" นักโหราศาสตร์ผู้ล่วงลับได้ให้ความหมายของราศีธนู
อันเป็นภพที่ ๙ ของดวงเมืองไว้ว่า หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ การฑูต การค้าและการภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ
การบินระหว่างรัฐ กฎหมาย นักกฎหมาย ศาลสูง โบสถ์ วิหาร ศาสนา ครู อาจารย์ การบรรยายและสถานที่ชุมนุมความคิดของ
สาธารณะ ทรรศนะและอุดมการณ์เกี่ยวกับศาสนา ปรัชญาและการเมือง ฯลฯ
ดาวพฤหัสบดี (5) เป็นดาวดีที่ให้คุณให้โชคและมีคุณสมบัติของการขยายตัว หมายถึง ผลประโยชน์ การเงินของประเทศ การพาณิชย์
สินค้าส่งออก การค้า การเดินทางระหว่างประเทศ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ อนุญาโตตุลาการ การเดินเรือระหว่างประเทศ
สิ่งพิมพ์ การโฆษณา ข่าวสารของทางรัฐบาล การกุข่าวอกุศลของฝ่ายตรงข้าม สิทธิเสรีภาพ กิจการด้านศาสนา สิทธิเสรีภาพ
ในการพูด การเขียน ศีลธรรมอันดี ฯลฯ
ส่วนดาวเสาร์ (7) เป็นดาวที่ให้โทษให้ทุกข์ มีคุณสมบัติของการหดตัว หมายถึง การจำกัดจำนวน การจำกัดตัวเอง หรืออยู่ในที่จำกัด
ไม่ขยายตัวและไม่เติบโต ตระหนี่ถี่เหนียว หวาดระแวงและเห็นแก่ตัว เศรษฐกิจการคลังที่ล้าหลัง และไม่ยอมพัฒนาไปข้างหน้า แร่ธาตุใต้ดิน
และโลหะ การสาธารณูปโภค การก่อสร้าง พืชพรรณธัญญาหาร ภัยธรรมชาติ ชนชั้นกรรมกรและผู้ใช้แรงงาน มติมหาชน และการ
ต่อสู้ของชนชั้นไร้สมบัติ ฯลฯ
การโคจรมาพบกับของดาวคู่นี้ ในโหราศาสตร์ชะตาเมืองถือว่าเป็นจังหวะของการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย และแน่นอนว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมนำมาซึ่งสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเสมอ ก่อนจะคลี่คลายไปสู่ทางออกที่ลงตัว ผลก็คือ จะมีการขัดแย้งและ
การเผชิญหน้ากันของสองฝ่ายที่มีความคิดต่างกัน
ในปีต้น พ.ศ. ๒๕๖๓ ดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ คู่นี้จะโคจรอย่างรวดเร็วและยกเข้าราศีมกร โดยพระเสาร์ (๗) จะยกเข้าราศีมกร
ในวันที่ ๒ มี.ค. ๖๓ และจะโคจรย้อนวิถีจักร เดินถอยหลัง (RETROGRADE) ในวันที่ ๑๕ พ.ค.จนถึงวันที่ ๑๒ ก.ค. จึงยกลับเข้า
สู่ราศีธนู และเริ่มโคจรเดินหน้าปกติวันที่ ๑๗ ก.ย. ๖๓
ส่วนดาวพฤหัสฯ จะยกเข้าราศีมกร ในวันที่ ๑๗ มี.ค. ๖๓ และจะโคจรย้อนวิถีจักร เดินถอยหลัง (RETROGRADE) ใน
วันที่ ๑๒ พ.ค. จนถึงวันที่ ๑๗ ก.ค. จึงยกลับเข้าสู่ราศีธนู และเริ่มโคจรเดินหน้าปกติวันที่ ๒๑ ก.ย. จะเห็นได้ว่าดาวทั้งสอง
ดวงนี้โคจรวิกลคติในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันมากและองศาของดาวก็ใกล้เคียงกัน ขณะที่บางช่วงเวลาก็กุมกันสนิทองศา
ซึ่งวิถีโคจรเช่นนี้จะมีอิทธิพลให้โทษแก่บ้านเมืองเป็นอย่างมาก และได้ปรากฏให้เห็นมาทุกครั้ง นับตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๒๑ เม.ย. ๒๓๒๕ ดาวคู่นี้ก็กำลังโคจรวิกลคติ พักร์องศา (RETROGRADE) ในราศีธนู
ในด้านการเมือง จะเกิดความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง มีการทำสงครามข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มข้น
