ผมเห็นต่างจากความเห็นอื่น ที่พบเห็นกันส่วนใหญ่อยู่หลายข้อ
เรื่องปลุกศีว พัลพาทีน ผมดันเห็นด้วย เพราะมีโอกาสได้ดูโคลนวอร์สจนจบ อนาคินหรือดาร์ธ เวเดอร์ตัวเอกต่อให้เก่งมาก แต่กลับไม่ได้อะไรจะไปสู้รบตบมือกับพัลพาทีนได้เลย (เจไดคนอื่นๆก็เช่นกัน) ที่ชอบล้อเลียนกันตั้งแต่ ep.I ว่ายานไม่เสีย ไม่เจออนาคินตอนเด็ก เรื่องสตาร์วอร์สก็คงไม่เกิด ผมว่าไม่จริง เพราะคนที่ทำให้เรื่องสตาร์วอร์สเกิดได้คือพัลพาทีน ไม่เจออนาคิน พัลพาทีนก็หาทางอื่นสร้างจักรวรรดิของตัวเองได้อยู่ดี อนาคินเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ตัวละครที่จะจบแต่ละไตรภาคต้องเป็นพัลพาทีนเท่านั้น (ส่วนภาด 6 จะเป็นตายอย่างไรไม่สำคัญ ยังไงๆ พัลพาทีนก็ต้องกลับมาครับ)
หลายๆคนชอบสโนคอยากให้กลับมา แต่นี่คือยุคหลังจากเจไดล่มสลาย วิชาสูญหายเหลือเพียงตำนาน สรุปสั้นๆ ได้เลยว่าตัวละครใหม่ทุกตัว "ไม่มีใครเก่ง" สโนคไม่ได้มีดีอะไรเลยครับ (บอยแบนด์ก็เช่นกัน)
สาระสำคัญที่พยายามจะตีความออกมาคือ ต้องการทำให้ภาคนี้เป็น "จุดสิ้นสุดของจุดเริ่มต้น" (The end of the beginning กลับกันกับสำนวน จุดเริ่มต้นของจุดจบ หรือ The beginning of the end) ก็คือความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาล มาจากตระกูลพัลพาทีน ผู้ที่จะทำให้มันสิ้นสุดได้อย่างสมบูรณ์ก็ต้องเป็นพัลพาทีนเท่านั้น
ส่วน เรย์ สกายวอล์คเกอร์ มีที่มาจากความคิดอับอาย อยากจะกลับตัวกลับใจ อยากจะลบล้างความรู้สึกผิดของเรย์ ก็เลยเปลี่ยนนามสกุลตัวเองหนีเสียดื้อๆ เรื่องราวก็จบลงด้วยประการฉะนี้
.........................................................................................................................................................................................
ถ้าผมเขียนได้ดีพอ อาจจะมีคนเริ่มคล้อยตามว่าบทหนัง หรือเนื้องเรื่องภาคนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก จำเลยของผมก็คือ ผกก เจเจ อาบรามส์ ครับ
- การเล่าเรื่อง ไม่อยากจะพูดถึงว่าเป็น ผกก ฮอลลีหวูดชื่อดัง แต่เรื่องนี้เป็นนักเรียนทำหนัง ยังสอบตกครับ เพราะไม่ถึงขั้นไม่ดี แต่ถึงขั้นดู "ไม่รู้เรื่องเลย" มันเละเทะได้ถึงขนาดนั้นครับ
- ผมตามดูแกเป็น ผกก หลายต่อหลายเรื่อง แกมีพรสววรค์นับเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในการสร้างความน่าสนใจ แต่อ่อนด้อยในเรื่องการสร้างความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแรง
- หนังที่ไม่ต้องการองค์ประกอบมากนัก Cloverfield, 10 CLover Field Lane มีกล้องวิดีโอตัวเดียว หรือห้องใต้ดินห้องเดียวก็แล้วแต่ จะเป็นหนังที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของแกได้อย่างชัดเจน 8 mm ผมก็ชอบ แต่ก็เป็นหนังเด็กไปเจอมนุษย์ต่างดาว ไม่มีปมอะไรมากอยู่ดี และหนังเหล่านี้คือหนังขึ้นหิ้งของผมทั้งหมด
