***ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมานะคะ และก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและกำลังใจมี่ผ่านมาใน EP.1 และ EP.2 ใครที่ยังไม่เคยอ่าน ลองไปอ่านมาก่อนได้นะคะ
https://m.ppantip.com/topic/39519495?
https://m.ppantip.com/topic/39522878?
วันนี้จะมาเล่าเรื่องการรักษาตัวของเรา(โรคซึมเศร้า+โรควิตกกังวล+ภาวะแพนิค)
และเรื่องการเรียน+สอบของคณะแพทย์ที่เก่าของเรา
ณ วันนี้ เราได้รับการรักษาตัวจากจิตแพทยมาทั้งหมด 3 sessions แล้วค่ะ
ทุกๆครั้งที่ไปจะได้พูดคุยปัญหาในใจและรับฟังคำแนะนำจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาคุยประมาณ 1 ชม.ต่อครั้งค่ะ (ขึ้นอยู่กับแต่ละคน)
Session 1 : 24 Oct 2019 - ได้รับ Lexapro(10mg) วันละครึ่งเม็ด4วันแรก จากนั้นวันละ1เม็ด + Rivotril (2mg) วันละครึ่งเม็ด
Session 2 : 7 Nov 2019 - ได้รับ Lexapro(10mg) วันละ1เม็ด + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด
Session 3 : 28 Nov 2019 - ได้รับ Lexapro (10mg)วันละ1เม็ดกับอีกครึ่ง + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด + Ritalin(10mg) ทาน1เม็ด
และที่กำลังจะมาถึง คือ Session 4 : 30 Dec 2019
***ใน session ที่ 3 ที่ได้รับยาเพิ่มมาอีกตัวคือ Ritalin เพราะเราบอกหมอว่าตอนกลับมาและต้องสอบ สนามแรกน่าจะ BMAT เราไม่สามารถโฟกัสได้เลย มึนไปหมด แม้จะไม่แพนิคหรือกังวลน้อยลงแล้ว แต่สมองช้าและเหม่อลอย ไม่มีสมาธิ คุณหมอเลยจัดยาตัวนี้แก้ไขในส่วนนี้ (ทานเฉพาะตอนติวหนักๆ/สอบ)
ช่วงที่ผ่านมาเราเพิ่งกลับไทยได้ประมาณเดือนกว่าๆ ช่วง September เป็นช่วงเริ่มสอบเข้าแพทย์ระบบอินเตอร์ของไทยแล้ว ตอนนั้นด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่ไม่พร้อม คะแนนจึงไม่ดีนัก แต่เราก็ลองยื่นไปในรอบportfolio ซึ่งต้องสอบ BMAT, SAT subjects (Physics/Math, Bio, Chem), IELTS และต้องเตรียมเอกสารมากมายรวมถึงทำ portfolio ซึ่งไม่ง่าย ก็รอผลประกาศว่าจะติดรอบสัมภาษณ์ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่กดดันอะไร เราถือว่าเรายังไม่100% รักษาสุขภาพกายและจิตไปก่อนปีหน้าน่าจะพร้อมกว่านี้ แต่อีกใจก็ไม่อยากเสียเวลาเลยฝืนไปสอบและยื่นดู ไม่ได้อ่านหนังสือใดๆเพิ่มเพราะไม่ไหว เนื้อหาม.ปลายเราก็ลืมๆไปบ้างเพราะตอนไปเรียนที่คณะแพทยที่นู้น ปี1 ก็ไม่ได้มีการเรียน Basic Sci (ทำให้ลืมเนื้อหาม.ปลายไปบ้าง เพราะต้องเจอตัวยากๆใหม่ๆมาให้เรียน) ระบบที่นั่นให้เรียน Anatomy, Histology, Genetics, Biophysics, Latin, วิชาภาษาแม่ของประเทศเขา,etc. ซึ่งยากทุกอย่าง มีการสอบ dissection (ผ่าอาจารย์ใหญ่ในวิชา Anatomy) ตั้งแต่ปี 1 ทำให้ยากมากในการปรับตัว และอาจารย์ก็ค่อนข้างจะไม่ supportive จะผ่านหรือตกเขาก็ไม่ได้มาสนใจมากนัก เราต้องดิ้นรนตามซ่อมเอง และทุกอย่างที่ว่า ไม่ว่าจะเป็น weekly tests ที่ทำให้ต้องอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลาแบบไฟลนก้นเพราะต้องผ่านทุกweek ก็อดหลับอดนอนหลายครั้งเพื่อให้มันผ่านไปจะได้ไม่ต้องตามซ่อม และ Final Exams ที่จะเป็นการสอบแบบหลายๆด่าน ก็ยากและไม่ยุติธรรมนัก
