:: แชร์ประสบการณ์ กว่าจะได้เป็น Software Engineer ที่อเมริกา*

ก่อนอื่นขอบอกตั้งแต่ต้นกระทู้เลย จขกท มีกรีนการ์ดค่ะ 📌
(จริงๆการมาทำงานที่เมกามันไม่ได้ยากเกินฝันค่า โดยเฉพาะสาย programming ถ้าเราเจ๋งจริงบริษัทพร้อมสปอนเซอร์อยู่เเล้วค่า)
.
.
จริงๆมันก็เริ่มมาจาก จขกท มาอเมริกาเพื่อมาเป็นออแพร์ค่ะ เคยตั้งกระทู้ไว้ไปอ่านได้นะคะ ( https://ppantip.com/topic/35468356 ) พอจบออแพร์ก็แต่งงานจนได้กรีนการ์ดแล้วถึงเรื่มสมัครงานค่ะ แรกเริ่มเดิมทีที่มาเป็นออแพร์ก็เพราะไม่อยากทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์นี่แหละค่ะ มันยากมากก คิดว่าคงหางานไม่ได้ เรียนจบมาเกรดไม่สวยค่ะ คงไม่ใช่ทางเราจริงๆ จนมาเจอสามีนี่ สามีเราเป็นโปรแกรมเมอร์ (อุตส่าห์หนีมาอีกซีกโลกนึงก็ยังหนีไม่พ้น) ให้ start up เล็กๆแถวๆ DC แอเรียค่ะ ช่วงเดทกันก็โดนสามีเป่าหูว่า ยูจะเป็นออแพร์จนตายหรอ (เงินออแพร์มันน้อยมากๆๆค่ะ) เงินเดือนยูเนี่ยไอทำงานวันครึ่งก็ได้เเล้ว 😭 ประกอบกับช่วงนั้นเด็กที่ จขกทเลี้ยงเริ่มไปเรียนเต็มวันเเล้วค่ะ เลยว่างงมากกก ก็คิดไปหมดค่ะ เพื่อนๆก็มีการมีงานทำกันหมด แล้วหันมาดูตัวเองคือใช้ชีวิตไปวันๆค่ะ พอเริ่มเจอ เริ่มแฮงเอ้ากับเพื่อนสามีบ่อยขึ้นค่ะ ก็โปรแกรมเมอร์ทั้งหลายแหล่ ก็เริ่มคิดแหล่ะว่าควรทำอะไรซักอย่างกับชีวิตได้เเล้ว 

ขอข้ามมาช่วงรอกรีนการ์ดเลยนะคะ เพราะแต่งงานยื่นเอกสารก่อนจบออแพร์หนึ่งอาทิตย์ค่ะ ช่วงที่รอ จขกทไม่ได้ทำงานค่ะ สามีไม่อยากโกหกตอนสัมภาษณ์กรีนการ์ด ไม่มีงานไม่มีรายได้ไปเกือบปี ก็ลงเรียนภาษาไปค่ะ จนได้กรีนการ์ด สามีก็เซอไพรส์ด้วยการไปสมัครเรียน Coding Bootcamp ให้ค่ะ จุดเปลี่ยนของชีวิตเลย ช่วงนั้น จขกท บ้าทำขนมมากก่ะไปเรียนเป็นเชฟเลย 555 แต่สามีนางบอกชั้นไม่จ่ายค่าเรียนให้นะ แต่ถ้า bootcamp นางจะจ่ายให้ ตอนนั้นคำนวนเงินในหัวเเล้ว ถ้าไปเรียนทำอาหารคือมีหนี้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยจ้าแม่! สรุปก็แบบไม่มีทางเลือก ไปเรียนก็ได้ 55

แล้วอิ Bootcamp ที่สมัครไปก็ใช่ว่าเค้าจะรับเลยนะคะ เค้าจะส่งบทเรียนตาม curriculum ของโรงเรียนมาให้ แต่ละโรงเรียนจะต่างกันแต่ไม่มากค่ะ อย่าง stack ของโรงเรียน จขกท จะเป็น Rails กับ React, Redux ค่ะ แต่บทเรียนที่เค้าส่งมาหลังจากสมัคร คือ basic Ruby กับ Vanilla Javascript ค่ะ คือจะเป็นบทเรียนพื้นฐานให้เราชินกับโค้ดก่อนค่ะ แล้วจะมีข้อสอบให้ทำ เลือกได้ว่าจะใช้ Pyton หรือ JS ในการทำข้อสอบค่ะ พอทำเสร็จก็จะต้องนัดวันสัมภาษณ์ เค้าจะถามเกี่ยวกับโค้ดที่เราเขียนในข้อสอบนั่นแหละ ถ้าผ่านก็จะได้ตอบรับเข้าเรียนค่ะ 😤

