สวัสดีปีใหม่ 2563 ทุกๆ คนครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกในการเขียน Review การท่องเทียวของตัวเองเลยครับ เลยอยากแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับจากพี่ๆ น้องๆ ใน pantip แห่งนี้ สำหรับการเดินทางไปประเทศที่ทุกๆ คนใฝ่ฝัน นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกานั่นเองครับ
เริ่มแรกเลยตัวเรานั้นมีแผนว่าจะเดินทสงไปอเมริกาเพื่อเยี่ยมแฟนปลายปี ก่ะว่าจะไปเที่ยวทั้ง east cost และ west cost แต่ไปๆ มากลับต้องอยู่แต่ New York อย่างเดียวตลอดทริป 12 วัน แต่ก็เป็นประสบการณ์การเดินทางที่ประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตเลย
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมเราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นวีซ่าอเมริกา โดยอ่านจากระทู้ต่างๆ ใน pantip (ต้องขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ทุกๆ ท่านที่เขียวรีวิวไว้แบบระเอียดยิบ) จากนั้นก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตากรอกแบบฟอร์ม DS160 แนะนำสำหรับทุกๆ คนที่จะยื่นขอวีซ่า ให้กรอกข้อมูลให้เป็นข้อมูลจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับลักษณะงานที่ทำ ขอให้กรอกให้ละเอียดๆ ไปเลย ให้เขามั่นใจว่าเราจะต้องกลับมาทำงานต่อแน่นอนไม่เป็นโรบินฮู้ด จากนั้นก็นำปริ่นเอกสารไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรี ค่าทำวีซ่าตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5,000-5,500 แล้วแต่เรทอัตราแรกเปลี่ยน เสร็จแล้วก็รอทางสถานกงศุลเขาส่งเมล์คอนเฟิร์มว่าได้รับการชำระเงินจากเราเรียบร้อยแล้วประมาณ 3-5 วันจากนั้นถึงจะนัดวันสัมภาษณ์ในเว็บไซส์ที่เค้าให้นัด จะบอกว่าสามารถเลื่อนนัดได้ประมาณ 3 ครั้งถ้าจำไม่ผิดนะครับ (เอกสารแนะนำปริ้นเก็บไว้ให้ครบถ้วนตามที่เขากำหนดไว้หน้าเว็บไซส์ และก็เตรียมรูปถ่ายตามที่เขาแจ้งให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาถ่ายรูปที่สถานกงศุล)ตอนแรกว่างประมาณกลางๆ เดือนกันยายนเลย เราก็จองไปก่อน พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าว่างอาทิตย์ถัดไปรอบเช้า 7.30 น. เราก็เลยเปลี่ยนการจองในระบบเลยจ้า เนื่องจากเราต้องรับใช้ passport เพื่อยื่นวีซ่าไปอิตาลีตอนกลางเดือนกันยายน
วันสัมภาษณ์
ก่อนวันสัมภาษณ์เราเครียดมาก อ่านนู่นอ่านนี้ ดูนั่นดูนี้จนจิตตก กลัวไม่ผ่าน เตรียมฝึกซ้อมตอบคำถามต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อน จนถึงวันสัมภาษณ์
ถึงวันสัมภาษณ์ นอนไม่หลับเลย ตื่นแต่เช้ากลัวไปสาย ขับรถไปจอดที่จอดรถ BTS กรุงธนบุรี แล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อใต้ดินไปลงลุมพินี ถึงตั้งแต่ 6.00 น. หารถพี่วินไม่มีสักคัน สงสัยเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ก็เลยตัดสินใจเดินๆๆๆ เดินไปได้สักพักก็เจอพี่วิน เลยรีบเรียกไปสถานทูตอเมริกา พอถึงปุ๊ป ได้แต่อุทานว่า “แม่เจ้า