- สังเกตอย่างนึง เนื้อเรื่องหนังของแกหลายๆ เรื่อง มีแนวโน้มจะทำภาคต่อได้ทุกภาค ยิ่งดูรายได้ยิ่งน่าทำเข้าไปใหญ่ สร้างจักรวาลแข่งกับ MCU ได้ แต่ไม่มีภาคต่อ (แบบเป็นชิ้นเป็นอันชัดเจน) เลย เพราะอะไร
- Lost คือ ตราบาป เอ๊ย ผลงานสร้างชื่อ ผมไม่ได้ดูจนจบนะ ผ่านไป 3 ตอนได้ เริ่มรู้สึกตะหงิดๆ เลยไปอ่านสปอยล์ (ผมดูหนัง+ซีรี่ย์ประมาณ 100 เรื่อง จะดูสปอยล์สักเรื่องครับ มันต้องมีอะไรน่าสงสัยจริงๆ) อ่านจบผมก็ได้แต่ระลึกถึงบุญกุศลที่เคยทำในชีวิตครับ นับเป็นโชคดีอย่างมากที่ไม่ต้องดูต่อ
- และจะเป็นยังไงน่ะหรือ เมื่อ เจเจ อาบรามส์ พบกับ อภิมหากาพย์ภาพยนตร์อวกาศอย่าง Star Wars ตั้งแต่ Force Awaken ผมก็ได้แต่เอาใจช่วย Last Jedi ก็เช่นกัน เพราะคิดว่ามันคืองานที่ยากและแปลกใหม่มากๆ กับบุคลิกหนังของ เจเจ อาบรามส์ และภาคนี้คือการสรุปจบ ความคืด การเล่าเรื่องต้องสมบูรณ์แบบ ซึ่งถ้าไม่ยอมเปลี่ยน ผกก ผมทำใจไว้แต่แรกแล้วละครับ
- ข้อสังเกต ผมไม่รู้จัก ผกก เจเจ อาบรามส์ เป็นการส่วนตัว แต่ติดตามหนังของแกหลายๆเรื่อง คิดว่าหลายๆคนที่อ่านอยู่ก็คงนึกาพตามได้ไม่ยาก แต่คนที่ไปเชิญแกมาทำหนังสตาร์วอร์สนี่สิ คิดอะไรอยู่ ผมไม่ทราบได้
.........................................................................................................................................................................................
สรุป ถ้าจะถามว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าดูขนาดนั้นเลยรึ ความเห็นผมก็คือตัวเนื้อเรื่อง ถ้าเราผูกพันกับตัวละคร และสถานที่ หรือความเป็น "สตาร์วอร์ส" แล้ว ก็คงไม่ต้องบอกนะครับ
เนื้อเรื่องที่จริงเราไม่ต้องไปสนใจมาก มันไม่ได้มีปมหรือเหตุการณ์อะไรซับซ้อนหรอกครับ จอร์จ ลูคัส ท่านคิดไว้ประมาณสัก 10% ลูกน้องลูกจ้างคิดอีก 10% ที่เหลือเป็นเราๆท่านๆ คิดกันไปเองทั้งนั้น
มันคนละอย่างกับ MCU นะ อันนั้นมันคือหนังสือการ์ตูนนับสิบเรื่อง ที่พิมพ์ขายติดต่อกันหลายสิบปี เนื้อหามันเยอะมากอ้างอิงสร้างสมมติฐานได้ แต่สตาร์วอร์ส นอกจากโคลนวอร์ส ร้อยกว่าตอน ที่เหลือเราดูให้จบได้ในไม่กี่วันเอง สตาร์วอร์ส มีเกมมีการ์ตูนมีหนังสือ แต่มันก็คือไซด์สตอรี่ทั้งนั้นแหละ จะเขียนอะไรก็ได้ เราอยากรู้เรื่องของ สตอร์มทรูปเปอร์ กองบินฝ่ายกบฎ ชาวนาที่ไปดูอนาคินแข่งยาน หรือเจ้าของร้านเหล้าที่โดนพังร้านสักแห่ง แต่มันจะมีผลอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก มันทำให้ภาพยนตร์สมบูรณ์ขึ้น แต่ไม่ใช่ "ตัวแปร" ครับ