เพื่อถ่ายทอดความคิด แนวคิดทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายยึดมั่น เชื่อถือ ซึ่งได้เริ่มเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยพยายาม
โน้มน้าวมวลชน ให้คล้อยตามเพื่อมาเป็นแนวร่วมในการขับเคลื่อนความคิดไปสู่การปฏิบัติ เราจะได้เห็นการจัดเวทีเสวนา การประชุม
ทางวิชาการ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ การจัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมืองต่างๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ตลอดจนความพยายามใน
การจัดชุมนุมทางการเมืองก็จะมีให้เห็นเป็นระยะตลอดทั้งปี
มีความพยายามแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะมีการอภิปราย โต้แย้ง ใช้เล่ห์เลี่ยมในเชิงกฎหมายและข้อมูล เพื่อให้การแก้กฎหมายเป็นไปในทิศทางที่ฝ่าย
ตนต้องการ และเมื่อดาวพฤหัสฯ โคจรถอยหลังเช่นนี้ จะมีการทบทวนกฎหมายบางฉบับ ชะลอการออกหรือชะลอการบังคับใช้กฎหมาย
บางฉบับออกไป ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ ในการบริหารประเทศ กฎหมายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษา การแพทย์ การสาธารณะสุข
วงการศาสนา การลงทุน สนธิสัญญา กฎหมายการค้าระหว่างประเทศในบางเรื่องจะถูกหยิบยกเอามาพิจารณาปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้สอดคล้อง
กับสถานการณ์ปัจจุบัน
อีกทั้ง พระราหู (๘) ยังโคจรในราศีมิถุน เรือนพระพุธ เล็งดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ ในราศีธนูทั้งในพื้นดวงเดิม ดวงเมืองและดาวจร
ปัจจุบันจนถึง ๑๐ ก.ย. ๒๕๖๓ การสร้างข่าวเท็จ การให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน การกุข่าว โฆษณาชวนเชื่อ หรือการสร้างเหตุการณ์
เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองจะปรากฏขึ้นอย่างมากมาย
ฉะนั้น ขอให้ทุกๆ คน ตั้งสติให้ดีในการรับรู้ รับฟังข้อมูลข่าวสารใดๆ ไม่ควรเชื่อโดยไม่พิจารณาที่มาที่ไปอย่างรอบคอบ
ช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังและน่าจับตามองมากที่สุดคือในขณะที่ดาวทั้งคู่กำลังโคจรในระยะประชิดองศาและเกิดการสมาสัป
หรือสวนกัน ซึ่งจะมีโอกาสทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ความวุ่วายทั้งที่กล่าวมาแล้ว และรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ตลอดจนภัยธรรมชาติ
แผ่นดินไหวและสถานการณ์ต่างๆ ที่จะได้กล่าวถึงในตอนที่ 3 โดยมีช่วงเวลาที่น่าจับตามองดังนี้
ดาวพฤหัสบดี (5) รีบรุดเดินหน้าไล่ล่าพระเสาร์ (7) จากราศีธนูสู่ราศีมกรและไปทันกันในระยะ ๒ องศา ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มี.ค. ถึง ๕ เม.ย.
และดาวพฤหัสฯ จะโคจรแซงหน้าพระเสาร์ขึ้นไปในวันที่ ๖ เม.ย. ทำให้เกิดการส่วนกัน (สมาสัป) ของดวงดาว
จากนั้นพระเสาร์ (7) ก็รีบเร่งเดินหน้าไล่ล่าพระพฤหัสบดี (5) อย่างไม่ลดละและไปทับกันในวันที่ ๑๓ เม.ย. ถึงวันที่ ๑๗ เม.ย.