นี่ขนาดมาถึงก่อนเจ็ดโมงเช้าคนยังต่อติวยาวเป็นหางเว่าเลย” ก็ต่อคิว มันจะเป็นเต้นท์ยาวๆ ให้เค้าตรวจเอกสารและเขียนเวลานัดสัมภาษณ์ก่อน จากนั้นก็ต่อคิวเพื่อเข้าไปด้านใน ฝากกระเป๋า ฝากมือถือกันตรงจุดคัดกรองเลย (แนะนำเอามือถือไปเครื่องเดียวนะครับ เพราะถ้ามีเกินหนึ่งเครื่องต้องไปหาร่านรับฝาก หรือเอาสัมภาระมาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้) เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็จะเป็นคิวตามเวลานัดสัมภาษณ์ ของเราเข้าไปด้านในก็ 7.30 น.พอดี ก็เดินเข้าไปในห้องแอร์ด้านในชั้น 1 ต่อคิวเพื่อให้เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ ด้านแรกก็จะเจอพี่ๆ เจ้าหน้าที่คนไทยก่อน เขาก็จะดูเอกสาร สอบถามข้อมูลเบื้องต้น ใครไปเป็นหมู่คณะหรือครอบครัวก็เข้าไปช่องเดียวกันได้เลย พอเสร็จจากพี่ๆ เจ้าหน้าที่คนไทยแล้วก็ไปแสกนนิ้วกับคุณลุงฝรั่งใจดี พูดภาษาไทยชัดแจ๋ว แล้วก็ต่อคิวเข้าสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ต่างชาติ (อึ๋ยยย ตื่นเต้น) ลักษณะเค้าเตอร์ก็จะเป็นเหมือนห้องกระจกที่เจ้าหน้าที่อยู่ด้านในแล้วเราคุยผ่านไมค์(หรือเปล่าจำไม่ค่อยได้) คนก่อนหน้าเราเป็นผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ “ไปทำไม”
ผู้หญิง “ไปเที่ยว”
เจ้าหน้าที่ “ไปกับใคร”
ผู้หญิง “ไปคนเดียวค่ะ”
เจ้าหน้าที่ “ขอโทษด้วยครับ เรายังไม่สามารถให้วีซ่าได้”
ผู้หญิงรับเอกสารและ passport กลับบ้านมือเปล่า
จากนั้นก็ถึงคิวเราได้ช่องเดิมกับผู้หญิงคนที่ไม่ผ่านก่อนหน้า ในใจคิดว่า ซวยแล้ววว จากนั้นเราก็มั่นใจเดินเข้าไปและยื่นเอกสาร passport ทั้งเล่มเก่าและเล่มใหม่ให้เจ้าหน้าที่ (ถามเป็นภาษาไทยหมดเลย)
เจ้าหน้าที่ “ทำไมถึงอยากไปอเมริกาครับ”
จขกท. “อยากไปเที่ยวครับ เป็นเมืองที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ อยากไปเห็นแท๊กซี่สีเหลือง Central Park บลาๆๆ”
เจ้าหน้าที่ “ไปกับใครครับ”
จขกท. “เพื่อนครับ”
เจ้าหน้าที่ดู passport และถามว่า “คุณเคยไปเยอรมันมาก่อนด้วยหรอ”
จขกท. “แวะเปลี่ยนเครื่องเพื่อไปบรัซเซลครับ ไม่ได้แวะเข้าประเทศ”
เจ้าหน้าที่ “ขอบคุณครับ” และก็เอา Passport เราไป
เย้ๆๆๆ ได้แล้วเว้ยยย ดีใจมากๆ เดินออกมาด้วยความเปรมปรีย์
จากนั้นก็รอๆๆ ประมาณ 5-7 วันมั้ง Passport ก็ส่งมาถึงที่บ้าน สรุปว่าได้ตั้ง 10 ปีแน่ะ
ปล. แนะนำว่าไม่ต้องจองตั๋วเครื่องบินนะครับ เพราะเค้าไม่ได้ต้องการ หลักๆ น่าจะมาจากข้อมูลใน DS160 ที่เรากรอกไปมากกว่าครับ)
วันเดินทาง
14-12-19
เราเลือกสายการบินคาเธ่แปซิฟิค เพราะตั้งงบไว้ประมาณ 28-30k บวกลบได้นิดหน่อย ก็เลยเลือกสายการบินนี้ ตอนแรกจะเอาของจีน แต่ดูในรีวิวแล้วน่าจะไม่ค่อยโอเคเท่าไร ของเราเดินทางออกจากสุวรรณภูมิประมาณ 8 โมงเช้า ถึงฮ่องกงเที่ยง แล้วรอต่อเครื่องอีก 4 ชม. เพื่อไป JFK New York
ตอนขาไปเราเลือกที่หนังหลังสุดของเครื่องเลยทั้งไปฮ่องกงและ JFK
ขาไปฮ่องกง ผู้โดยสารน้อยมาก ที่นั่งโซนท้ายเครื่องไม่เต็ม มีไม่ถึง 10 คน สจ๊วตเลยเดินมาบอกว่า จะนั่งตรงไหนก็ได้ เลือกได้ตามสบาย หุหุ เสร็จเรา นั่งไปสองชั่วโมงครึ่งก็ถึงฮ่องกงและครับ