ที่เรามาเล่าคือมุมมองของเราและจากประสบการณ์จริงที่พบเจอ แต่ละคนก็ต้องเจอต่างกันอยู่แล้ว ถ้าไปถามคนเก่งเทพที่เขาผ่านได้หมดไม่เคยต้องซ่อมเขาก็ไม่รู้สึกว่าอาจารย์เทหรือไม่สนใจ เพราะเขาผ่านได้ ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบที่นี่ แต่ย้ำที่นี่ drop out rate สูงเกินครึ่ง แสดงให้เห็นถึงหลายๆอย่างในมุมมองเราว่า รับเด็กเข้ามาสอบเข้าก็ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่ช่วยเหลือเด็กมากนัก แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการ train เด็กให้ผ่านแบบมีความรู้ได้ นี่คือมุมมองของเรา ซึ่งถ้าคนที่รักสถาบันมาก หรือเอเจนซี่ หรือเพื่อนที่ผ่านได้โดยไม่มีปัญหา การเขียนของเรานี้อาจไปขัดใจคนหลายๆคนแน่นอน และเราก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่งเทพ เป็นคนธรรมดาที่มีความฝัน พอไปเจอมาแล้วมันมีข้อเสีย ก็อยากให้รุ่นน้องที่จะไปได้เห็นได้อ่าน ไม่ใช่ไปแบบไม่รู้อะไรเลยเพราะเชื่อโฆษณาชวนเชื่อที่ดูดีและกระทู้อวยต่างๆในเด็กดีและก็ต้อง suffer และเสียเวลา เสียเงินไป เราเขียนเพื่อเตือนไม่ใช่ห้าม ถ้าใครรับกับการเรียนแบบนี้ได้ (adult-learning)และการสอบที่เป็น oral exams ก็สามารถไปได้เลย ถ้าการเรียนแบบนี้มันเข้ากับคุณ ก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แต่สำหรับเราและหลายๆคนมันไม่ใช่ เลยเป็นสาเหตุที่เอาประสบการณ์นี้มาเล่า เราไม่ใช่คนแรกที่เจออะไรแบบนี้ แต่เราคิดว่าคงไม่มีใครอยากจำเรื่องแย่ๆเลยพยายามลืมมันไปและเริ่มต้นใหม่ และอีกกรณีคือน่าจะไม่อยากมีปัญหากับใครแบบที่เราเจอ แต่เราเกลียดความไม่ยุติธรรม ไม่อยากเห็นใครต้องมาเป็นแบบเรา ถ้าเราเห็นว่ามันมีข้อเสีย เราต้องบอกให้คนทราบ ไม่ใช่ให้ใครกลัวแต่ให้เขาจะได้เตรียมรับมือและตัดสินใจว่าควรไม่ควรที่จะเลือกเส้นทางนี้
การสอบในมหาวิทยาลัยนั้นหลักๆมี 3 อย่าง ทุกอย่างมี 3 attempts ถ้าไม่ผ่านตอนไหนก็ออกไปได้เลยจากมหาวิทยาลัย
1. Weekly tests (written)
2. Credit tests (ตอนจบแต่ละเทอม เหมือนรวมทุก weekly tests ไว้ด้วยกัน)
# กรณีAnatomy จะมีสอบ dissection ด้วยระหว่างแต่ละเทอม ซึ่งยากและเครียดมากเช่นกัน
ก่อนจะมาถึงไฟนอล ก็ต้องผ่านการสอบที่กล่าวไว้ด้านบนให้หมดก่อน ถึงจะมีสิทธิ์สอบไฟนอลได้
3. Final Exams แล้วแต่วิชา ส่วนใหญ่เป็น oral exams มี 3 ด่าน เช่น Anatomy
*** Anatomy ด่าน1 คือดู stucture ในจอใหญ่สอบรวมกันในห้อง Lectures มี30ภาพ ต้องได้21/30ขึ้นไปจะผ่านไปด่าน2ได้, ด่าน2 คือdissection exams (อาจารย์ใหญ่) ผ่าน/ตกขึ้นอยู่กับดุลพินิจ(ความพอใจ)ของ Examiners ถ้าผ่านก็ไปรอคิวด่าน3, ด่าน 3 oral exams เป็นการสอบปากเปล่า แบะอาจมีต้องวาดรูปอธิบายเพิ่มเติม โดยคำถามที่ได้คือจับฉลาก และ Professors ก็ Random เหมือนกัน บางคนได้ข้อยากๆ อาจารย์โหดๆที่ชอบยิงคำถามใส่ก็มีสิทธิ์ตกมากกว่าคนที่ดวงดีได้อะไรที่ง่ายกว่าหรือที่อ่านมาพอดี (ดวง+ความรู้) ด่านนี้เกณฑ์ผ่าน/ตกก็คือดุลพินิจ(ความพอใจ) ของ Professor อีกเช่นกัน
เราอยู่ที่นั่นภายใต้สภาวะกดดันและรวมถึงอาการซึมเศร้าที่เราเป็นและอาจเป็นที่เราเองที่สมองได้แค่นี้ ทำให้ผลการเรียนไม่ดี ตกweeklyบ่อยๆ แต่ก็ดิ้นรนไปซ่อม(ต้องอีเมลนัดอาจารย์เอง) จนอาจารย์เบื่อหน้าแล้ว555 ซึ่งซ่อมนี่สอบตัวตัวเลย ยากกว่าสอบในห้อง(written)ให้ผ่านอีกเเละบางทีมีถามตอบปากเปล่าด้วย สุดท้ายเราก็ผ่านทุกอย่างและมีสิทธิ์สอบ Final Exams
ระหว่างที่เรียนตลอด 2 ปี มีความเครียด กดดัน นอนไม่หลับอยู่บ้างเพราะต้องสอบบ่อยๆ แต่ความเครียดและกดดันขั้นสุดมาในตอนก่อนสอบ Final Exams ซึ่งก็มี 3 attempts ถ้าเราตกก็คือทุกอย่างที่ทำมาจะเป็น 0 คือโดนให้ออกนั่นเอง ช่วง Final Exams จะกินเวลา2-3 เดือน สอบหลายวิชาและจะมีวันสอบเปิดให้ เราอยากลงวันไหนก็ลงได้ตามใจ แต่ต้องเผื่อด้วยว่าถ้าตกจะมีวันซ่อมไหม ต้องวางแผนให้ดีในทุกๆอย่าง
ช่วงไฟนอลนี่แหละเรานอนไม่ได้บางที2-3วันนอนเต็มๆได้ทีนึง อาหารบางทีเริ่มไม่อยากกิน เครียดมาก มีแพนิค นั่งร้องไห้คนเดียว เริ่มเก็บตัวอ่านหนังสือ ไม่คุยกับใคร ไม่ออกจากห้อง เพราะรู้สึกเหนื่อยกับทุกๆอย่าง รวมถึงตอนนั้นเรามีปัญหากับเพื่อนคนนึงด้วย เราเสียใจมากที่สุดเรารู้สึกเหมือนความสุขเดียวของเรามันหายไป เพราะตอนนั้นเราสนิทกันไปกินข้าวไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เรามีเพื่อนคนอื่นๆอีกที่สนิทแต่เขาก็มีแฟนหรือไม่ก็เครียดกับการสอบของตัวเอง ทุกคนก็เครียดกันเพราะไฟนอลมันน่ากลัว และหลายๆอย่างรวมกัน ความเครียดสะสมมาตลอดทั้งปี ทำให้ถึงขั้นที่ว่าเราเริ่มคิดว่าเราอยากจากไป(ฆ่าตัวตาย) แต่ก็ยังไม่ได้คิดวางแผนทำหรือจะทำจริงๆหรอกนะ
เราไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าใดๆอีกแล้ว ไม่อยากอยู่อีกแล้ว มันเหนื่อยและทรมาน อยากนอนแบบไม่ตื่นอีกเลยให้มันจบไป แต่พอมานั่งคิดดีๆอีกทีเราอดหลับอดนอนอ่านหนังสือมาเยอะนะ ความรู้เราก็มีได้มาเยอะนะ เราล้มๆลุกๆมาทั้งหมดจะให้มันศูนย์เปล่าหรอ ตอนนั้นเริ่มคิดก่อนจะสอบไฟนอลอีก ประมาณเดือน June ว่าอยากกลับบ้าน เรารู้สึกป่วย และการที่เราจะเป็นหมอแล้วเราป่วย จะไปรักษาใครได้หละ เราเลยเริ่มคุยกับที่บ้านว่าจะไปเรียนที่ไทยแล้ว ที่บ้านก็มีไม่โอเคบ้างแต่พอฟังเรื่องราวทั้งหมด พวกท่านก็คิดว่าเราควรกลับมารักษาตัว มาอยู่ใกล้ๆครอบครัว การเรียนแพทย์ที่ไทยแม้จะแข่งขันสูงตอนสอบเข้าแต่เมื่อเข้าไปแล้วอาจารย์เอาใจใส่เด็กมากกว่ามากๆ(จากที่สอบถามเพื่อนๆมา) ระบบไม่กดดันขนาดนี้ การสอบยุติธรรม และถ้านักเรียนคนไหนมีปัญหาคะแนนแย่ อาจารย์ที่ปรึกษาจะแนะนำและมาดูแล ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย.....
ถามว่าเรารู้สึก regret ไหมที่ออกมา ตอบเลยว่าไม่แม้แต่น้อย เราตัดสินใจอย่างดีแล้วที่จะไม่เอาอนาคตเราไปแขวนไว้บนเส้นด้าย ที่นั่นจะตกเราเมื่อไหร่ก็ได้ ปีไหนก็ได้ เลยกลับมาเลือกเรียนระบบอินเตอร์ในไทย ที่ดีมีมาตรฐาน และเผลอๆอาจดีกว่าด้วยซ้ำ...