  อันนี้ก็จะเป็นพวก labs ต่างๆที่ต้องทำให้เสร็จในแต่ละวันค่า
.
.
ตารางเรียนคือ 9:00 - 18:00++ คือเรียนหนักมากแล้วทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด มีเลคเชอร์ทุกวัน โปรเจคทุกๆสามอาทิตย์ ต้องเขียน Blog เกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจแต่ต้องเกี่ยวกับที่เรียน(อันนี้สำคัญค่ะ) แต่เราโชคดีที่สามีคอยช่วย อธิบายในส่วนที่เราไม่เข้าใจ ช่วยเชคแกรมม่าใน blog post ต่างๆ ช่วงนั้นชีวิต จขกท มีแค่ เรียน เรียน เรียน ตอนเรียนมหาลัยยังไม่ตั้งใจเท่านี้เลย แต่อีกอย่างนึงที่ขาดไม่ได้คือ เพื่อนร่วมคลาสค่ะ คืออยู่ด้วยกันแบบทุกวันจริงๆ จนสนิทกันมาถึงตอนนี้เลย ตอนนั้นคือสนุกกับการเขียนโค้ดมากกก ก็สร้างโปรเจคกันเป็นว่าเล่น เห่อมาก  จนตอนถึงสามอาทิตย์สุดท้าย จะไม่มีเลคเชอร์แล้ว แต่จะมีพวก Algorithm, white board interview practice แล้วก็ personal project ที่จะต้องโชว์ในวันที่เรียนจบค่ะ

อันนี้เพื่อนร่วมชะตากรรมค่า ได้งานกันทุกคนแล้วค่า
.
.
จากที่เมนชั่นไปว่า โรงเรียนการันตรีงานให้นะคะ Career Coach จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นค่ะ หลังจากเรียนจบ จะมีเวลาว่างสำหรับพักผ่อน 3 เดือนก่อนเริ่มโปรแกรมหางานค่ะ เเต่เราไม่จำเป็นต้องรอนะคะ  ถ้าพร้อมก็่เรื่มโปรแกรมได้เลยค่า แต่ถ้าสามเดือนปุ๊ป ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมค่ะ 😂 สำหรับโปรแกรมการหางานจะมี Money back guarantee* ถ้าเราทำตามเงื่อนไขต่างๆที่กำหนดภายในเวลา 6 เดือนหลังจากเริ่มโปรแกรมแล้วเรายังไม่ได้งาน โรงเรียนจะคืนเงินค่าเทอมให้ค่ะ เงื่อนไขหลักๆที่ว่าคือ 
     - เขียน Blog ทุกอาทิตย์
     - git commit อย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 ครั้ง
     - networking อาทิตย์ละอย่างน้อย 3 คน
     - สมัครงานแล้วได้รับการติดต่อจากบริษัท อาทิตย์ละ 8 บริษัท
เรากับสามีคุยกันว่าแล้วว่าไม่เอาเงินคืน เลยไม่เครียดกับตรงนี้เท่าไหร่ แต่มารู้ทีหลังว่าทุกคนในคลาสก็ไม่มีใครแคร์จ้าาา 5555 

Bootcamp จะเป็นคอร์สเร่งรัดนะคะ ประมาณสามเดือนจบค่ะ เค้าการันตรีงานให้ค่ะ แต่
     ❗️ การจะได้งาน คุณสมบัติที่ต้องมีคือ green card หรือ work permit ❗️
เราอยู่ DC ยิ่งยากไปกว่าเดิมอีก เพราะงานส่วนมากจะเป็นงานรัฐบาล US. citizenship require ทั้งนั้นเลยค่ะ 

🌼 ภาษา

เราพอได้ภาษาบ้างค่ะ ฝึกกับโฮสแฟมมิลี่ สามี คลาสเรียนภาษาอังกฤษ แล้วก็เพื่อนร่วมคลาสเกือบทุกคนเป็น native speaker เราเลยได้ฝึกอยู่ตลอกเวลา แต่เราก็ไม่ได้เก่งอะไรนะคะ ทุกวันนี้ทำงานบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจคำศัพท์เฉพาะบางตัวเลยค่ะ ก็ฝึกเรื่อยๆ ที่ทำงานทีหลายคนมากที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักค่ะ 