ดาวพฤหัสฯ ก็เร่งรุดแซงหน้าพระเสาร์ขึ้นไป ทำให้เกิดการส่วนกัน (สมาสัป) ของดวงดาวอีกครั้ง
ต่อมาในช่วงกลางปี พระพฤหัสบดี (5) โคจรย้อนวิถีจักรพักร์องศาไล่ล่าพระเสาร์ (7) ที่กำลังพักร์องศามุ่งหน้าเข้าสู่ราศีธนูเช่นกัน
และจะไปทันกันในวันที่ ๑๗ ก.ค. ถึง ๓๐ ก.ค. ในระยะ ๒๙ องศา ในราศีธนูและพระพฤหัสฯ จะแซงหน้าสวนกับพระเสาร์
ในวันที่ ๓๑ ก.ค. จากนั้นพระเสาร์ (7) ก็รีบรุดเดินหน้าเพื่อไล่ล่าพระพฤหัสบดีและมาทับกันในวันที่ ๗ ส.ค. แต่ดาวพฤหัสฯ ก็ทิ้งห่างออกไปอีก พระเสาร์ (7) ก็ไม่ละความพยายามยังโคจรไล่ล่าพระพฤหัสบดีอย่างต่อเนื่องและมาทันกันในวันที่ ๑๔ ต.ค. ที่ระยะ ๒๖ องศา ในราศีธนู
และดาวทั้งคู่ก็เริ่มเปลี่ยนวิถีโคจรเป็นเดินหน้าปกติ มุ่งหน้าสู่ราศีมกรอีกครั้ง ดาวพฤหัสบดี เริ่มทิ้งระยะห่างพระเสาร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงสิ้นปี
ส่องดวงเมืองผ่านดวงดาว (ตอนที่ 2) โดย พล พยากรณ์
(ดาวพฤหัสฯ และ ดาวเสาร์โคจรในราศีธนู)
ปรากฏการณ์สำคัญของดวงดาวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ คือ การที่ดาวพฤหัสบดี (5) ประธานแห่งดาวศุภเคราะห์
และ ดาวเสาร์ (7) ประธานแห่งดาวบาปพระเคราะห์ โคจรร่วมกันในราศีธนู ซึ่งการร่วมกันเช่นนี้จะเกิดขึ้นประมาณทุกๆ ๒๐ ปี
ในราศีต่างๆ กันไป ความสำคัญของดาวคู่นี้ นักโหราศาสตร์ทั่วโลกต่างยอมรับตรงกันว่า เป็นดวงดาวที่มีอิทธิพลในด้าน
สร้างสรรค์และทำลายล้างอย่างรุนแรง
ในตำราโหราศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองของ "ยอดธง ทับทิวไม้" นักโหราศาสตร์ผู้ล่วงลับได้ให้ความหมายของราศีธนู
อันเป็นภพที่ ๙ ของดวงเมืองไว้ว่า หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ การฑูต การค้าและการภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ
การบินระหว่างรัฐ กฎหมาย นักกฎหมาย ศาลสูง โบสถ์ วิหาร ศาสนา ครู อาจารย์ การบรรยายและสถานที่ชุมนุมความคิดของ
สาธารณะ ทรรศนะและอุดมการณ์เกี่ยวกับศาสนา ปรัชญาและการเมือง ฯลฯ
ดาวพฤหัสบดี (5) เป็นดาวดีที่ให้คุณให้โชคและมีคุณสมบัติของการขยายตัว หมายถึง ผลประโยชน์ การเงินของประเทศ การพาณิชย์
สินค้าส่งออก การค้า การเดินทางระหว่างประเทศ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ อนุญาโตตุลาการ การเดินเรือระหว่างประเทศ
สิ่งพิมพ์ การโฆษณา ข่าวสารของทางรัฐบาล การกุข่าวอกุศลของฝ่ายตรงข้าม สิทธิเสรีภาพ กิจการด้านศาสนา สิทธิเสรีภาพ
ในการพูด การเขียน ศีลธรรมอันดี ฯลฯ
ส่วนดาวเสาร์ (7) เป็นดาวที่ให้โทษให้ทุกข์ มีคุณสมบัติของการหดตัว หมายถึง การจำกัดจำนวน การจำกัดตัวเอง หรืออยู่ในที่จำกัด
ไม่ขยายตัวและไม่เติบโต ตระหนี่ถี่เหนียว หวาดระแวงและเห็นแก่ตัว เศรษฐกิจการคลังที่ล้าหลัง และไม่ยอมพัฒนาไปข้างหน้า แร่ธาตุใต้ดิน