s
พอถึงสนามบินฮ่องกงปุ๊ปก็เดินๆ ไปตามป้ายที่เขียนว่า Transit แล้วก็เข้าไปที่ Security Check อีกรอบ จากนั้นก็ไปนั่งรอที่ Gate พอใกล้ๆ ถึงเวลา Gate เปิดก็จะมีเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานฮ่องกงเดินมาสอบถามผู้โดยสารไฟล์ทที่จะไปอเมริกาเบื้องต้นประมาณว่า "คุณจะเดินทางไปอเมริกาทำไม" "ตอนที่รอเครื่องสัมภาระที่คุณถืออยู่มีใครคนอื่นถือไหม (มีอาวุธไหม)" จากนั้นก็จะแปะสติ๊กเกอร์สีเหลืองๆ ที่ passport เรา แล้วก็ขึ้นเครื่องเดินทางต่อไป มุ่งหน้าสู่ New York กันครับ
ไฟล์ทนี้ผู้โดยสารเต็มเลย อดเปลี่ยนที่ 555 นั่งหลังสุด แต่ติดทางเดิน เข้าห้องน้ำสะดวก
มื้ออาหารที่เซิร์ฟบนเครื่องมีให้ 2 มือครับ
เดินทางประมาณ 15 ชม. ถึงที่สนามบิน JKF ประมาณทุ่มนึง(ตามเวลาท้องถิ่น) นั่งจนเมื่อยกันเลยทีเดียว
ถึงสนามบินก็เดินตามๆๆๆ ผู้โดยสารคนอื่นและป้ายที่เขียนว่า Immigration จากนั้นก็ต่อคิวเพื่อเข้าช่อง (ตรงนี้ห้ามถ่ายรูป) เดี๋ยวนี้ตม.อเมริกาที่ JFK ไม่ต้องเขียนเอกสารแล้ว มันจะมีตู้ Kiosk สำหรับแสกน Passport ของเรา แต่เจ้าของกระทู้ดันทำไม่ผ่าน คุณป้าเลยเรียกให้ไปเจอกับเจ้าหน้าที่ตม.แบบตัวต่อตัว ขอสารภาพเลยว่าตื่นเต้นมากกลัวไม่ผ่าน แถมโดนตม.ดุอีกตอนแสกนลายนิ้วมือเราก็วางแบบจิ้มๆ ปลายนิ้ว 4 นิ้วอะ นางก็พูดภาษาอังกฤษใส่ว่าอะไรสักอย่างจำไม่ได้ เราก็งงๆ นางก็บอกว่าคุณทำให้ฉันเสียเวลานะ สรุปก็คือต้องนาบนิ้ว 4 นิ้วลงไปให้เลย ให้มันสัมผัสกับแผ่นแสตนเลสนั่นแหล่ะ ถึงจะได้ (แอบบ่น หน้าตาก็ดี แต่
ดุจริงๆ สงสัยง่วงนอนแล้วแน่ๆ)
ออกมาแล้วววววว นี่คือสภาพสนามบิน JFK มันช่างเล็กจัง เหมือนดอนเมืองบ้านเราเลย 555
จากนั้นก็เรียกแท๊กซี่สีเหลือง ที่จขกท.ตัดสินใจขึ้นรถแท๊กซี่ก็เพราะว่ากระเป๋าเดินทางของจขกท.และคุณแฟนรวมกันก็ 4 ใบแล้ว จะให้ขึ้น subway คงไม่ไหวแน่นอน ระหว่างเดินออกไปเค้าเตอร์เรียกแท็กซี่ก็จะมีพวกที่คอยยืนเรียกเราให้ใช้บริการแท๊กซี่แบบนอกระบบเหมือนกัน (เคยอ่านมาเค้าบอกว่าแพง 100 เหรียญ) ก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร มุ่งหน้าไปที่เค้าเตอร์เรียกแท็กซี่อย่างเดียว สรุปแล้วก็ได้คุณลุงเชื้อสายอินเดียเป็นคนขับให้เราไปยัง Hostel ย่าน Soho ค่าแท๊กซี่จาก JFK เข้า Manhattan จะเป็น Flat Rate ที่ 55 เหรียญยังไม่รวมทิปนะครับ
ระหว่างทางก็นั่งมองบ้านเมืองของเขาไปเรื่อยๆ จากชานเมือง (JFK อยู่ห่างจาก Manhattan ประมาณ สุวรรณภูมิ ถึง กรุงเทพฯ อะครับ) เป็นบ้าน 2 ชั้น พอเข้าเมืองก็จะเห็นตึงสูงๆ ของมหานครนิวยอร์คเต็มไปหมด ตื่นตาตื่นใจเชียวแหล่ะ รถติดมากกกก กว่าจะถึงที่พักก็เกือบๆ 3 ทุ่มและครับ หมดแรง ลงมาหาอะไรกิน ได้อาหารที่เค้าขายข้างทางเป็นอาหาร Halal Food ประทังหิวมื้อแรกใน New York ก่อน
แถวๆ ที่พักครับ สังเกตุว่า 3 ทุ่มกว่าจะ 4 ทุ่มแล้ว รถยังเยอะแยะไปหมด เพราะเป็นวันเสาร์ และมีพวกผับบาร์เปิดเต็มไปหมด เหล่าชาว New Yorker ก็มาสังสรรค์ก่อนวันหยุดยาวครับ คืนนั้นเสียงดังมากกก นอนไม่ค่อยหลับเลย