ส่วนคุณงามความดีในภาพยนตร์ที่ถูกมองข้ามไป ผมขอยกให้กับคนนี้ครับ Doug Chiang (บางคนอ่าน ดั๊ก เชียง บางคนอ่าน ดั๊ก เช็ง) ก็คืองานออกแบบโปรดัคชั่น ทั้งยานและฉากประกอบต่างๆ ที่ตรึงตาตรึงใจเราในทุกภาคทั้งหมด ตั้งแต่ ep. I เรียกว่าหนังจะดีไม่ดียังไง เนื้อเรื่อง (ที่ผมเดา) ก็น่าจะมีเท่านี้ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่งดูยานบินไปบินมาผมก็เพลิน มีความสุขของผมละครับ ใครสะดวกดู Imax 3D เลยได้ก็ดี ผมว่าคุ้มครับ
ปล. Sheev Palpatine ผมเขียนเป็น ศีว (อ่านว่า สี-วะ จะเขียนว่าศีวะก็ได้นะแต่ ศีว มันดูแปลกๆดี แล้วก็คิดว่าตรงกับตัวภาษาอักฤษมากกว่า) เพราะเข้าใจว่านำชื่อมาจาก พระศิวะ หรือพระอิศวร หรือองค์พระมหาเทพในศาสนาพราหมณ์ (สะกดตามหลักถ่ายเสียงสันสกฤตเป็นอังกฤษ Shiv หรือ Shiva) โดยดูจากบทบาทในเรื่อง ไม่ได้มีแหล่งข้อมูลใดๆ อ้างอิง
ขอวิจารณ์สตาร์วอร์สภาคนี้บ้างนะครับ (Spoil)
เรื่องปลุกศีว พัลพาทีน ผมดันเห็นด้วย เพราะมีโอกาสได้ดูโคลนวอร์สจนจบ อนาคินหรือดาร์ธ เวเดอร์ตัวเอกต่อให้เก่งมาก แต่กลับไม่ได้อะไรจะไปสู้รบตบมือกับพัลพาทีนได้เลย (เจไดคนอื่นๆก็เช่นกัน) ที่ชอบล้อเลียนกันตั้งแต่ ep.I ว่ายานไม่เสีย ไม่เจออนาคินตอนเด็ก เรื่องสตาร์วอร์สก็คงไม่เกิด ผมว่าไม่จริง เพราะคนที่ทำให้เรื่องสตาร์วอร์สเกิดได้คือพัลพาทีน ไม่เจออนาคิน พัลพาทีนก็หาทางอื่นสร้างจักรวรรดิของตัวเองได้อยู่ดี อนาคินเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ตัวละครที่จะจบแต่ละไตรภาคต้องเป็นพัลพาทีนเท่านั้น (ส่วนภาด 6 จะเป็นตายอย่างไรไม่สำคัญ ยังไงๆ พัลพาทีนก็ต้องกลับมาครับ)
หลายๆคนชอบสโนคอยากให้กลับมา แต่นี่คือยุคหลังจากเจไดล่มสลาย วิชาสูญหายเหลือเพียงตำนาน สรุปสั้นๆ ได้เลยว่าตัวละครใหม่ทุกตัว "ไม่มีใครเก่ง" สโนคไม่ได้มีดีอะไรเลยครับ (บอยแบนด์ก็เช่นกัน)
สาระสำคัญที่พยายามจะตีความออกมาคือ ต้องการทำให้ภาคนี้เป็น "จุดสิ้นสุดของจุดเริ่มต้น" (The end of the beginning กลับกันกับสำนวน จุดเริ่มต้นของจุดจบ หรือ The beginning of the end) ก็คือความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาล มาจากตระกูลพัลพาทีน ผู้ที่จะทำให้มันสิ้นสุดได้อย่างสมบูรณ์ก็ต้องเป็นพัลพาทีนเท่านั้น
ส่วน เรย์ สกายวอล์คเกอร์ มีที่มาจากความคิดอับอาย อยากจะกลับตัวกลับใจ อยากจะลบล้างความรู้สึกผิดของเรย์ ก็เลยเปลี่ยนนามสกุลตัวเองหนีเสียดื้อๆ เรื่องราวก็จบลงด้วยประการฉะนี้
.........................................................................................................................................................................................
