แฟนๆว่าไง?เมอร์สันพูดถึงคล็อปป์,เป๊ปได้น่าสนใจ & ไม่มีวันลืม! 5 แมตช์แห่งความทรงจำ ลิเวอร์พูล ในรอบ 1 ทศวรรษ

แฟนๆว่าไง?เมอร์สันพูดถึงคล็อปป์,เป๊ปได้น่าสนใจ

พอล เมอร์สัน ตำนาน อาร์เซน่อล เปรียบเทียบ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้น่าสนใจสุดๆ พร้อมอวยฝ่ายแรกเจ๋งพอถึงขั้นพาทีมลีกล่าง ขึ้นมาโลดแล่นในเวที พรีเมียรลีก ได้

พอล เมอร์สัน อดีตกองกลางดาวดังของ อาร์เซน่อล และกูรูลูกหนังแห่ง สกาย สปอร์ตส์ เชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เป็นโค้ชที่เก่งสุดในโลกเวลานี้ เนื่องจากพาทีมประสบความสำเร็จจากการสร้าง ซึ่งต่างกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องพึ่งเงินทุนจำนวนมหาศาล

แมนฯ ซิตี้ พลาดท่าบุกไปแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-3 เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม ที่ผ่านมา ทำให้เวลานี้พวกเขาที่รั้งอันดับสาม มีคะแนนตามหลังทีมจ่าฝูงอย่าง "หงส์แดง" ถึง 14 แต้ม แถมลงเตะมากกว่า 1 นัด ซึ่ง เมอร์สัน มองว่า คล็อปป์ คือบุคคลที่พา ลิเวอร์พูล กลับมาผงาดอีกครั้งอย่างแท้จริง หลังจากที่ "หงส์แดง" คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ มาครองได้ภายในปีเดียว แถมกำลังอยู่บนเส้นทางสู่ตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก   

"คล็อปป์ คือโค้ชที่เก่งที่สุด เขาสามารถพาทีมอย่าง ร็อตเตอร์แฮม (ลีก วัน) เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ พรีเมียร์ลีก ได้เลย เพียงแค่คุณให้เวลากับเขา ส่วน กวาร์ดิโอล่า คงทำแบบนั้นไม่ได้แ- เกปา vs ซาร์รี่

ปกติแล้วคนเป็นนักเตะต้องเชื่อฟังคำสั่งของกุนซือทุกประการ แต่มัก็มีบางครั้งที่จะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองฝ่าย กรณีของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช กับ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันน่ๆ เขาจำเป็นต้องซื้อนักเตะค่าตัวระดับ 80 หรือ 90 ล้านปอนด์ เข้ามา เพื่อเติมเต็มระบบการทำงานของเขา แต่ คล็อปป์ ไม่ต้องทำแบบนั้น เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงจากสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา" ตำนาน อาร์เซน่อล วัย 51 ปี กล่าว



cr : www.siamsport.co.th

ไม่มีวันลืม! 5 แมตช์แห่งความทรงจำ ลิเวอร์พูล ในรอบ 1 ทศวรรษ

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้สร้างผลงานชั้นยอดมากมายภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ โดยเกมเหล่านั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะค่ำคืนแห่งการพลิกนรกในแมตช์ปะทะ บาร์เซโลน่า ที่แอนฟิลด์ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก



1. ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (วันที่ 7 พฤษภาคม 2019)  

 ต้องยอมรับว่ามีเกมที่โด่งดังมากมายในค่ำคืนฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปที่สนามแอนฟิลด์ แต่บางทีอาจจะไม่มีเกมไหนที่สุดยิ่งใหญ่อลังการเท่ากับสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในแมตช์ที่ 2 นัดการมาเยือนของ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ  