15-12-2019
เช้าวันแรกที่ New York
จริงๆ ทริปนี้วางแผนมาว่าจะไปนุ่นนั่นนี่ แต่สรุปแล้วคือไม่มีแผนครับ อยากไปไหนก็ไป อยากไปที่ไหนซ้ำอีกก็ไป
วันแรกก็สภาพอากาศไม่ค่อยดีเลย มีเมฆทั้งวัน ไม่ค่อยมีแดด อุณหภูมิก็ประมาณ 3-4 องศา หนาวนะสำหรับคนไทย วางแผนไว้ว่าวันนี้จะไปเดินเล่นตลาด Flea Market กัน เพราะเป็นวันอาทิตย์ ส่วนมาก Flea Market จะมีวันเสาร์และอาทิตย์ครับ
บริเวณที่พักครับ ก็จะมีร้านค้า Local Brand ต่างๆ เปิดกันเยอะแยะไปหมด แต่ที่เห็นนี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านกันนะครับ เค้าเปิดกันสาย 10-11 โมงนุ่นแหน่ะ บางร้านเปิดบ่ายโมงก็มี
เดินๆ มาเรื่อยๆ เปิด Google Map มาว่าจะไปไหน วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดของชาว New York ก็คือ Subway ครับ ที่นี่เค้าเรียกว่า MTA ซื้อตั๋วแบบ 7 วัน unlimited ไปเลย ค่าตั๋ว 33 เหรียญ ค่าบัตร 1 เหรียญ รวมเป็น 34 เหรียญ (จขกท.และคุณแฟนใช้คุ้มสุดๆ เพราะไปกลับๆ ที่พักกับที่ไปเที่ยวบ่อยมาก) ถ้าเดินทางเที่ยวเดียว เที่ยวละ 3 เหรียญครับ ซื้อได้ที่ตู้เลย แนะนำให้ใช้บัตรเติมเงินสำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศที่ธนาคารไทยออกมาใหม่จะสะดวกมาครับผมใช้ (SC* Pla***)
วิธีการเดินทางเราก็เปิด Google Map เลยครับว่าจะไปไหน เลือกการเดินทางเป็นรถไฟ มันก็จะบอกเลยว่าให้ไป subway สีอะไร สายอะไร ก็เดินไปสถานี้นั้นๆ เลยครับ สถานี Subway กระจายอยู่ทุกที่ เยอะมากๆ ครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องสีเรื่องตัวอักษรนะครับ ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเก่งเอง
วิธีการใช้ Subway ก็ง่ายๆ ครับ เราดูว่าเราจะขึ้นไปทางเหนือของ Manhattan ก็ไปตามป้าย Uptown ถ้าจะลงไปทางใต้ ก็ไปตามป้าย Downtown Brooklyn Bridge แค่นั้นเอง สำหรับคนที่กำลังงงว่าแล้วฉันจะลงใต้ดินทางไหนก็ง่ายๆ เหมือนกันครับ บางสถานีเค้าจะเขียนอยู่แล้วว่า Uptown หรือ Downtown Brooklyn Bridge ก็เลือกเอาว่าเราจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ แต่บางสถานีไม่เขียนก็แสดงว่าลงได้หมด ข้างล่างเค้าจะมีป้ายแยกให้อีกทีว่าไป Uptown ฝั่งไหน หรือ Downtown ฝั่งไหนครับ
ป้ายหน้าชานชาลาครับ สังเกตุมุมซ้ายบนจะเขียนว่า Uptown & Queen แสดงว่าไปทางด้านเหนือของ Manhattan ครับ
รถไฟที่นี่เค้าจะเป็นตู้ๆ ยาวมาก มีเป็น 20 โบกี้เลย ยาวจริงๆ ยาวกว่ารถไฟฟ้าบ้านเราเยอะครับ มีทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ รุ่นเก่าจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศ ไม่มีป้ายไฟวิ่งว่าสถานี้หน้าคือสถานีอะไร (บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง บางทีก็ไม่ประกาศ) รุ่นใหม่ก็จะเป็นเสียงที่อัดไว้ และก็มีป้ายไฟวิ่งว่าสถานีหน้าคือสถานีอะไรครับ
เดี๋ยวมาต่อที่เม้นด้านล่างครับ นี่แค่วันแรก 555
[CR] "Christmas in New York 2019"