ถ้าผมเขียนได้ดีพอ อาจจะมีคนเริ่มคล้อยตามว่าบทหนัง หรือเนื้องเรื่องภาคนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก จำเลยของผมก็คือ ผกก เจเจ อาบรามส์ ครับ
- การเล่าเรื่อง ไม่อยากจะพูดถึงว่าเป็น ผกก ฮอลลีหวูดชื่อดัง แต่เรื่องนี้เป็นนักเรียนทำหนัง ยังสอบตกครับ เพราะไม่ถึงขั้นไม่ดี แต่ถึงขั้นดู "ไม่รู้เรื่องเลย" มันเละเทะได้ถึงขนาดนั้นครับ
- ผมตามดูแกเป็น ผกก หลายต่อหลายเรื่อง แกมีพรสววรค์นับเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในการสร้างความน่าสนใจ แต่อ่อนด้อยในเรื่องการสร้างความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแรง
- หนังที่ไม่ต้องการองค์ประกอบมากนัก Cloverfield, 10 CLover Field Lane มีกล้องวิดีโอตัวเดียว หรือห้องใต้ดินห้องเดียวก็แล้วแต่ จะเป็นหนังที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของแกได้อย่างชัดเจน 8 mm ผมก็ชอบ แต่ก็เป็นหนังเด็กไปเจอมนุษย์ต่างดาว ไม่มีปมอะไรมากอยู่ดี และหนังเหล่านี้คือหนังขึ้นหิ้งของผมทั้งหมด
- สังเกตอย่างนึง เนื้อเรื่องหนังของแกหลายๆ เรื่อง มีแนวโน้มจะทำภาคต่อได้ทุกภาค ยิ่งดูรายได้ยิ่งน่าทำเข้าไปใหญ่ สร้างจักรวาลแข่งกับ MCU ได้ แต่ไม่มีภาคต่อ (แบบเป็นชิ้นเป็นอันชัดเจน) เลย เพราะอะไร
- Lost คือ ตราบาป เอ๊ย ผลงานสร้างชื่อ ผมไม่ได้ดูจนจบนะ ผ่านไป 3 ตอนได้ เริ่มรู้สึกตะหงิดๆ เลยไปอ่านสปอยล์ (ผมดูหนัง+ซีรี่ย์ประมาณ 100 เรื่อง จะดูสปอยล์สักเรื่องครับ มันต้องมีอะไรน่าสงสัยจริงๆ) อ่านจบผมก็ได้แต่ระลึกถึงบุญกุศลที่เคยทำในชีวิตครับ นับเป็นโชคดีอย่างมากที่ไม่ต้องดูต่อ
- และจะเป็นยังไงน่ะหรือ เมื่อ เจเจ อาบรามส์ พบกับ อภิมหากาพย์ภาพยนตร์อวกาศอย่าง Star Wars ตั้งแต่ Force Awaken ผมก็ได้แต่เอาใจช่วย Last Jedi ก็เช่นกัน เพราะคิดว่ามันคืองานที่ยากและแปลกใหม่มากๆ กับบุคลิกหนังของ เจเจ อาบรามส์ และภาคนี้คือการสรุปจบ ความคืด การเล่าเรื่องต้องสมบูรณ์แบบ ซึ่งถ้าไม่ยอมเปลี่ยน ผกก ผมทำใจไว้แต่แรกแล้วละครับ
- ข้อสังเกต ผมไม่รู้จัก ผกก เจเจ อาบรามส์ เป็นการส่วนตัว แต่ติดตามหนังของแกหลายๆเรื่อง คิดว่าหลายๆคนที่อ่านอยู่ก็คงนึกาพตามได้ไม่ยาก แต่คนที่ไปเชิญแกมาทำหนังสตาร์วอร์สนี่สิ คิดอะไรอยู่ ผมไม่ทราบได้
.........................................................................................................................................................................................