ในเกมแรก บาร์ซ่า ดูเหมือนจะก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพวกเขาเอาชนะ "เดอะ เร้ดส์" 3-0 ที่คัมป์ นู โดยแมตช์นั้น ลิโอเนล เมสซี่ โชว์ฟอร์มสุดยอดเกินห้ามใจ แถมบรรดาสาวก "เจ้าบุญทุ่ม" ก็ดูเหมือนมั่นอกมั่นใจว่าพวกเขาจะได้ลุ้แชมป์ "บิ๊กเอียร์"



อย่างไรก็ตาม แอนฟิลด์ ไม่ใช่สนามง่ายๆ ที่ใครจะมาเล่นแล้วได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ โดยสาวก "เดอะ ค็อป" กว่า  40,000 รายพยายามส่งเสียงกระตุ้นนักเตะอย่างเต็มที่ และพวกเขาก็เริ่มเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เมื่อได้ประตูนำในครึ่งแรกจากการซ้ำของ ดิว็อค โอริกี้

ขณะที่ครึ่งหลังเหล่าแฟนคลับหงส์แดงทั่วโลก ต่างตีปีกบินหลาเมื่อทีมรักได้อีก 2 ประตูจาก จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ทำให้สกอร์นำ 3-0 รวม 2 แมตช์เสมอกัน 3-3 และเหตุการณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้นเมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์กึ๋นด้วยการเล่นเตะมุมเร็ว ทำให้ โอริกี้ ได้โอกาสยิงประตูทอง และเป็นประตูชัยนำพวกเขาไปยังสนามว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ สังเวียนนัดชิงชนะเลิศ และที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์
 
2. ลิเวอร์พูล 1-0 นาโปลี (วันที่ 11 ธันวาคม 2018)

สำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" แล้วนี่คือเกมที่นำไปสู่ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เพราะหากแมตช์นี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถเอาชนะ นาโปลี ในเกมสุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ซี แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 คงไม่เกิดขึ้น !!!

เกมนั้นสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ล่อแหลมต่อการตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างมาก โดนในโปรแกรมนัดสุดท้ายที่แอนฟิลด์ พวกเขาต้องเจอด่านหินเมื่อต้องปะทะกับ นาโปลี ซึ่งมัน คาร์โล อันเชลอตติ กุมบังเหียนในเวลานั้น เป็นทีมที่ "หงส์แดง" ออกไปแพ้มาแล้วในเกมเยือนดินแดนมะกะโรนี



เงื่อนไขของ "หงส์แดง" ก็คือต้องเอาชนะ นาโปลี ให้ได้ และแค่ 1-0 ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบ เนื่องจากถ้าจบลงด้วยสกอร์นั้น เงื่อนไขต่อการเข้ารอบของทั้งสองทีมจะเท่ากันหมด จนทำให้ต้องมาดูกรณีจำนวนประตูรวมที่ทั้งสองทีมยิงได้ในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะทำได้มากกว่า นาโปลี  

โม ซาลาห์ จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในนาทีที่ 34 จากนั้นทีมเยือนพยายามที่จะยิงประตูตีเสมอให้ได้ และก็เกือบสำเร็จเมื่อในช่วงนาทีสุดท้ายของเกมเมื่อ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ได้ยิงบริเวณเขต 6 หลาแต่เป็น อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่สวมบทเซฟแห่งชีวิตอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่งพวกเขาเข้ารอบน็อกเอาต์แบบใจหายใจคว่ำ

ส่วนบทสรุปในรายการนี้ คงรู้ว่าคืออะไร !!

