มาต่อกันที่ภาคสองของเรื่องเด่นในวงการฟุตบอลต่างประเทศของปี 2019 กันเลย เรียกได้ว่ามันยังมีเรื่องที่น่าพูดถึงอีกหลายเหตุการณ์ด้วยกัน
- เกปา vs ซาร์รี่
ปกติแล้วคนเป็นนักเตะต้องเชื่อฟังคำสั่งของกุนซือทุกประการ แต่มัก็มีบางครั้งที่จะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองฝ่าย กรณีของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช กับ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
ในตอนแรก เกปา ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดเจอกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่แล้ว ซาร์รี่ ก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเขาออกจากสนาม เพราะเข้าใจผิดิดว่าลูกทีมโดนตะคริวกิน อย่างไรก็ตาม อดีตมือกาว แอธเลติก บิลเบา กลับค้านหัวชนฝาที่จะออกจากสนาม
เรื่องดังกล่าวทำให้ ซาร์รี่ โมโหมากๆ จนถึงขั้นเกือบที่จะเดินออกจากข้างสนามระหว่างเกมเลย โดยสุดท้ายเกมนั้น เชลซี ก็แพ้ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงดวลเป้า ยังดีที่หลังจากนั้นกุนซือชาวอิตาเลียนกับ เกปา เคลียร์ใจกันได้ จนทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
- รูปปั้นอันโด่งดังที่แตกต่างกัน
หนึ่งในวิธีที่จะทำการยกย่องคนที่เป็นตำนานของทีมคือการสร้างรูปปั้นของคนๆ นั้นขึ้นมา ซึ่งในปีนี้ เดวิด เบ็คแฮม กับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ได้รับรูปปั้นของพวกเขาเอง โดยรูปปั้นของ เบ็คแฮม เป็นผลงานที่ ลอสแองเจลิส แกแล็กซี่ สั่งทำขึ้นและเปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ของ อิบราฮิโมวิช เป็นผลงานจากการสั่งทำของ มัลโม่ ทีมแรกในอาชีพการเล่นของ อิบราฮิโมวิช
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หลังจากนั้นของทั้งคู่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่รูปปั้นของ เบ็คแฮม ยังตั้งโดดเด่นเป็นสง่า แต่ของ อิบราฮิโมวิช กลับโดนคนทำลายไปบ้างแล้ว โดยสาเหตุเป็นเพราะดาวเตะชาวสวีดิชไปเป็นเจ้าของร่วม ฮัมมาร์บี้ ทีมร่วมลีกของ มัลโม่ นั่นเอง โดยมันเคยมีคนจุดไฟเพื่อพยายามเผามันด้วย ขณะที่ส่วนเท้าก็โดนคนพยายามหั่นทิ้ง
- วิกฤติในชีวิตของ กาซียาส
คนเป็นนักเตะอาชีพอาจจะมีสภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนปกติ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอาการป่วยขั้นร้ายแรง และ อีเกร์ กาซียาส นายทวารคนดังของ เอฟซี ปอร์โต้ ก็ได้เจอเรื่องนั้นมากับตัว หลังจากที่เขามีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ในช่วงกลางปี 2019 กาซียาส กลายเป็นข่าวดังจากการที่จู่ๆ ก็หัวใจล้มเหลวตอนที่กำลังซ้อมตามปกติ โดยอาการของเขารุนแรงจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง และถึงขั้นเคยมีข่าวลือว่าเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพด้วย
อย่างไรก็ตาม กาซียาส ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาไม่ยอมแขวนถุงมือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทาง ปอร์โต้ ก็ให้เขารับงานสตาฟฟ์แก้ขัดไปก่อนในช่วงหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้นายด่านวัย 38 ปี ก็โชว์คลิปตอนซ้อมของตัวเอง จนทำให้ดูเหมือนว่าเขาน่าจะกลับมาลงสนามได้ในอนาคตอันใกล้
- จับเจ้าโลก
หนึ่งในสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เทรนเนอร์ แอต. มาดริด คือการมีอารมณ์ร่วมกับเกมการแข่งขันสูงมากๆ เวลาที่ไม่พอใจกับคำตัดสินของกรรมการ เขาก็จะออกอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง, เวลาที่นักเตะเล่นได้ไม่ถูกใจเขาก็จะด่ากราด, เวลาที่ทีมทำประตูได้เขาก็จะฉลองอย่างเต็มที่
ในปีนี้ ซิเมโอเน่ ก็จุดประเด็นจากท่าฉลองของเขา เพราะตอนที่ทีมของเขาทำประตูได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ที่ทัพ "ตราหมี" เปิดรัง ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ เอาชนะ ยูเวนตุส 2-0 เมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ดีใจมากๆ จนหันหน้าเข้าหาแฟนบอลบนอัฒจันทร์ แล้วจากนั้นก็ย่อขาลงมา, เอามือมาประกบกันตรงอวัยวะเพศโดยที่เว้นรูเอาไว้ตรงกลาง พร้อมกับเขย่าตัวด้วยท่าทางที่สะใจสุดขีด