สวัสดีปีใหม่ 2563 ทุกๆ คนครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกในการเขียน Review การท่องเทียวของตัวเองเลยครับ เลยอยากแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับจากพี่ๆ น้องๆ ใน pantip แห่งนี้ สำหรับการเดินทางไปประเทศที่ทุกๆ คนใฝ่ฝัน นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกานั่นเองครับ
เริ่มแรกเลยตัวเรานั้นมีแผนว่าจะเดินทสงไปอเมริกาเพื่อเยี่ยมแฟนปลายปี ก่ะว่าจะไปเที่ยวทั้ง east cost และ west cost แต่ไปๆ มากลับต้องอยู่แต่ New York อย่างเดียวตลอดทริป 12 วัน แต่ก็เป็นประสบการณ์การเดินทางที่ประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตเลย
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมเราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นวีซ่าอเมริกา โดยอ่านจากระทู้ต่างๆ ใน pantip (ต้องขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ทุกๆ ท่านที่เขียวรีวิวไว้แบบระเอียดยิบ) จากนั้นก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตากรอกแบบฟอร์ม DS160 แนะนำสำหรับทุกๆ คนที่จะยื่นขอวีซ่า ให้กรอกข้อมูลให้เป็นข้อมูลจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับลักษณะงานที่ทำ ขอให้กรอกให้ละเอียดๆ ไปเลย ให้เขามั่นใจว่าเราจะต้องกลับมาทำงานต่อแน่นอนไม่เป็นโรบินฮู้ด จากนั้นก็นำปริ่นเอกสารไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรี ค่าทำวีซ่าตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5,000-5,500 แล้วแต่เรทอัตราแรกเปลี่ยน เสร็จแล้วก็รอทางสถานกงศุลเขาส่งเมล์คอนเฟิร์มว่าได้รับการชำระเงินจากเราเรียบร้อยแล้วประมาณ 3-5 วันจากนั้นถึงจะนัดวันสัมภาษณ์ในเว็บไซส์ที่เค้าให้นัด จะบอกว่าสามารถเลื่อนนัดได้ประมาณ 3 ครั้งถ้าจำไม่ผิดนะครับ (เอกสารแนะนำปริ้นเก็บไว้ให้ครบถ้วนตามที่เขากำหนดไว้หน้าเว็บไซส์ และก็เตรียมรูปถ่ายตามที่เขาแจ้งให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาถ่ายรูปที่สถานกงศุล)ตอนแรกว่างประมาณกลางๆ เดือนกันยายนเลย เราก็จองไปก่อน พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าว่างอาทิตย์ถัดไปรอบเช้า 7.30 น. เราก็เลยเปลี่ยนการจองในระบบเลยจ้า เนื่องจากเราต้องรับใช้ passport เพื่อยื่นวีซ่าไปอิตาลีตอนกลางเดือนกันยายน
วันสัมภาษณ์
ก่อนวันสัมภาษณ์เราเครียดมาก อ่านนู่นอ่านนี้ ดูนั่นดูนี้จนจิตตก กลัวไม่ผ่าน เตรียมฝึกซ้อมตอบคำถามต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อน จนถึงวันสัมภาษณ์
ถึงวันสัมภาษณ์ นอนไม่หลับเลย ตื่นแต่เช้ากลัวไปสาย ขับรถไปจอดที่จอดรถ BTS กรุงธนบุรี แล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อใต้ดินไปลงลุมพินี ถึงตั้งแต่ 6.00 น. หารถพี่วินไม่มีสักคัน สงสัยเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ก็เลยตัดสินใจเดินๆๆๆ เดินไปได้สักพักก็เจอพี่วิน เลยรีบเรียกไปสถานทูตอเมริกา พอถึงปุ๊ป ได้แต่อุทานว่า “แม่เจ้า