3. ลิเวอร์พูล 2-0 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (วันที่ 1 มิถุนายน 2019)

ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมเดียวเท่านั้นที่พลิกสถานการณ์ในรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่านมา เพราะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็สร้างเรื่องสุดเหลือเชื่อด้วยการพลิกนรกในการคัมแบ็กเกม 2 แมตช์ปะทะอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ส่งให้พวกเขาได้เข้าไปเล่นรอบชิง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ



นี่เป็นศึกออลอิงแลนด์ครั้งที่ 2 ในถ้วยใบโตยุโรป หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดวลกับ เชลซี เมื่อปี 2008 โดยแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นได้อย่างสวยหรูด้วยการได้จุดโทษหลังเกมผ่านไปแค่ 24 วินาทีเท่านั้นซึ่งมาจากจังหวะสุดฉลาดของ ซาดิโอ มาเน่ ที่เปิดบอลไปใส่มือ มุสซ่า ซิสโซโก้ และเป็น โม ซาลาห์ ที่ขัดอาสากดประตูขึ้นนำ

ส่วนในครึ่งหลัง ดิว็อค โอริกี้ ซึ่งลงมาเป็นตัวสำรอง จัดการยิงประตูตอกฝาโลงในช่วง 3 นาทีสุดท้าย ส่งให้ ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์โทรฟี่ "หูกาง" สมัยที่ 6 จากนั้นก็สานต่อความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ในเวลาต่อมา
 
4. ลิเวอร์พูล 1-0 ฟลาเม็งโก้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2019)

ต้องยอมรับว่าปี 2019 เป็นปีแห่งความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง และเป็นการเริ่มต้นทศวรรษใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก เป็นครั้งแรกของสโมสร

คล็อปป์ เดินหน้าสานต่อความสำเร็จจาก แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการนำลูกทีมปราบซ่า เชลซี ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ จากนั้นก็ขนทัพ "หงส์แดง" ยกพลขึ้นบกบุกดินแดนตะวันออกกลางเพื่อไปทำศึกสำคัญที่ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ ยังไม่เคยสัมผัสความสำเร็จเลย



พวกเขาเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ด้วยการปราบ มอนเตอร์เรย์ สโมสรแกร่งจากเม็กซิโก ในรอบรองชนะเลิศ จากนั้นก็ต้องดวลกับ ฟลาเม็งโก้ จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายให้ทีมขึ้นนำ โดยเป็นประตูทองของ "หงส์แดง" ด้วย

ความสำเร็จในรายการนี้ยังได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ ลิเวอร์พูล อีกอย่าง นั่นก็คือการเป็นสโมสรจากประเทศอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ระดับนานาชาติครบ 3 รายการในหน้าปฏิทินเดียวกัน
 
5. ลิเวอร์พูล 1-3 เรอัล มาดริด (วันที่ 26 พฤษภาคม 2018)

"เดอะ เร้ดส์" จบอันดับ 4 ในฤดูกาล 2016/17 ทำให้พวกเขาได้ตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นถัดมา โดยตอนนั้นทีมจบเป็นอันดับ 1 กลุ่ม อี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ทะลุเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ถ้วยใบโตยุโรปครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009

ในฤดูกาลนั้นไม่มีใครคาดหวังพวกเขาเลย แต่ "หงส์แดง" สามารถหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการเอาชนะ เอฟซี ปอร์โต้, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาแอส โรม่า เข้าไปพบกับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่ตอนนั้นยังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรง



เรอัล มาดริด ได้เปรียบในช่วงครึ่งแรกเมื่อ "บังโม" ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวไหล่เล่นต่อไม่ได้ แถมความผิดพลาด 2 ครั้งของ ลอริส คาริอุส ผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน ถือเป็นการมอบของขวัญชิ้นโบว์แดงให้ "ราชันชุดขาว" กอปรกับความสุดยอดจาก แกเร็ธ เบล ที่โชว์จักรยานอากาศทำประตูอย่างสุดยอด

สำหรับความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้ ถือเป็นการจุดประกายแห่งความมุ่งมั่นของ คล็อปป์ และนักเตะทุกคนในรั้วแอนฟิลด์ เพราะหลังจากนั้นอีก 1 ซีซั่น "หงส์แดง" ผงาดคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้อย่างยิ่งใหญ่ แถมฟอร์มในฤดูกาล 2019/2020 ยังฮอตเพราะสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในพรีเมียร์ลีกด้วย

cr : www.siamsport.co.th
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่