ซิเมโอเน่ บอกว่าที่เขาฉลองด้วยท่านั้นเพราะต้องการสื่อว่าลูกทีมของตนเล่นด้วยความกล้าหาญ โดยในฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น คำว่า "balls" เป็นศัพท์ที่แปลเป็นทั้ง "ความกล้าหาญ" และ "ลูกอัณฑะ" ได้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่ามันทำให้เขาโดนบางคนตำหนิว่าฉลองด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงคนดังของ ยูเวนตุส ก็โชว์ความแสบเหมือนกัน เพราะไม่ถึง 1 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ทำท่าฉลองแบบเดียวกับของ ซิเมโอเน่ ในนัดสองของเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่เจ้าตัวเหมาคนเดียว 3 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-0 พร้อมกับพา ยูเวนตุส ผ่านเข้ารอบจากการชนะด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2
- ดราม่าเพื่อนร่วมชาติ
ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้มันมีอยู่บ้างที่นักเตะจากทีมเดียวกัน หรือคนชาติเดียวกันมีเรื่องดราม่ากันเอง ซึ่งในปีนี้มันก็เกิดเรื่องอย่างนั้นในแคมป์ของทีมชาติอังกฤษ
คู่กรณีในครั้งนี้คือ ราฮีม สเตอร์ลิง กับ โจ โกเมซ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ สเตอร์ลิง เป็นคนหาเรื่องหลักๆ คนเดียวมากกว่า เพราะดาวเตะจาก แมนฯ ซิตี้ ตะโกนใส่ โกเมซ แบบฉุนเฉียว และยังถึงขนาดพยายามจะบีบคออีกฝ่ายด้วย
สาเหตุที่ สเตอร์ลิง ทำแบบนั้น เป็นเพราะเขายังอารมณ์ค้างจากการที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้ ลิเวอร์พูล 1-3 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ลงโทษด้วยการถูกสั่งห้ามมีส่วนร่วมกับเกม ยูโร 2020 รอบคัดเลือก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ นัดที่ อังกฤษ ต้องดวลกับ มอนเตเนโกร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยที่ สเตอร์ลิง ออกมาขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดราม่าไม่บานปลายมากไปกว่านั้น แต่มันก็ถือเป็นตราบาปติดตัว สเตอร์ลิง และทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูแย่ลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวมักจะได้รับคำชมจากหลายฝ่ายว่าเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับการเหยียดผิวของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้
- ลิเวอร์พูล ลงเล่น 2 รายการใน 2 วัน
การชนะ อาร์เซน่อล ในรอบ 4 ของศึก คาราบาว คัพ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในช่วงดวลจุดโทษ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ แต่ในขณะที่เหล่า "เดอะ ค็อป" ดีใจกับการเข้ารอบได้นั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของพวกเขามองไปอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือการที่โปรแกรมรอบ 8 ทีมสุดท้ายมันคาบเกี่ยวกับช่วงที่ทีมต้องไปเล่นศึกชิงแชมป์สโมสรโลกที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ
ในตอนแรก คล็อปป์ ถึงขั้นขู่เลยว่าอาจจะถอนตัวจากการแข่งรายการนี้ ถ้าหากฝ่ายจัดการแข่งขันไม่หาทางปรับโปรแกรมให้มันเหมาะสม แต่สุดท้ายมันก็มีการตัดสินใจว่า ลิเวอร์พูล จะลงเล่นตามโปรแกรมเดิม โดยที่ใช้ 2 ทีมชุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดแล้วในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ คาราบาว คัพ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ก็ส่งดาวรุ่งลงเล่นกันเต็มทีม ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ แอสตัน วิลล่า 0-5 ส่วนทีมชุดใหญ่สามารถชนะ มอนเตอร์เรย์ ในรอบรองชนะเลิศของศึกชิงแชมป์สโมสรโลกใน 1 วันหลังจากนั้นได้ ก่อนที่พวกเขาจะได้แชมป์ไปครองในท้ายที่สุด
- เรื่องน่าเศร้าของ เรเยส
แฟนบอลในช่วงทศวรรษ 2000 หลายคนคงจะรู้จัก โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ดาวเตะชาวสแปนิชเป็นอย่างดี หลังจากที่เขาเคยทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซบีย่า จนทำให้ได้ย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จกับที่นั่นเท่ไหร่นัก