อนาคตจะต่อแพทย์เฉพาะทางในไทย หรือประเทศชั้นนำที่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือประเทศที่คนนิยมไปศึกษากัน
เมื่อไม่นานมานี้เราได้ไป open day ของคณะแพทย์แห่งหนึ่งในไทยที่เป็นระบบอินเตอร์ เขากล่าวว่าจะผลิตแพทย์ที่มีทั้งความรู้ความสามารถและก้าวทันในเรื่องนวัตกรรมทัดเทียมระดับสากลโลก และที่สำคัญต้องมีจิตใจความเป็นมนุษย์ มีหัวใจที่จะเข้าใจคนไข้ สามารถรักษาคนไข้ไม่ใช่แต่ทางร่างกายแต่ทางจิตใจด้วย
ประโยคจากท่านอาจารย์เหล่านั้นทำให้เรารู้สึกอยากเข้าเรียนที่นี่มากๆ มันคือการเป็นแพทย์ที่เราใันไว้เลย ไม่ใช่แค่เก่งและรักษาคนไข้แต่ไม่มีจิตใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งเทียบกับที่เก่าเรา เราไม่เคยได้ยินอาจารย์คนไหนพูดถึงเรื่องนี้เลย มีแต่ให้อ่านหนังสือหนักๆสอบๆๆๆๆผ่านๆๆๆๆ ต้องจำให้ได้ทุกอย่าง
เราไม่รู้สึกว่าตัวเองจะได้เป็นแพทย์เลย เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่ต้องอัดความรู้เข้าไป.....
เราตระหนักอยู่เสมอว่าการเรียนแพทย์ไม่ว่าทีใดๆในโลกย่อมยาก และเรียนหนัก สอบเยอะและยังต้องสอบใบประกอบอีก ในมุมของเราเรื่องอดีตมหาวิทยาลัยนั้นเป็นความคิดเห็นและประสบการณ์ตรงของเราเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนากล่าวว่าใครหรือโทษใครเลย เราโทษตัวเองด้วยซ้ำที่สมองรับแรงกดดันได้ไม่มากพอ ไม่เก่งพอ...
แต่เราพบเส้นทางใหม่ที่ทำให้เราเป็นแพทย์ได้เหมือนกัน ไม่ต้องทนกับความกดดันที่เกินความจำเป็น ความไม่ยุติธรรมต่างๆ เราวางแผนใหม่ทั้งหมด ตอนนี้สุขภาพกายและจิตใจดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก ยังต้องรักษากับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป และถ้าปีนี้ไม่ได้ เราก็จะสอบปีหน้า ถือว่าได้ให้เวลาตัวเอง สำหรับเราไม่มีคำว่าสายเกินไป(กล่าวไว้ในกระทู้ EP.2) เลยอยากฝากไว้ด้วยว่าถ้ามีฝัน และโอกาสพร้อม ทำเลย ไม่ต้องสนใจคำดูถูกจากใคร คนพวกนั้นเป็นคนนอก และคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าเราเสียเวลามาเยอะแล้ว ทำอย่างอื่นเถอะ แทบจะทั้งหมดตอนนี้ยังไม่เห็นมีใครได้ดีอะไรขนาดนั้น
ส่วนเพื่อนๆเราที่ดี ก็ให้กำลังใจเสมอ เรามีเพื่อนเรียนหลายๆสายงาน ทุกคนเคารพกัน และเมื่อทราบข่าวเราต้องมาเริ่มใหม่ก็ให้กำลังใจเต็มที่ เป็นโชคดีของเราอีกอย่างหนึ่ง
แม้มองเผินๆเราอาจดูเป็นคนที่วัยควรจะจบปริญญาตรีได้แล้วซักใบ (ถ้าเรียน4ปี) แต่มันไม่ใช่ฝันเรา เราเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะตามฝันได้ในโลกความเป็นจริง เพราะบางคนก็มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล ไม่ได้มีฐานะดีขนาดที่จะส่งเสียเลี้ยงดูลูกได้นานมากไปกว่านี้ แต่สำหรับเราโชคดีที่เราได้โอกาสทุกอย่าง ที่บ้านเข้าใจ บ้านเราไม่มีใครเป็นแพทย์ คุณพ่อเป็นเจ้าของกิจการ เราไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปเรียนปริญญาคณะอะไรก็ได้เพื่อได้ใบปริญญากระดาษมาประดับบารมี ถ้าเราไม่เป็นแพทย์เราสามารถเรียนรู้ธุรกิจจากคุณพ่อเราเองได้ และอาจไปเรียนปริญญาด้านธุรกิจเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือและไม่ให้ใครมาดูถูกได้
แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือความรู้ในสมองเรา ประสบการณ์อันล้ำค่าที่ทำให้เราเป็นอีกคน จากเด็กขี้อายทำอะไรไม่เป็นกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความคิดของตนเอง กล้าแสดงออก และไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แม้มหาวิทยาลัยนั้นไม่สามารถทำให้เราเป็นแพทย์ได้ แต่สิ่งที่ที่นั่นให้เรามาคือความเก่งที่มากขึ้นและการเปลี่ยนไปของเราที่กล่าวไว้ข้างต้น เงินหลักล้านที่เราเสียไปถือเป็นการซื้อประสบการณ์ที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เราภูมิใจในทุกๆก้าวของเรา เพราะทุกก้าวที่เราเลือกมันทำให้เราใกล้ความฝันมากขึ้นเสมอ แม้ต้องแลกด้วยอะไรหลายๆอย่าง
ขอบคุณที่อ่านจบจบค่ะ อาจมี EP.ต่อไปค่ะ
อดีตนักศึกษาแพทย์(ต่างประเทศ)ที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและจะกลับมาเริ่มเรียนแพทย์ใหม่ที่ไทย EP.3
https://m.ppantip.com/topic/39519495?
https://m.ppantip.com/topic/39522878?