🌼 ช่วงเริ่มหางาน

คือเครียดมาก เพราะเพื่อนหลายคนเริ่มได้งานกันเเล้ว แต่เป็นงานรัฐบาลส่วนใหญ่ คือ จขกท สมัครไม่ได้อยุ่เเล้วค่า แต่ก็นอยอยุ่ดี แต่ก็ไม่ได้อยุ่เฉยๆนะคะ ต้องทำหลายๆอย่างตามเงื่อนไขอยู่ แก้ resume แก้เเล้วแก้อีก อัปเดท LinkedIn อันนี้ก็สำคัญมากกกกก  นั่งร้องไห้กับ career coach ก็มี คือมันเครียด กดดันไปหมด สมัครไปเกือบทุกที่ที่ไม่ใช่งานรัฐบาล ได้นัด phone interview บ้าง, code challenge บ้าง โดนปฏิเสธจนชินเลยค่ะหรือเงียบหายไปเลยก็มี ก็ผ่านไปเกือบ สามเดือนค่ะ สามีเปลี่ยนงานแล้วได้งานใหม่เป็นบริษัทเกมส์แบบงงๆ มันไปสมัครตอนไหน 55 ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่เพราะต้องย้ายบ้านโน่นนี่นั่น ตอนนั้นเราทำ code challenge ของบริษัทหนึ่งค่ะ แล้วปรากฎว่าผ่านเข้ารอบค่ะ ผ่านจนถึงสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแต่ก็ไม่ได้ค่ะ แต่รู้สึกโล่งใจมากเพราะตอนเราไปที่บริษัท เรารู้สึกว่าออฟฟิศมันไม่ใช่สไตล์ที่เราอยากทำ กฎระเบียบมันเยอะเกินไปสำหรับเราค่ะ 


 Linked in ของเราเองค่ะ อันนี้ career coach เป็นคนช่วยเกลาประโยคให้ part นี้สำคัญมากค่ะ สำหรับคนที่กำลังหางานนะคะ
.
.
หลังจากนั้นเรากับสามีย้ายเข้ามาอยู่ในตัว DC ค่ะ เราก็ทำ code challenge อีกบริษัทนึง แล้วก็ของ Amazon งงมากแม่! ผ่านเข้าไปสอบสัมภาษณ์ทั้งสองที่เลยค่ะ คือ แบบบ เห้ยยยยย ตอนนั้นใจนี่คือเทไป amazon แล้วค่ะ แต่ recruitment process ช้าาาามาก! แต่อีกที่คือรวดเร็วประทับใจมาก ออฟฟิศสวย เป็นบริษัทเกี่ยวกับการจัดอีเว้น ทุกคนในบริษัทคือเอเนอจี้เยอะมาก ชอบมากกค่ะ แต่อยู่ๆสามีเราก็ชวนไปสมัครบริษัทนางแต่คนละออฟฟิศกันค่ะ สามีเราทำ Bethesda Softworks แต่รีเฟอร์ให้เราไปบริษัทแม่คือ Zenimax Media แทนค่ะ เพราะนางอยากได้เกม DOOM กับพวก swag ต่างๆ เป็นธรรมเนียมของบริษัทเกมส์ที่จะแจกของพวกนี้ให้พนักงานค่ะ แต่ถ้าได้งานของบริษัทแม่จะสามารถเข้าถึง swag ของบริษัทลูกได้ทุกที่ค่ะ 

Fallout from Bethesda Softworks ค่า คอเกมน่าจะรู้จักนะคะ อันนี้สามีบอก hr เอาถุงให้เเล้วเปิดให้เข้าไปหยิบเลยค่า อยากได้ไรหยิบ!
.
.
🌼 ได้งานเเล้ววว

เป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆค่ะ เพราะแบบเราได้ออฟเฟอร์ของบริษัทอีเว้น แต่ตอนนนั้น amazon กะลังส่งวันที่จะสัมภาษณ์มาให้ ถ้าต้องรออีกก็ไม่รู้จะได้งานรึเปล่า ส่วน Zenimax คือหายเงียบค่ะ 5555 เราเลยตัดสินใจตอบรับออฟเฟอร์ไปค่ะ ตำแหน่ง Engineering Apprentice (อารมณ์อินเทิร์นแต่ได้เงินค่ะ) หลังจากเริ่มงานไปอาทิตย์นึง Zenimax ส่งเมล์มาให้ไปสัมภาษณ์ค่ะ ช้าามาก เเต่คิดไว้แล้วว่าถ้าได้งานเราคงไม่สนุกเท่าไหร่ แล้วใช้ php เป็นหลักค่ะไม่ใช่ทาง เราเลยปฏิเสธไปค่ะ