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามันเกิดเรื่องสุดช็อกเกี่ยวกับเขา เพราะเจ้าตัวประสบอุบัติเหตุรถชนที่ประเทศสเปน จนทำให้ เรเยส ต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น โดย เอ็กซ์เทรมาดูร่า ต้นสังกัดสุดท้ายของเขาซึ่งอยู่ในระดับ เซกุนด้า ดิวิชั่น หรือลีกระดับสองของประเทศ ก็ยกเลิกเบอร์เสื้อของเจ้าตัวเพื่อเป็นที่ระลึกให้กับ เรเยส เลย
cr : www.siamsport.co.th
รวมเรื่องเด่นวงการฟุตบอลต่างประเทศประจำปี 2019 (ภาคแรก)
ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะหมดปี 2019 กันแล้ว เรียกได้ว่าตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกสนานและน่าจดจำเป็นอย่างมาก จากการที่เกิดเรื่องต่างๆ มากมายในวงการฟุตบอลต่างประเทศ ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนความหลังกันว่ามันมีเรื่องเด่นๆ เรื่องไหนที่น่าสนใจบ้าง
- ปีทองของ ลิเวอร์พูล
ตอนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 เหล่าพลพรรค "เดอะ ค็อป" ต่างก็มีความเชื่อมั่นว่าเขาจะพาทีมประสบความสำเร็จได้ หลังจากที่ คล็อปป์ เคยสร้างผลงานชั้นยอดด้วยการพา ดอร์ทมุนด์ ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สูสีกับ บาเยิร์น มิวนิค จนถึงขนาดเคยช่วยให้ "เสือเหลือง" ได้แชมป์ไปครอง
หลังจากที่ใช้เวลาสร้างทีมอยู่พักหนึ่ง และต้องลิ้มรสกับความผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นรองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก กับรองแชมป์ แคปปิตอล วัน คัพ (ลีก คัพ) ในฤดูกาล 2015-16, รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2017-18 รวมถึงรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 แต่แล้วความอดทนและการรอคอยของเหล่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ได้รับการตอบแทนด้วยความสำเร็จชั้นยอดในปี 2019
ในปึกุนภาคล่าสุด ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตามด้วยการเป็นแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ในวันที่ 14 สิงหาคม และได้แชมป์ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม โดยมันถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้แชมป์รายการนี้ด้วย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมของปีนี้ ทีมของ คล็อปป์ ยังสร้างผลงานที่เลื่องชื่อจนจะถูกพูดถึงเป็นเวลานานอีก หลังจากที่พวกเขาไล่ถล่ม บาร์เซโลน่า แบบเละเทะ 4-0 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง จนทำให้ทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ทั้งที่ในนัดแรกแพ้ บาร์เซโลน่า ไปก่อน 0-3 โดยตอนแรกแทบทุกคนฟันธงว่าพวกเขาหมดลุ้นแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูล ยังทำผลงานในลีกได้สุดยอดจนนำเป็นจ่าฝูงของลีกส่งท้ายปี 2019 ด้วย โดยพวกเขาเล่นได้ดีมากจนทิ้งห่างคู่แข่งเยอะมากๆ จนดูแล้วมีโอกาสสูงสุดๆ ที่จะได้สัมผัสกับแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
- เมสซี่ ผงาด
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิง บาร์เซโลน่า กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แข้งซูเปอร์สตาร์ของ ยูเวนตุส ขับเคี่ยวชิงความเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลกในยุคปัจจุบันมาโดยตลอด หลังจากทั้งสองคนทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และต่างก็ประสบความสำเร็จในระดับสโมสรเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ เมสซี่ ก็นำหน้า โรนัลโด้ ไปนิดหน่อย หลังจากที่เขาได้รางวัล บัลลง ดอร์ ประจำปี 2019 ไปเชยชม ทำให้ตอนนี้ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์เป็นคนที่ได้รางวัลลูกฟุตบอลทองคำไปครองมากที่สุดแบบเดี่ยวๆ แล้ว แถมที่จริงก่อนหน้านั้นเขายังได้รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ไปครองก่อนด้วย
link :