วันนี้จะมาเล่าเรื่องการรักษาตัวของเรา(โรคซึมเศร้า+โรควิตกกังวล+ภาวะแพนิค)
และเรื่องการเรียน+สอบของคณะแพทย์ที่เก่าของเรา
ณ วันนี้ เราได้รับการรักษาตัวจากจิตแพทยมาทั้งหมด 3 sessions แล้วค่ะ
ทุกๆครั้งที่ไปจะได้พูดคุยปัญหาในใจและรับฟังคำแนะนำจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาคุยประมาณ 1 ชม.ต่อครั้งค่ะ (ขึ้นอยู่กับแต่ละคน)
Session 3 : 28 Nov 2019 - ได้รับ Lexapro (10mg)วันละ1เม็ดกับอีกครึ่ง + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด + Ritalin(10mg) ทาน1เม็ด
และที่กำลังจะมาถึง คือ Session 4 : 30 Dec 2019
***ใน session ที่ 3 ที่ได้รับยาเพิ่มมาอีกตัวคือ Ritalin เพราะเราบอกหมอว่าตอนกลับมาและต้องสอบ สนามแรกน่าจะ BMAT เราไม่สามารถโฟกัสได้เลย มึนไปหมด แม้จะไม่แพนิคหรือกังวลน้อยลงแล้ว แต่สมองช้าและเหม่อลอย ไม่มีสมาธิ คุณหมอเลยจัดยาตัวนี้แก้ไขในส่วนนี้ (ทานเฉพาะตอนติวหนักๆ/สอบ)
ช่วงที่ผ่านมาเราเพิ่งกลับไทยได้ประมาณเดือนกว่าๆ ช่วง September เป็นช่วงเริ่มสอบเข้าแพทย์ระบบอินเตอร์ของไทยแล้ว ตอนนั้นด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่ไม่พร้อม คะแนนจึงไม่ดีนัก แต่เราก็ลองยื่นไปในรอบportfolio ซึ่งต้องสอบ BMAT, SAT subjects (Physics/Math, Bio, Chem), IELTS และต้องเตรียมเอกสารมากมายรวมถึงทำ portfolio ซึ่งไม่ง่าย ก็รอผลประกาศว่าจะติดรอบสัมภาษณ์ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่กดดันอะไร เราถือว่าเรายังไม่100% รักษาสุขภาพกายและจิตไปก่อนปีหน้าน่าจะพร้อมกว่านี้ แต่อีกใจก็ไม่อยากเสียเวลาเลยฝืนไปสอบและยื่นดู ไม่ได้อ่านหนังสือใดๆเพิ่มเพราะไม่ไหว เนื้อหาม.ปลายเราก็ลืมๆไปบ้างเพราะตอนไปเรียนที่คณะแพทยที่นู้น ปี1 ก็ไม่ได้มีการเรียน Basic Sci (ทำให้ลืมเนื้อหาม.ปลายไปบ้าง เพราะต้องเจอตัวยากๆใหม่ๆมาให้เรียน) ระบบที่นั่นให้เรียน Anatomy, Histology, Genetics, Biophysics, Latin, วิชาภาษาแม่ของประเทศเขา,etc. ซึ่งยากทุกอย่าง มีการสอบ dissection (ผ่าอาจารย์ใหญ่ในวิชา Anatomy) ตั้งแต่ปี 1 ทำให้ยากมากในการปรับตัว และอาจารย์ก็ค่อนข้างจะไม่ supportive จะผ่านหรือตกเขาก็ไม่ได้มาสนใจมากนัก เราต้องดิ้นรนตามซ่อมเอง และทุกอย่างที่ว่า ไม่ว่าจะเป็น weekly tests ที่ทำให้ต้องอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลาแบบไฟลนก้นเพราะต้องผ่านทุกweek ก็อดหลับอดนอนหลายครั้งเพื่อให้มันผ่านไปจะได้ไม่ต้องตามซ่อม และ Final Exams ที่จะเป็นการสอบแบบหลายๆด่าน ก็ยากและไม่ยุติธรรมนัก