และโลหะ การสาธารณูปโภค การก่อสร้าง พืชพรรณธัญญาหาร ภัยธรรมชาติ ชนชั้นกรรมกรและผู้ใช้แรงงาน มติมหาชน และการ
ต่อสู้ของชนชั้นไร้สมบัติ ฯลฯ
การโคจรมาพบกับของดาวคู่นี้ ในโหราศาสตร์ชะตาเมืองถือว่าเป็นจังหวะของการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย และแน่นอนว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมนำมาซึ่งสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเสมอ ก่อนจะคลี่คลายไปสู่ทางออกที่ลงตัว ผลก็คือ จะมีการขัดแย้งและ
การเผชิญหน้ากันของสองฝ่ายที่มีความคิดต่างกัน
ในปีต้น พ.ศ. ๒๕๖๓ ดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ คู่นี้จะโคจรอย่างรวดเร็วและยกเข้าราศีมกร โดยพระเสาร์ (๗) จะยกเข้าราศีมกร
ในวันที่ ๒ มี.ค. ๖๓ และจะโคจรย้อนวิถีจักร เดินถอยหลัง (RETROGRADE) ในวันที่ ๑๕ พ.ค.จนถึงวันที่ ๑๒ ก.ค. จึงยกลับเข้า
สู่ราศีธนู และเริ่มโคจรเดินหน้าปกติวันที่ ๑๗ ก.ย. ๖๓
ส่วนดาวพฤหัสฯ จะยกเข้าราศีมกร ในวันที่ ๑๗ มี.ค. ๖๓ และจะโคจรย้อนวิถีจักร เดินถอยหลัง (RETROGRADE) ใน
วันที่ ๑๒ พ.ค. จนถึงวันที่ ๑๗ ก.ค. จึงยกลับเข้าสู่ราศีธนู และเริ่มโคจรเดินหน้าปกติวันที่ ๒๑ ก.ย. จะเห็นได้ว่าดาวทั้งสอง
ดวงนี้โคจรวิกลคติในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันมากและองศาของดาวก็ใกล้เคียงกัน ขณะที่บางช่วงเวลาก็กุมกันสนิทองศา
ซึ่งวิถีโคจรเช่นนี้จะมีอิทธิพลให้โทษแก่บ้านเมืองเป็นอย่างมาก และได้ปรากฏให้เห็นมาทุกครั้ง นับตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๒๑ เม.ย. ๒๓๒๕ ดาวคู่นี้ก็กำลังโคจรวิกลคติ พักร์องศา (RETROGRADE) ในราศีธนู
ในด้านการเมือง จะเกิดความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง มีการทำสงครามข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มข้น
เพื่อถ่ายทอดความคิด แนวคิดทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายยึดมั่น เชื่อถือ ซึ่งได้เริ่มเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยพยายาม
โน้มน้าวมวลชน ให้คล้อยตามเพื่อมาเป็นแนวร่วมในการขับเคลื่อนความคิดไปสู่การปฏิบัติ เราจะได้เห็นการจัดเวทีเสวนา การประชุม
ทางวิชาการ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ การจัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมืองต่างๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ตลอดจนความพยายามใน
การจัดชุมนุมทางการเมืองก็จะมีให้เห็นเป็นระยะตลอดทั้งปี
มีความพยายามแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะมีการอภิปราย โต้แย้ง ใช้เล่ห์เลี่ยมในเชิงกฎหมายและข้อมูล เพื่อให้การแก้กฎหมายเป็นไปในทิศทางที่ฝ่าย
ตนต้องการ และเมื่อดาวพฤหัสฯ โคจรถอยหลังเช่นนี้ จะมีการทบทวนกฎหมายบางฉบับ ชะลอการออกหรือชะลอการบังคับใช้กฎหมาย