https://ppantip.com/topic/39520662
cr : www.siamsport.co.th
รวมเรื่องเด่นวงการฟุตบอลต่างประเทศประจำปี 2019 (ภาคจบ)
- เกปา vs ซาร์รี่
ปกติแล้วคนเป็นนักเตะต้องเชื่อฟังคำสั่งของกุนซือทุกประการ แต่มัก็มีบางครั้งที่จะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองฝ่าย กรณีของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช กับ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
ในตอนแรก เกปา ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดเจอกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่แล้ว ซาร์รี่ ก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเขาออกจากสนาม เพราะเข้าใจผิดิดว่าลูกทีมโดนตะคริวกิน อย่างไรก็ตาม อดีตมือกาว แอธเลติก บิลเบา กลับค้านหัวชนฝาที่จะออกจากสนาม
เรื่องดังกล่าวทำให้ ซาร์รี่ โมโหมากๆ จนถึงขั้นเกือบที่จะเดินออกจากข้างสนามระหว่างเกมเลย โดยสุดท้ายเกมนั้น เชลซี ก็แพ้ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงดวลเป้า ยังดีที่หลังจากนั้นกุนซือชาวอิตาเลียนกับ เกปา เคลียร์ใจกันได้ จนทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
- รูปปั้นอันโด่งดังที่แตกต่างกัน
หนึ่งในวิธีที่จะทำการยกย่องคนที่เป็นตำนานของทีมคือการสร้างรูปปั้นของคนๆ นั้นขึ้นมา ซึ่งในปีนี้ เดวิด เบ็คแฮม กับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ได้รับรูปปั้นของพวกเขาเอง โดยรูปปั้นของ เบ็คแฮม เป็นผลงานที่ ลอสแองเจลิส แกแล็กซี่ สั่งทำขึ้นและเปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ของ อิบราฮิโมวิช เป็นผลงานจากการสั่งทำของ มัลโม่ ทีมแรกในอาชีพการเล่นของ อิบราฮิโมวิช
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หลังจากนั้นของทั้งคู่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่รูปปั้นของ เบ็คแฮม ยังตั้งโดดเด่นเป็นสง่า แต่ของ อิบราฮิโมวิช กลับโดนคนทำลายไปบ้างแล้ว โดยสาเหตุเป็นเพราะดาวเตะชาวสวีดิชไปเป็นเจ้าของร่วม ฮัมมาร์บี้ ทีมร่วมลีกของ มัลโม่ นั่นเอง โดยมันเคยมีคนจุดไฟเพื่อพยายามเผามันด้วย ขณะที่ส่วนเท้าก็โดนคนพยายามหั่นทิ้ง
- วิกฤติในชีวิตของ กาซียาส
คนเป็นนักเตะอาชีพอาจจะมีสภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนปกติ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอาการป่วยขั้นร้ายแรง และ อีเกร์ กาซียาส นายทวารคนดังของ เอฟซี ปอร์โต้ ก็ได้เจอเรื่องนั้นมากับตัว หลังจากที่เขามีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ในช่วงกลางปี 2019 กาซียาส กลายเป็นข่าวดังจากการที่จู่ๆ ก็หัวใจล้มเหลวตอนที่กำลังซ้อมตามปกติ โดยอาการของเขารุนแรงจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง และถึงขั้นเคยมีข่าวลือว่าเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพด้วย
อย่างไรก็ตาม กาซียาส ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาไม่ยอมแขวนถุงมือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทาง ปอร์โต้ ก็ให้เขารับงานสตาฟฟ์แก้ขัดไปก่อนในช่วงหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้นายด่านวัย 38 ปี ก็โชว์คลิปตอนซ้อมของตัวเอง จนทำให้ดูเหมือนว่าเขาน่าจะกลับมาลงสนามได้ในอนาคตอันใกล้
- จับเจ้าโลก
หนึ่งในสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เทรนเนอร์ แอต. มาดริด คือการมีอารมณ์ร่วมกับเกมการแข่งขันสูงมากๆ เวลาที่ไม่พอใจกับคำตัดสินของกรรมการ เขาก็จะออกอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง, เวลาที่นักเตะเล่นได้ไม่ถูกใจเขาก็จะด่ากราด, เวลาที่ทีมทำประตูได้เขาก็จะฉลองอย่างเต็มที่
ในปีนี้ ซิเมโอเน่ ก็จุดประเด็นจากท่าฉลองของเขา เพราะตอนที่ทีมของเขาทำประตูได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ที่ทัพ "ตราหมี" เปิดรัง ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ เอาชนะ ยูเวนตุส 2-0 เมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ดีใจมากๆ จนหันหน้าเข้าหาแฟนบอลบนอัฒจันทร์ แล้วจากนั้นก็ย่อขาลงมา, เอามือมาประกบกันตรงอวัยวะเพศโดยที่เว้นรูเอาไว้ตรงกลาง พร้อมกับเขย่าตัวด้วยท่าทางที่สะใจสุดขีด