นี่ขนาดมาถึงก่อนเจ็ดโมงเช้าคนยังต่อติวยาวเป็นหางเว่าเลย” ก็ต่อคิว มันจะเป็นเต้นท์ยาวๆ ให้เค้าตรวจเอกสารและเขียนเวลานัดสัมภาษณ์ก่อน จากนั้นก็ต่อคิวเพื่อเข้าไปด้านใน ฝากกระเป๋า ฝากมือถือกันตรงจุดคัดกรองเลย (แนะนำเอามือถือไปเครื่องเดียวนะครับ เพราะถ้ามีเกินหนึ่งเครื่องต้องไปหาร่านรับฝาก หรือเอาสัมภาระมาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้) เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็จะเป็นคิวตามเวลานัดสัมภาษณ์ ของเราเข้าไปด้านในก็ 7.30 น.พอดี ก็เดินเข้าไปในห้องแอร์ด้านในชั้น 1 ต่อคิวเพื่อให้เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ ด้านแรกก็จะเจอพี่ๆ เจ้าหน้าที่คนไทยก่อน เขาก็จะดูเอกสาร สอบถามข้อมูลเบื้องต้น ใครไปเป็นหมู่คณะหรือครอบครัวก็เข้าไปช่องเดียวกันได้เลย พอเสร็จจากพี่ๆ เจ้าหน้าที่คนไทยแล้วก็ไปแสกนนิ้วกับคุณลุงฝรั่งใจดี พูดภาษาไทยชัดแจ๋ว แล้วก็ต่อคิวเข้าสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ต่างชาติ (อึ๋ยยย ตื่นเต้น) ลักษณะเค้าเตอร์ก็จะเป็นเหมือนห้องกระจกที่เจ้าหน้าที่อยู่ด้านในแล้วเราคุยผ่านไมค์(หรือเปล่าจำไม่ค่อยได้) คนก่อนหน้าเราเป็นผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ “ไปทำไม”
ผู้หญิง “ไปเที่ยว”
เจ้าหน้าที่ “ไปกับใคร”
ผู้หญิง “ไปคนเดียวค่ะ”
เจ้าหน้าที่ “ขอโทษด้วยครับ เรายังไม่สามารถให้วีซ่าได้”
ผู้หญิงรับเอกสารและ passport กลับบ้านมือเปล่า
จากนั้นก็ถึงคิวเราได้ช่องเดิมกับผู้หญิงคนที่ไม่ผ่านก่อนหน้า ในใจคิดว่า ซวยแล้ววว จากนั้นเราก็มั่นใจเดินเข้าไปและยื่นเอกสาร passport ทั้งเล่มเก่าและเล่มใหม่ให้เจ้าหน้าที่ (ถามเป็นภาษาไทยหมดเลย)
เจ้าหน้าที่ “ทำไมถึงอยากไปอเมริกาครับ”
จขกท. “อยากไปเที่ยวครับ เป็นเมืองที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ อยากไปเห็นแท๊กซี่สีเหลือง Central Park บลาๆๆ”
เจ้าหน้าที่ “ไปกับใครครับ”
จขกท. “เพื่อนครับ”
เจ้าหน้าที่ดู passport และถามว่า “คุณเคยไปเยอรมันมาก่อนด้วยหรอ”
จขกท. “แวะเปลี่ยนเครื่องเพื่อไปบรัซเซลครับ ไม่ได้แวะเข้าประเทศ”
เจ้าหน้าที่ “ขอบคุณครับ” และก็เอา Passport เราไป
เย้ๆๆๆ ได้แล้วเว้ยยย ดีใจมากๆ เดินออกมาด้วยความเปรมปรีย์
จากนั้นก็รอๆๆ ประมาณ 5-7 วันมั้ง Passport ก็ส่งมาถึงที่บ้าน สรุปว่าได้ตั้ง 10 ปีแน่ะ
ปล. แนะนำว่าไม่ต้องจองตั๋วเครื่องบินนะครับ เพราะเค้าไม่ได้ต้องการ หลักๆ น่าจะมาจากข้อมูลใน DS160 ที่เรากรอกไปมากกว่าครับ)
วันเดินทาง
14-12-19
เราเลือกสายการบินคาเธ่แปซิฟิค เพราะตั้งงบไว้ประมาณ 28-30k บวกลบได้นิดหน่อย ก็เลยเลือกสายการบินนี้ ตอนแรกจะเอาของจีน แต่ดูในรีวิวแล้วน่าจะไม่ค่อยโอเคเท่าไร ของเราเดินทางออกจากสุวรรณภูมิประมาณ 8 โมงเช้า ถึงฮ่องกงเที่ยง แล้วรอต่อเครื่องอีก 4 ชม. เพื่อไป JFK New York
ตอนขาไปเราเลือกที่หนังหลังสุดของเครื่องเลยทั้งไปฮ่องกงและ JFK
ขาไปฮ่องกง ผู้โดยสารน้อยมาก ที่นั่งโซนท้ายเครื่องไม่เต็ม มีไม่ถึง 10 คน สจ๊วตเลยเดินมาบอกว่า จะนั่งตรงไหนก็ได้ เลือกได้ตามสบาย หุหุ เสร็จเรา นั่งไปสองชั่วโมงครึ่งก็ถึงฮ่องกงและครับ