ที่เรามาเล่าคือมุมมองของเราและจากประสบการณ์จริงที่พบเจอ แต่ละคนก็ต้องเจอต่างกันอยู่แล้ว ถ้าไปถามคนเก่งเทพที่เขาผ่านได้หมดไม่เคยต้องซ่อมเขาก็ไม่รู้สึกว่าอาจารย์เทหรือไม่สนใจ เพราะเขาผ่านได้ ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบที่นี่ แต่ย้ำที่นี่ drop out rate สูงเกินครึ่ง แสดงให้เห็นถึงหลายๆอย่างในมุมมองเราว่า รับเด็กเข้ามาสอบเข้าก็ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่ช่วยเหลือเด็กมากนัก แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการ train เด็กให้ผ่านแบบมีความรู้ได้ นี่คือมุมมองของเรา ซึ่งถ้าคนที่รักสถาบันมาก หรือเอเจนซี่ หรือเพื่อนที่ผ่านได้โดยไม่มีปัญหา การเขียนของเรานี้อาจไปขัดใจคนหลายๆคนแน่นอน และเราก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่งเทพ เป็นคนธรรมดาที่มีความฝัน พอไปเจอมาแล้วมันมีข้อเสีย ก็อยากให้รุ่นน้องที่จะไปได้เห็นได้อ่าน ไม่ใช่ไปแบบไม่รู้อะไรเลยเพราะเชื่อโฆษณาชวนเชื่อที่ดูดีและกระทู้อวยต่างๆในเด็กดีและก็ต้อง suffer และเสียเวลา เสียเงินไป เราเขียนเพื่อเตือนไม่ใช่ห้าม ถ้าใครรับกับการเรียนแบบนี้ได้ (adult-learning)และการสอบที่เป็น oral exams ก็สามารถไปได้เลย ถ้าการเรียนแบบนี้มันเข้ากับคุณ ก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แต่สำหรับเราและหลายๆคนมันไม่ใช่ เลยเป็นสาเหตุที่เอาประสบการณ์นี้มาเล่า เราไม่ใช่คนแรกที่เจออะไรแบบนี้ แต่เราคิดว่าคงไม่มีใครอยากจำเรื่องแย่ๆเลยพยายามลืมมันไปและเริ่มต้นใหม่ และอีกกรณีคือน่าจะไม่อยากมีปัญหากับใครแบบที่เราเจอ แต่เราเกลียดความไม่ยุติธรรม ไม่อยากเห็นใครต้องมาเป็นแบบเรา ถ้าเราเห็นว่ามันมีข้อเสีย เราต้องบอกให้คนทราบ ไม่ใช่ให้ใครกลัวแต่ให้เขาจะได้เตรียมรับมือและตัดสินใจว่าควรไม่ควรที่จะเลือกเส้นทางนี้
การสอบในมหาวิทยาลัยนั้นหลักๆมี 3 อย่าง ทุกอย่างมี 3 attempts ถ้าไม่ผ่านตอนไหนก็ออกไปได้เลยจากมหาวิทยาลัย
1. Weekly tests (written)
2. Credit tests (ตอนจบแต่ละเทอม เหมือนรวมทุก weekly tests ไว้ด้วยกัน)
# กรณีAnatomy จะมีสอบ dissection ด้วยระหว่างแต่ละเทอม ซึ่งยากและเครียดมากเช่นกัน
ก่อนจะมาถึงไฟนอล ก็ต้องผ่านการสอบที่กล่าวไว้ด้านบนให้หมดก่อน ถึงจะมีสิทธิ์สอบไฟนอลได้
3. Final Exams แล้วแต่วิชา ส่วนใหญ่เป็น oral exams มี 3 ด่าน เช่น Anatomy
*** Anatomy ด่าน1 คือดู stucture ในจอใหญ่สอบรวมกันในห้อง Lectures มี30ภาพ ต้องได้21/30ขึ้นไปจะผ่านไปด่าน2ได้, ด่าน2 คือdissection exams (อาจารย์ใหญ่) ผ่าน/ตกขึ้นอยู่กับดุลพินิจ(ความพอใจ)ของ Examiners ถ้าผ่านก็ไปรอคิวด่าน3, ด่าน 3 oral exams เป็นการสอบปากเปล่า แบะอาจมีต้องวาดรูปอธิบายเพิ่มเติม โดยคำถามที่ได้คือจับฉลาก และ Professors ก็ Random เหมือนกัน บางคนได้ข้อยากๆ อาจารย์โหดๆที่ชอบยิงคำถามใส่ก็มีสิทธิ์ตกมากกว่าคนที่ดวงดีได้อะไรที่ง่ายกว่าหรือที่อ่านมาพอดี (ดวง+ความรู้) ด่านนี้เกณฑ์ผ่าน/ตกก็คือดุลพินิจ(ความพอใจ) ของ Professor อีกเช่นกัน
เราอยู่ที่นั่นภายใต้สภาวะกดดันและรวมถึงอาการซึมเศร้าที่เราเป็นและอาจเป็นที่เราเองที่สมองได้แค่นี้ ทำให้ผลการเรียนไม่ดี ตกweeklyบ่อยๆ แต่ก็ดิ้นรนไปซ่อม(ต้องอีเมลนัดอาจารย์เอง) จนอาจารย์เบื่อหน้าแล้ว555 ซึ่งซ่อมนี่สอบตัวตัวเลย ยากกว่าสอบในห้อง(written)ให้ผ่านอีกเเละบางทีมีถามตอบปากเปล่าด้วย สุดท้ายเราก็ผ่านทุกอย่างและมีสิทธิ์สอบ Final Exams