ซิเมโอเน่ บอกว่าที่เขาฉลองด้วยท่านั้นเพราะต้องการสื่อว่าลูกทีมของตนเล่นด้วยความกล้าหาญ โดยในฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น คำว่า "balls" เป็นศัพท์ที่แปลเป็นทั้ง "ความกล้าหาญ" และ "ลูกอัณฑะ" ได้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่ามันทำให้เขาโดนบางคนตำหนิว่าฉลองด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงคนดังของ ยูเวนตุส ก็โชว์ความแสบเหมือนกัน เพราะไม่ถึง 1 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ทำท่าฉลองแบบเดียวกับของ ซิเมโอเน่ ในนัดสองของเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่เจ้าตัวเหมาคนเดียว 3 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-0 พร้อมกับพา ยูเวนตุส ผ่านเข้ารอบจากการชนะด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2
- ดราม่าเพื่อนร่วมชาติ
ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้มันมีอยู่บ้างที่นักเตะจากทีมเดียวกัน หรือคนชาติเดียวกันมีเรื่องดราม่ากันเอง ซึ่งในปีนี้มันก็เกิดเรื่องอย่างนั้นในแคมป์ของทีมชาติอังกฤษ
คู่กรณีในครั้งนี้คือ ราฮีม สเตอร์ลิง กับ โจ โกเมซ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ สเตอร์ลิง เป็นคนหาเรื่องหลักๆ คนเดียวมากกว่า เพราะดาวเตะจาก แมนฯ ซิตี้ ตะโกนใส่ โกเมซ แบบฉุนเฉียว และยังถึงขนาดพยายามจะบีบคออีกฝ่ายด้วย
สาเหตุที่ สเตอร์ลิง ทำแบบนั้น เป็นเพราะเขายังอารมณ์ค้างจากการที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้ ลิเวอร์พูล 1-3 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ลงโทษด้วยการถูกสั่งห้ามมีส่วนร่วมกับเกม ยูโร 2020 รอบคัดเลือก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ นัดที่ อังกฤษ ต้องดวลกับ มอนเตเนโกร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยที่ สเตอร์ลิง ออกมาขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดราม่าไม่บานปลายมากไปกว่านั้น แต่มันก็ถือเป็นตราบาปติดตัว สเตอร์ลิง และทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูแย่ลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวมักจะได้รับคำชมจากหลายฝ่ายว่าเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับการเหยียดผิวของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้
- ลิเวอร์พูล ลงเล่น 2 รายการใน 2 วัน
การชนะ อาร์เซน่อล ในรอบ 4 ของศึก คาราบาว คัพ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในช่วงดวลจุดโทษ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ แต่ในขณะที่เหล่า "เดอะ ค็อป" ดีใจกับการเข้ารอบได้นั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของพวกเขามองไปอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือการที่โปรแกรมรอบ 8 ทีมสุดท้ายมันคาบเกี่ยวกับช่วงที่ทีมต้องไปเล่นศึกชิงแชมป์สโมสรโลกที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ
ในตอนแรก คล็อปป์ ถึงขั้นขู่เลยว่าอาจจะถอนตัวจากการแข่งรายการนี้ ถ้าหากฝ่ายจัดการแข่งขันไม่หาทางปรับโปรแกรมให้มันเหมาะสม แต่สุดท้ายมันก็มีการตัดสินใจว่า ลิเวอร์พูล จะลงเล่นตามโปรแกรมเดิม โดยที่ใช้ 2 ทีมชุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดแล้วในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ คาราบาว คัพ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ก็ส่งดาวรุ่งลงเล่นกันเต็มทีม ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ แอสตัน วิลล่า 0-5 ส่วนทีมชุดใหญ่สามารถชนะ มอนเตอร์เรย์ ในรอบรองชนะเลิศของศึกชิงแชมป์สโมสรโลกใน 1 วันหลังจากนั้นได้ ก่อนที่พวกเขาจะได้แชมป์ไปครองในท้ายที่สุด
- เรื่องน่าเศร้าของ เรเยส
แฟนบอลในช่วงทศวรรษ 2000 หลายคนคงจะรู้จัก โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ดาวเตะชาวสแปนิชเป็นอย่างดี หลังจากที่เขาเคยทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซบีย่า จนทำให้ได้ย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จกับที่นั่นเท่ไหร่นัก