sพอถึงสนามบินฮ่องกงปุ๊ปก็เดินๆ ไปตามป้ายที่เขียนว่า Transit แล้วก็เข้าไปที่ Security Check อีกรอบ จากนั้นก็ไปนั่งรอที่ Gate พอใกล้ๆ ถึงเวลา Gate เปิดก็จะมีเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานฮ่องกงเดินมาสอบถามผู้โดยสารไฟล์ทที่จะไปอเมริกาเบื้องต้นประมาณว่า "คุณจะเดินทางไปอเมริกาทำไม" "ตอนที่รอเครื่องสัมภาระที่คุณถืออยู่มีใครคนอื่นถือไหม (มีอาวุธไหม)" จากนั้นก็จะแปะสติ๊กเกอร์สีเหลืองๆ ที่ passport เรา แล้วก็ขึ้นเครื่องเดินทางต่อไป มุ่งหน้าสู่ New York กันครับ
ไฟล์ทนี้ผู้โดยสารเต็มเลย อดเปลี่ยนที่ 555 นั่งหลังสุด แต่ติดทางเดิน เข้าห้องน้ำสะดวก
มื้ออาหารที่เซิร์ฟบนเครื่องมีให้ 2 มือครับ
เดินทางประมาณ 15 ชม. ถึงที่สนามบิน JKF ประมาณทุ่มนึง(ตามเวลาท้องถิ่น) นั่งจนเมื่อยกันเลยทีเดียว
ถึงสนามบินก็เดินตามๆๆๆ ผู้โดยสารคนอื่นและป้ายที่เขียนว่า Immigration จากนั้นก็ต่อคิวเพื่อเข้าช่อง (ตรงนี้ห้ามถ่ายรูป) เดี๋ยวนี้ตม.อเมริกาที่ JFK ไม่ต้องเขียนเอกสารแล้ว มันจะมีตู้ Kiosk สำหรับแสกน Passport ของเรา แต่เจ้าของกระทู้ดันทำไม่ผ่าน คุณป้าเลยเรียกให้ไปเจอกับเจ้าหน้าที่ตม.แบบตัวต่อตัว ขอสารภาพเลยว่าตื่นเต้นมากกลัวไม่ผ่าน แถมโดนตม.ดุอีกตอนแสกนลายนิ้วมือเราก็วางแบบจิ้มๆ ปลายนิ้ว 4 นิ้วอะ นางก็พูดภาษาอังกฤษใส่ว่าอะไรสักอย่างจำไม่ได้ เราก็งงๆ นางก็บอกว่าคุณทำให้ฉันเสียเวลานะ สรุปก็คือต้องนาบนิ้ว 4 นิ้วลงไปให้เลย ให้มันสัมผัสกับแผ่นแสตนเลสนั่นแหล่ะ ถึงจะได้ (แอบบ่น หน้าตาก็ดี แต่ดุจริงๆ สงสัยง่วงนอนแล้วแน่ๆ)
ออกมาแล้วววววว นี่คือสภาพสนามบิน JFK มันช่างเล็กจัง เหมือนดอนเมืองบ้านเราเลย 555
จากนั้นก็เรียกแท๊กซี่สีเหลือง ที่จขกท.ตัดสินใจขึ้นรถแท๊กซี่ก็เพราะว่ากระเป๋าเดินทางของจขกท.และคุณแฟนรวมกันก็ 4 ใบแล้ว จะให้ขึ้น subway คงไม่ไหวแน่นอน ระหว่างเดินออกไปเค้าเตอร์เรียกแท็กซี่ก็จะมีพวกที่คอยยืนเรียกเราให้ใช้บริการแท๊กซี่แบบนอกระบบเหมือนกัน (เคยอ่านมาเค้าบอกว่าแพง 100 เหรียญ) ก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร มุ่งหน้าไปที่เค้าเตอร์เรียกแท็กซี่อย่างเดียว สรุปแล้วก็ได้คุณลุงเชื้อสายอินเดียเป็นคนขับให้เราไปยัง Hostel ย่าน Soho ค่าแท๊กซี่จาก JFK เข้า Manhattan จะเป็น Flat Rate ที่ 55 เหรียญยังไม่รวมทิปนะครับ
ระหว่างทางก็นั่งมองบ้านเมืองของเขาไปเรื่อยๆ จากชานเมือง (JFK อยู่ห่างจาก Manhattan ประมาณ สุวรรณภูมิ ถึง กรุงเทพฯ อะครับ) เป็นบ้าน 2 ชั้น พอเข้าเมืองก็จะเห็นตึงสูงๆ ของมหานครนิวยอร์คเต็มไปหมด ตื่นตาตื่นใจเชียวแหล่ะ รถติดมากกกก กว่าจะถึงที่พักก็เกือบๆ 3 ทุ่มและครับ หมดแรง ลงมาหาอะไรกิน ได้อาหารที่เค้าขายข้างทางเป็นอาหาร Halal Food ประทังหิวมื้อแรกใน New York ก่อน
แถวๆ ที่พักครับ สังเกตุว่า 3 ทุ่มกว่าจะ 4 ทุ่มแล้ว รถยังเยอะแยะไปหมด เพราะเป็นวันเสาร์ และมีพวกผับบาร์เปิดเต็มไปหมด เหล่าชาว New Yorker ก็มาสังสรรค์ก่อนวันหยุดยาวครับ คืนนั้นเสียงดังมากกก นอนไม่ค่อยหลับเลย