บางฉบับออกไป ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ ในการบริหารประเทศ กฎหมายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษา การแพทย์ การสาธารณะสุข
วงการศาสนา การลงทุน สนธิสัญญา กฎหมายการค้าระหว่างประเทศในบางเรื่องจะถูกหยิบยกเอามาพิจารณาปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้สอดคล้อง
กับสถานการณ์ปัจจุบัน
อีกทั้ง พระราหู (๘) ยังโคจรในราศีมิถุน เรือนพระพุธ เล็งดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ ในราศีธนูทั้งในพื้นดวงเดิม ดวงเมืองและดาวจร
ปัจจุบันจนถึง ๑๐ ก.ย. ๒๕๖๓ การสร้างข่าวเท็จ การให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน การกุข่าว โฆษณาชวนเชื่อ หรือการสร้างเหตุการณ์
เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองจะปรากฏขึ้นอย่างมากมาย
ฉะนั้น ขอให้ทุกๆ คน ตั้งสติให้ดีในการรับรู้ รับฟังข้อมูลข่าวสารใดๆ ไม่ควรเชื่อโดยไม่พิจารณาที่มาที่ไปอย่างรอบคอบ
ช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังและน่าจับตามองมากที่สุดคือในขณะที่ดาวทั้งคู่กำลังโคจรในระยะประชิดองศาและเกิดการสมาสัป
หรือสวนกัน ซึ่งจะมีโอกาสทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ความวุ่วายทั้งที่กล่าวมาแล้ว และรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ตลอดจนภัยธรรมชาติ
แผ่นดินไหวและสถานการณ์ต่างๆ ที่จะได้กล่าวถึงในตอนที่ 3 โดยมีช่วงเวลาที่น่าจับตามองดังนี้
ดาวพฤหัสบดี (5) รีบรุดเดินหน้าไล่ล่าพระเสาร์ (7) จากราศีธนูสู่ราศีมกรและไปทันกันในระยะ ๒ องศา ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มี.ค. ถึง ๕ เม.ย.
และดาวพฤหัสฯ จะโคจรแซงหน้าพระเสาร์ขึ้นไปในวันที่ ๖ เม.ย. ทำให้เกิดการส่วนกัน (สมาสัป) ของดวงดาว
จากนั้นพระเสาร์ (7) ก็รีบเร่งเดินหน้าไล่ล่าพระพฤหัสบดี (5) อย่างไม่ลดละและไปทับกันในวันที่ ๑๓ เม.ย. ถึงวันที่ ๑๗ เม.ย.
ดาวพฤหัสฯ ก็เร่งรุดแซงหน้าพระเสาร์ขึ้นไป ทำให้เกิดการส่วนกัน (สมาสัป) ของดวงดาวอีกครั้ง
ต่อมาในช่วงกลางปี พระพฤหัสบดี (5) โคจรย้อนวิถีจักรพักร์องศาไล่ล่าพระเสาร์ (7) ที่กำลังพักร์องศามุ่งหน้าเข้าสู่ราศีธนูเช่นกัน
และจะไปทันกันในวันที่ ๑๗ ก.ค. ถึง ๓๐ ก.ค. ในระยะ ๒๙ องศา ในราศีธนูและพระพฤหัสฯ จะแซงหน้าสวนกับพระเสาร์
ในวันที่ ๓๑ ก.ค. จากนั้นพระเสาร์ (7) ก็รีบรุดเดินหน้าเพื่อไล่ล่าพระพฤหัสบดีและมาทับกันในวันที่ ๗ ส.ค. แต่ดาวพฤหัสฯ ก็ทิ้งห่างออกไปอีก พระเสาร์ (7) ก็ไม่ละความพยายามยังโคจรไล่ล่าพระพฤหัสบดีอย่างต่อเนื่องและมาทันกันในวันที่ ๑๔ ต.ค. ที่ระยะ ๒๖ องศา ในราศีธนู
และดาวทั้งคู่ก็เริ่มเปลี่ยนวิถีโคจรเป็นเดินหน้าปกติ มุ่งหน้าสู่ราศีมกรอีกครั้ง ดาวพฤหัสบดี เริ่มทิ้งระยะห่างพระเสาร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงสิ้นปี