ระหว่างที่เรียนตลอด 2 ปี มีความเครียด กดดัน นอนไม่หลับอยู่บ้างเพราะต้องสอบบ่อยๆ แต่ความเครียดและกดดันขั้นสุดมาในตอนก่อนสอบ Final Exams ซึ่งก็มี 3 attempts ถ้าเราตกก็คือทุกอย่างที่ทำมาจะเป็น 0 คือโดนให้ออกนั่นเอง ช่วง Final Exams จะกินเวลา2-3 เดือน สอบหลายวิชาและจะมีวันสอบเปิดให้ เราอยากลงวันไหนก็ลงได้ตามใจ แต่ต้องเผื่อด้วยว่าถ้าตกจะมีวันซ่อมไหม ต้องวางแผนให้ดีในทุกๆอย่าง
ช่วงไฟนอลนี่แหละเรานอนไม่ได้บางที2-3วันนอนเต็มๆได้ทีนึง อาหารบางทีเริ่มไม่อยากกิน เครียดมาก มีแพนิค นั่งร้องไห้คนเดียว เริ่มเก็บตัวอ่านหนังสือ ไม่คุยกับใคร ไม่ออกจากห้อง เพราะรู้สึกเหนื่อยกับทุกๆอย่าง รวมถึงตอนนั้นเรามีปัญหากับเพื่อนคนนึงด้วย เราเสียใจมากที่สุดเรารู้สึกเหมือนความสุขเดียวของเรามันหายไป เพราะตอนนั้นเราสนิทกันไปกินข้าวไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เรามีเพื่อนคนอื่นๆอีกที่สนิทแต่เขาก็มีแฟนหรือไม่ก็เครียดกับการสอบของตัวเอง ทุกคนก็เครียดกันเพราะไฟนอลมันน่ากลัว และหลายๆอย่างรวมกัน ความเครียดสะสมมาตลอดทั้งปี ทำให้ถึงขั้นที่ว่าเราเริ่มคิดว่าเราอยากจากไป(ฆ่าตัวตาย) แต่ก็ยังไม่ได้คิดวางแผนทำหรือจะทำจริงๆหรอกนะ
เราไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าใดๆอีกแล้ว ไม่อยากอยู่อีกแล้ว มันเหนื่อยและทรมาน อยากนอนแบบไม่ตื่นอีกเลยให้มันจบไป แต่พอมานั่งคิดดีๆอีกทีเราอดหลับอดนอนอ่านหนังสือมาเยอะนะ ความรู้เราก็มีได้มาเยอะนะ เราล้มๆลุกๆมาทั้งหมดจะให้มันศูนย์เปล่าหรอ ตอนนั้นเริ่มคิดก่อนจะสอบไฟนอลอีก ประมาณเดือน June ว่าอยากกลับบ้าน เรารู้สึกป่วย และการที่เราจะเป็นหมอแล้วเราป่วย จะไปรักษาใครได้หละ เราเลยเริ่มคุยกับที่บ้านว่าจะไปเรียนที่ไทยแล้ว ที่บ้านก็มีไม่โอเคบ้างแต่พอฟังเรื่องราวทั้งหมด พวกท่านก็คิดว่าเราควรกลับมารักษาตัว มาอยู่ใกล้ๆครอบครัว การเรียนแพทย์ที่ไทยแม้จะแข่งขันสูงตอนสอบเข้าแต่เมื่อเข้าไปแล้วอาจารย์เอาใจใส่เด็กมากกว่ามากๆ(จากที่สอบถามเพื่อนๆมา) ระบบไม่กดดันขนาดนี้ การสอบยุติธรรม และถ้านักเรียนคนไหนมีปัญหาคะแนนแย่ อาจารย์ที่ปรึกษาจะแนะนำและมาดูแล ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย.....
ถามว่าเรารู้สึก regret ไหมที่ออกมา ตอบเลยว่าไม่แม้แต่น้อย เราตัดสินใจอย่างดีแล้วที่จะไม่เอาอนาคตเราไปแขวนไว้บนเส้นด้าย ที่นั่นจะตกเราเมื่อไหร่ก็ได้ ปีไหนก็ได้ เลยกลับมาเลือกเรียนระบบอินเตอร์ในไทย ที่ดีมีมาตรฐาน และเผลอๆอาจดีกว่าด้วยซ้ำ...