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามันเกิดเรื่องสุดช็อกเกี่ยวกับเขา เพราะเจ้าตัวประสบอุบัติเหตุรถชนที่ประเทศสเปน จนทำให้ เรเยส ต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น โดย เอ็กซ์เทรมาดูร่า ต้นสังกัดสุดท้ายของเขาซึ่งอยู่ในระดับ เซกุนด้า ดิวิชั่น หรือลีกระดับสองของประเทศ ก็ยกเลิกเบอร์เสื้อของเจ้าตัวเพื่อเป็นที่ระลึกให้กับ เรเยส เลย
cr : www.siamsport.co.th
รวมเรื่องเด่นวงการฟุตบอลต่างประเทศประจำปี 2019 (ภาคแรก)
ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะหมดปี 2019 กันแล้ว เรียกได้ว่าตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกสนานและน่าจดจำเป็นอย่างมาก จากการที่เกิดเรื่องต่างๆ มากมายในวงการฟุตบอลต่างประเทศ ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนความหลังกันว่ามันมีเรื่องเด่นๆ เรื่องไหนที่น่าสนใจบ้าง
- ปีทองของ ลิเวอร์พูล
ตอนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 เหล่าพลพรรค "เดอะ ค็อป" ต่างก็มีความเชื่อมั่นว่าเขาจะพาทีมประสบความสำเร็จได้ หลังจากที่ คล็อปป์ เคยสร้างผลงานชั้นยอดด้วยการพา ดอร์ทมุนด์ ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สูสีกับ บาเยิร์น มิวนิค จนถึงขนาดเคยช่วยให้ "เสือเหลือง" ได้แชมป์ไปครอง
หลังจากที่ใช้เวลาสร้างทีมอยู่พักหนึ่ง และต้องลิ้มรสกับความผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นรองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก กับรองแชมป์ แคปปิตอล วัน คัพ (ลีก คัพ) ในฤดูกาล 2015-16, รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2017-18 รวมถึงรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 แต่แล้วความอดทนและการรอคอยของเหล่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ได้รับการตอบแทนด้วยความสำเร็จชั้นยอดในปี 2019
ในปึกุนภาคล่าสุด ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตามด้วยการเป็นแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ในวันที่ 14 สิงหาคม และได้แชมป์ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม โดยมันถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้แชมป์รายการนี้ด้วย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมของปีนี้ ทีมของ คล็อปป์ ยังสร้างผลงานที่เลื่องชื่อจนจะถูกพูดถึงเป็นเวลานานอีก หลังจากที่พวกเขาไล่ถล่ม บาร์เซโลน่า แบบเละเทะ 4-0 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง จนทำให้ทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ทั้งที่ในนัดแรกแพ้ บาร์เซโลน่า ไปก่อน 0-3 โดยตอนแรกแทบทุกคนฟันธงว่าพวกเขาหมดลุ้นแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูล ยังทำผลงานในลีกได้สุดยอดจนนำเป็นจ่าฝูงของลีกส่งท้ายปี 2019 ด้วย โดยพวกเขาเล่นได้ดีมากจนทิ้งห่างคู่แข่งเยอะมากๆ จนดูแล้วมีโอกาสสูงสุดๆ ที่จะได้สัมผัสกับแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
- เมสซี่ ผงาด
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิง บาร์เซโลน่า กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แข้งซูเปอร์สตาร์ของ ยูเวนตุส ขับเคี่ยวชิงความเป็นนักเตะเบอร์ 1 ของโลกในยุคปัจจุบันมาโดยตลอด หลังจากทั้งสองคนทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และต่างก็ประสบความสำเร็จในระดับสโมสรเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ เมสซี่ ก็นำหน้า โรนัลโด้ ไปนิดหน่อย หลังจากที่เขาได้รางวัล บัลลง ดอร์ ประจำปี 2019 ไปเชยชม ทำให้ตอนนี้ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์เป็นคนที่ได้รางวัลลูกฟุตบอลทองคำไปครองมากที่สุดแบบเดี่ยวๆ แล้ว แถมที่จริงก่อนหน้านั้นเขายังได้รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ไปครองก่อนด้วย
link : https://ppantip.com/topic/39520662
cr : www.siamsport.co.th