สรุป ถ้าจะถามว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าดูขนาดนั้นเลยรึ ความเห็นผมก็คือตัวเนื้อเรื่อง ถ้าเราผูกพันกับตัวละคร และสถานที่ หรือความเป็น "สตาร์วอร์ส" แล้ว ก็คงไม่ต้องบอกนะครับ
เนื้อเรื่องที่จริงเราไม่ต้องไปสนใจมาก มันไม่ได้มีปมหรือเหตุการณ์อะไรซับซ้อนหรอกครับ จอร์จ ลูคัส ท่านคิดไว้ประมาณสัก 10% ลูกน้องลูกจ้างคิดอีก 10% ที่เหลือเป็นเราๆท่านๆ คิดกันไปเองทั้งนั้น
มันคนละอย่างกับ MCU นะ อันนั้นมันคือหนังสือการ์ตูนนับสิบเรื่อง ที่พิมพ์ขายติดต่อกันหลายสิบปี เนื้อหามันเยอะมากอ้างอิงสร้างสมมติฐานได้ แต่สตาร์วอร์ส นอกจากโคลนวอร์ส ร้อยกว่าตอน ที่เหลือเราดูให้จบได้ในไม่กี่วันเอง สตาร์วอร์ส มีเกมมีการ์ตูนมีหนังสือ แต่มันก็คือไซด์สตอรี่ทั้งนั้นแหละ จะเขียนอะไรก็ได้ เราอยากรู้เรื่องของ สตอร์มทรูปเปอร์ กองบินฝ่ายกบฎ ชาวนาที่ไปดูอนาคินแข่งยาน หรือเจ้าของร้านเหล้าที่โดนพังร้านสักแห่ง แต่มันจะมีผลอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก มันทำให้ภาพยนตร์สมบูรณ์ขึ้น แต่ไม่ใช่ "ตัวแปร" ครับ
ส่วนคุณงามความดีในภาพยนตร์ที่ถูกมองข้ามไป ผมขอยกให้กับคนนี้ครับ Doug Chiang (บางคนอ่าน ดั๊ก เชียง บางคนอ่าน ดั๊ก เช็ง) ก็คืองานออกแบบโปรดัคชั่น ทั้งยานและฉากประกอบต่างๆ ที่ตรึงตาตรึงใจเราในทุกภาคทั้งหมด ตั้งแต่ ep. I เรียกว่าหนังจะดีไม่ดียังไง เนื้อเรื่อง (ที่ผมเดา) ก็น่าจะมีเท่านี้ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่งดูยานบินไปบินมาผมก็เพลิน มีความสุขของผมละครับ ใครสะดวกดู Imax 3D เลยได้ก็ดี ผมว่าคุ้มครับ
ปล. Sheev Palpatine ผมเขียนเป็น ศีว (อ่านว่า สี-วะ จะเขียนว่าศีวะก็ได้นะแต่ ศีว มันดูแปลกๆดี แล้วก็คิดว่าตรงกับตัวภาษาอักฤษมากกว่า) เพราะเข้าใจว่านำชื่อมาจาก พระศิวะ หรือพระอิศวร หรือองค์พระมหาเทพในศาสนาพราหมณ์ (สะกดตามหลักถ่ายเสียงสันสกฤตเป็นอังกฤษ Shiv หรือ Shiva) โดยดูจากบทบาทในเรื่อง ไม่ได้มีแหล่งข้อมูลใดๆ อ้างอิง