อนาคตจะต่อแพทย์เฉพาะทางในไทย หรือประเทศชั้นนำที่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือประเทศที่คนนิยมไปศึกษากัน
เมื่อไม่นานมานี้เราได้ไป open day ของคณะแพทย์แห่งหนึ่งในไทยที่เป็นระบบอินเตอร์ เขากล่าวว่าจะผลิตแพทย์ที่มีทั้งความรู้ความสามารถและก้าวทันในเรื่องนวัตกรรมทัดเทียมระดับสากลโลก และที่สำคัญต้องมีจิตใจความเป็นมนุษย์ มีหัวใจที่จะเข้าใจคนไข้ สามารถรักษาคนไข้ไม่ใช่แต่ทางร่างกายแต่ทางจิตใจด้วย
ประโยคจากท่านอาจารย์เหล่านั้นทำให้เรารู้สึกอยากเข้าเรียนที่นี่มากๆ มันคือการเป็นแพทย์ที่เราใันไว้เลย ไม่ใช่แค่เก่งและรักษาคนไข้แต่ไม่มีจิตใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งเทียบกับที่เก่าเรา เราไม่เคยได้ยินอาจารย์คนไหนพูดถึงเรื่องนี้เลย มีแต่ให้อ่านหนังสือหนักๆสอบๆๆๆๆผ่านๆๆๆๆ ต้องจำให้ได้ทุกอย่าง
เราไม่รู้สึกว่าตัวเองจะได้เป็นแพทย์เลย เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่ต้องอัดความรู้เข้าไป.....
เราตระหนักอยู่เสมอว่าการเรียนแพทย์ไม่ว่าทีใดๆในโลกย่อมยาก และเรียนหนัก สอบเยอะและยังต้องสอบใบประกอบอีก ในมุมของเราเรื่องอดีตมหาวิทยาลัยนั้นเป็นความคิดเห็นและประสบการณ์ตรงของเราเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนากล่าวว่าใครหรือโทษใครเลย เราโทษตัวเองด้วยซ้ำที่สมองรับแรงกดดันได้ไม่มากพอ ไม่เก่งพอ...
แต่เราพบเส้นทางใหม่ที่ทำให้เราเป็นแพทย์ได้เหมือนกัน ไม่ต้องทนกับความกดดันที่เกินความจำเป็น ความไม่ยุติธรรมต่างๆ เราวางแผนใหม่ทั้งหมด ตอนนี้สุขภาพกายและจิตใจดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก ยังต้องรักษากับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป และถ้าปีนี้ไม่ได้ เราก็จะสอบปีหน้า ถือว่าได้ให้เวลาตัวเอง สำหรับเราไม่มีคำว่าสายเกินไป(กล่าวไว้ในกระทู้ EP.2) เลยอยากฝากไว้ด้วยว่าถ้ามีฝัน และโอกาสพร้อม ทำเลย ไม่ต้องสนใจคำดูถูกจากใคร คนพวกนั้นเป็นคนนอก และคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าเราเสียเวลามาเยอะแล้ว ทำอย่างอื่นเถอะ แทบจะทั้งหมดตอนนี้ยังไม่เห็นมีใครได้ดีอะไรขนาดนั้น
ส่วนเพื่อนๆเราที่ดี ก็ให้กำลังใจเสมอ เรามีเพื่อนเรียนหลายๆสายงาน ทุกคนเคารพกัน และเมื่อทราบข่าวเราต้องมาเริ่มใหม่ก็ให้กำลังใจเต็มที่ เป็นโชคดีของเราอีกอย่างหนึ่ง
แม้มองเผินๆเราอาจดูเป็นคนที่วัยควรจะจบปริญญาตรีได้แล้วซักใบ (ถ้าเรียน4ปี) แต่มันไม่ใช่ฝันเรา เราเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะตามฝันได้ในโลกความเป็นจริง เพราะบางคนก็มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล ไม่ได้มีฐานะดีขนาดที่จะส่งเสียเลี้ยงดูลูกได้นานมากไปกว่านี้ แต่สำหรับเราโชคดีที่เราได้โอกาสทุกอย่าง ที่บ้านเข้าใจ บ้านเราไม่มีใครเป็นแพทย์ คุณพ่อเป็นเจ้าของกิจการ เราไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปเรียนปริญญาคณะอะไรก็ได้เพื่อได้ใบปริญญากระดาษมาประดับบารมี ถ้าเราไม่เป็นแพทย์เราสามารถเรียนรู้ธุรกิจจากคุณพ่อเราเองได้ และอาจไปเรียนปริญญาด้านธุรกิจเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือและไม่ให้ใครมาดูถูกได้
แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือความรู้ในสมองเรา ประสบการณ์อันล้ำค่าที่ทำให้เราเป็นอีกคน จากเด็กขี้อายทำอะไรไม่เป็นกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความคิดของตนเอง กล้าแสดงออก และไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แม้มหาวิทยาลัยนั้นไม่สามารถทำให้เราเป็นแพทย์ได้ แต่สิ่งที่ที่นั่นให้เรามาคือความเก่งที่มากขึ้นและการเปลี่ยนไปของเราที่กล่าวไว้ข้างต้น เงินหลักล้านที่เราเสียไปถือเป็นการซื้อประสบการณ์ที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เราภูมิใจในทุกๆก้าวของเรา เพราะทุกก้าวที่เราเลือกมันทำให้เราใกล้ความฝันมากขึ้นเสมอ แม้ต้องแลกด้วยอะไรหลายๆอย่าง
ขอบคุณที่อ่านจบจบค่ะ อาจมี EP.ต่อไปค่ะ