15-12-2019
เช้าวันแรกที่ New York
จริงๆ ทริปนี้วางแผนมาว่าจะไปนุ่นนั่นนี่ แต่สรุปแล้วคือไม่มีแผนครับ อยากไปไหนก็ไป อยากไปที่ไหนซ้ำอีกก็ไป
วันแรกก็สภาพอากาศไม่ค่อยดีเลย มีเมฆทั้งวัน ไม่ค่อยมีแดด อุณหภูมิก็ประมาณ 3-4 องศา หนาวนะสำหรับคนไทย วางแผนไว้ว่าวันนี้จะไปเดินเล่นตลาด Flea Market กัน เพราะเป็นวันอาทิตย์ ส่วนมาก Flea Market จะมีวันเสาร์และอาทิตย์ครับ
บริเวณที่พักครับ ก็จะมีร้านค้า Local Brand ต่างๆ เปิดกันเยอะแยะไปหมด แต่ที่เห็นนี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านกันนะครับ เค้าเปิดกันสาย 10-11 โมงนุ่นแหน่ะ บางร้านเปิดบ่ายโมงก็มี
เดินๆ มาเรื่อยๆ เปิด Google Map มาว่าจะไปไหน วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดของชาว New York ก็คือ Subway ครับ ที่นี่เค้าเรียกว่า MTA ซื้อตั๋วแบบ 7 วัน unlimited ไปเลย ค่าตั๋ว 33 เหรียญ ค่าบัตร 1 เหรียญ รวมเป็น 34 เหรียญ (จขกท.และคุณแฟนใช้คุ้มสุดๆ เพราะไปกลับๆ ที่พักกับที่ไปเที่ยวบ่อยมาก) ถ้าเดินทางเที่ยวเดียว เที่ยวละ 3 เหรียญครับ ซื้อได้ที่ตู้เลย แนะนำให้ใช้บัตรเติมเงินสำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศที่ธนาคารไทยออกมาใหม่จะสะดวกมาครับผมใช้ (SC* Pla***)
วิธีการเดินทางเราก็เปิด Google Map เลยครับว่าจะไปไหน เลือกการเดินทางเป็นรถไฟ มันก็จะบอกเลยว่าให้ไป subway สีอะไร สายอะไร ก็เดินไปสถานี้นั้นๆ เลยครับ สถานี Subway กระจายอยู่ทุกที่ เยอะมากๆ ครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องสีเรื่องตัวอักษรนะครับ ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเก่งเอง
วิธีการใช้ Subway ก็ง่ายๆ ครับ เราดูว่าเราจะขึ้นไปทางเหนือของ Manhattan ก็ไปตามป้าย Uptown ถ้าจะลงไปทางใต้ ก็ไปตามป้าย Downtown Brooklyn Bridge แค่นั้นเอง สำหรับคนที่กำลังงงว่าแล้วฉันจะลงใต้ดินทางไหนก็ง่ายๆ เหมือนกันครับ บางสถานีเค้าจะเขียนอยู่แล้วว่า Uptown หรือ Downtown Brooklyn Bridge ก็เลือกเอาว่าเราจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ แต่บางสถานีไม่เขียนก็แสดงว่าลงได้หมด ข้างล่างเค้าจะมีป้ายแยกให้อีกทีว่าไป Uptown ฝั่งไหน หรือ Downtown ฝั่งไหนครับ
ป้ายหน้าชานชาลาครับ สังเกตุมุมซ้ายบนจะเขียนว่า Uptown & Queen แสดงว่าไปทางด้านเหนือของ Manhattan ครับ
รถไฟที่นี่เค้าจะเป็นตู้ๆ ยาวมาก มีเป็น 20 โบกี้เลย ยาวจริงๆ ยาวกว่ารถไฟฟ้าบ้านเราเยอะครับ มีทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ รุ่นเก่าจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศ ไม่มีป้ายไฟวิ่งว่าสถานี้หน้าคือสถานีอะไร (บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง บางทีก็ไม่ประกาศ) รุ่นใหม่ก็จะเป็นเสียงที่อัดไว้ และก็มีป้ายไฟวิ่งว่าสถานีหน้าคือสถานีอะไรครับ
เดี๋ยวมาต่อที่เม้นด้านล่างครับ นี่แค่วันแรก 555
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้