🌼 ทำงานตรงกับที่เรียนจบมาครั้งแรก "Software Engineer"  

บริษัทที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นบริษัทแพลนงานอีเว้นต์ต่างๆ ทั่วอเมริกา มีโปรดักส์เป็นของตัวเองค่ะ มีทั้งหมด 5 ทีม Front-end( คนที่ทำหน้าเว็บไซต์ หรือแอพให้ออกมาดูดีสวยงาม) 4 ทีม แบบจุกๆ เพราะโปรดักส์ให้ความสำคัญกับฟร้อนเอนหนักมาก ก็จุดขายอ่าเนาะ แล้วอีกหนึ่งทีม คือ Backend + Full Stack (คนที่ทำให้เว็บมันทำงานได้เเหละ) เราได้อยู่ ทีม Backend จ้าาเเม่!!! แจ๊คพอตมาก 😭
   
ตอนเริ่มงานก็จะได้เจอกับ Mentor(คนที่จะคอยคุย คอยถามเวลาเราเครียดหรือช่วยทุกอย่างเกี่ยวกับที่ทำงาน แต่จะอยู่คนละทีมกับเรา) กับ Go to(จะเป็น Senior Engineer ที่อยู่ทีมเดียวกับเราเเล้วจะช่วยเราเกี่ยวกับ coding ทุกอย่าง) เราชอบระบบนี้มากที่บริษัทเราให้ความสำคัญมากๆค่ะ ตอนอาทิตย์เเรกคือ ทุกอย่างมันยากไปหมด เราเเบบเครียดมาก mentor เราเดินจากอีกฝั่งมาลากออกไปกินกาแฟเลยค่ะ ไม่ก็ออกไปเดินเล่น ที่ทำงานเราอยู่ถัดจาก the White House สองบล๊อคเดินกันชิลเลย คือแบบเห้ย มันช่วยได้เยอะมากค่ะ

coding
     - ที่บริษัทเราจะเป็นระบบ ticket นะคะ ประมาณอยากทำทิกเก็ตไหนก็เลือกเอา แต่ต้องเลือกจาก the most piority ค่ะ เรายังเป็นจูเนียร์ Lead Dev จะเป็นคนเลือกให้ แต่ละทิกเก๊ตที่ได้นี่คือ อิหยังวะ ต้องเบรคทิกเก๊ตครั้งละเกือบชั่วโมงครึ่ง คือแบบเป็นท้อมากก อย่างวันนี้ nodeJS พรุ่งนี้มา Redux ไปเลย คือต้องพร้อมทำได้ทุกอย่าง
     - เวลา PR แล้วรีเควสในคนในทีมเชคโค้ดของเราเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจมาก กลัวโดนแก้ 5555 แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็รีเควส pair-programmings กับคนในทีมได้ตลอดเลยค่ะ
     - Work From Home every Thursday!! เอาจริงๆวันไหนจะทำงานที่บ้านก็สแลคบอกเมเนจบ as long as you get your shit done!

อย่างที่รู้กันค่ะ สายงานนี้เงินดีมากค่ะ เรื่มต้นก็สูงพอสมควรค่ะ อันนี้จะเเล้วแต่แอเรียที่เราอยู่ด้วยนะคะ แต่ taxes ก็ตามเงินเดือนค่ะ ได้เยอะก็เสียเยอะค่า 😭 ส่วนสวัสดิการของบริษัทเราก็เหมือนบริษัททั่วไปค่า ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่น้อยหน้าใครค่า บริษัทแม่มีสาขาทั่วโลก เราสามารถย้ายภายในองค์กรได้เลย อันนี้ชอบมากกค่าา

ตอนนี้เราได้เลื่อนเป็นฟลูไทม์ Software Engineer แล้วค่ะ กว่าจะได้คือต้องใช้ความสามารถล้วนๆเลย มันไม่มีระบบลูกรักเมเน หรืออะไรแบบนี้นะคะ เค้าจะมี rubric ให้เลยว่าถ้าอยากเลื่อนตำแหน่งเราต้องทำอะไรบ้าง เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาค่ะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราต้องเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ เราโชคดีที่คนในทีมอายุไล่เรี่ยกันเลยคุยกันง่าย แล้วที่บริษัทเอนเตอร์เทนพนักงานเก่งมากแม่ มีกิจกรรมให้จนเเทบไม่มีเวลาทำงาน 555 นี่เลยอยากไปทำงานทุกวันเลยค่าาาาาา 🥳

It's me kaa! 🌸
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่