1.การศึกษาในยุคเราที่มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผลิตคนเพื่อไปเป็นแรงงานมันจะล้าหลังไปแล้ว อีกหน่อยเราจะมี ปัญญาประดิษฐ์มาทำแทน เราเสียเวลาเรียนเกินกว่า 20 ปี เพื่อเรียนในสิ่งที่โลกนี้ไม่ต้องการแล้ว บทบาทของครูจะหมดไป เด็กๆจะเรียนในอินเตอร์เน็ต เรียนกับไอดอลที่มาจากคนที่ทำงานั้นๆจริงๆ เรียนจากผู้ประสบความสำเร็จ Startup ที่มาแรง Singularity University เด็กๆจะเรียนอยู่ที่บ้านเปิดเฟสบุ๊ค ยูทูปอย่าง Khan Academy
https://www.youtube.com/channel/UC4a-Gbdw7vOaccHmFo40b9g ที่ได้ทุนจาก บิล เกตส์ มหาลัยจะลดบทบาทลงไป มีหน้าที่แค่แจกใบรับรอง (เซอร์ติฟาย) การเรียนจะไม่เรียน 4 ปี เรียนเป็นคณะอีกต่อไป แต่จะเป็นการโค้ชชิ่ง และ จะต้องโค้ชชิ่งหลายๆอย่าง ถ้าอ่าน บทความดังๆอย่าง
harvard business review ความรู้สมัยนี้หมดอายุเร็วมาก การมีความรู้อย่าง Hard Skills AI จะมาแทน ถ้าไม่อยากให้เอไอมาแทนคุณก็ควรเน้นทักษะ Soft Skills ที่สามารถ reskill อัพ IOS ใหม่ได้เรื่อยๆถ้าคุณคิดว่าจบเกียรตินิยม มหาลัยดังๆ ได้งานดีดี แล้วจะหยุดเรียนรู้ คุณก็จะตกงานอยู่ดี เพราะคุณอัพ IOS ไม่ได้ก็จะเป็นแค่ที่ทับกระดาษ ในปี 2022 Futures of job จาก World economic forum
http://reports.weforum.org/future-of-jobs-2016/ จะมีงาน 10 กลุ่มหายไป รวม 75 ล้านตำแหน่ง ใน 75 ล้าน ถ้าไม่ถูก reskill คุณจะตกงาน ในประเทศไทยคาดการณ์ว่าต้องมีคนถูก reskill 7.9 ล้านคน ถามว่ารัฐบาลมีการทำอะไรแล้วหรือยัง??
2.อุสหกรรมแบงค์ และ ราชการ จะถูกดิสรัปชั่นโดย เพราะการมาของ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำมาซึ่งความปลอดภัย น่าเชื่อถือ โดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง และเป็นแพลตฟอร์มในการทำธุรกรรมแบบ peer-to-peer ที่มีการบันทึกข้อมูลรายการธุรกรรมทั้งหมดแบบกระจายศูนย์ ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนของที่มีมูลค่าจะถูกดิาสรัปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร กรมที่ดิน กรมขนส่ง ระบบราชการ ฯลฯ การมาของ Blockchain จะทำให้เกิด social banking ซึ่งอีกหน่อยมันก็จะเติบโตเหมือน social media ในตอนนี้ ทำให้เกิด “smart contract”แปลตรงตัวคือ “สัญญาอัจฉริยะ” สำหรับคำว่า “สัญญา” ในที่นี้ อาจจะเป็นสัญญาการว่าจ้าง สัญญาการซื้อขาย หรือเอกสารของทางการ
กระบวนการทางดิจิทัล ที่กำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมโดยอัตโนมัติไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง มันจะเป็นระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะมีการตกลงกันก่อนหน้านี้ ถึงขั้นตอน กลไกในการทำรายการธุรกรรมดังกล่าว Smart contract เกิดมาจาก Mr.Nick Szaboที่เป็นผู้เสนอไอเดียว่า Blockchain สามารถใช้ในการบันทึกข้อตกลงของสัญญาที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง หรือใช้พนักงานในการมานั่งตรวจสอบเอกสาร โดยทุกอย่างให้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมจัดการ และการแฮงค์ข้อมูลทำได้ยากซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงระบบราชการทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น การทำใบขับขี่ บัตร ปชช การขอ วีซ่า การทำพาสปอร์ต การเปิดบัญชีธนาคาร ซื้อขายที่ดิน ซื้อขายรถยนต์ ฯลฯ
Smart Contract จะทำการเช็คว่าผลสอบผ่านเกณฑ์หรือไม่ และถ้าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ข้อมูลการสอบครั้งนี้ก็จะบันทึกไว้ลำดับต่อไป ผมโอนบิทคอยน์ให้กับกรมขนส่งเป็นค่าเอกสาร Smart Contract เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า สอบผ่าน และจ่ายเงินครบ ถือว่าบรรลุสัญญาที่ถูกตั้งไว้ ก็จะทำการส่งใบขับขี่ให้ แต่ไม่ใช่ใบขับขี่แบบเป็นบัตรหรือกระดาษนะ มันคือใบขับขี่ดิจิตอลที่อาศัยอยู่บนบล็อกเชนเช่นกันทุกคนจะเห็นว่าผมได้ใบขับขี่ใหม่แล้วอย่างถูกต้อง และสามารถเห็นได้ว่าใบขับขี่ผมยังใช้งานได้อยู่ ถ้าเกิดผมโดนเรียกตรวจเมื่อไร ผมก็หยิบแอปมือถือที่ทำการดึงข้อมูลใบขับขี่ของผมออกมาจากบล็อกเชนให้คุณตำรวจดูในอนาคตเราอาจจะไม่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอทำใบขับขี่อีกแล้ว เราเพียงแค่ใช้ซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ที่จำลองการขับรถจริงแล้วให้ผู้คุมสอบตรวจดูจากระยะไกล ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ
3.การแพทย์โดย AI เนื่องจากเอไอสามารถเรียรู้ข้อมูลมหาศาล ในตอนนี้ไปถึงขนาดนำข้อมูลนั้นมาประมวลผลการตัดสินใจนำเสนอผลลัพธ์จากข้อมูลที่มีอยู่ ทั้งสามารถเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลในระบบเพื่อการรักษาอย่างแม่นยำ ล่าสุด มีแนวคิดที่จะนำข้อมูลจากการค้นคว้า กรณีศึกษา และการรักษาโรคต่างๆที่มีอยู่ทั่วโลกมาให้ AI เรียนรู้และนำเสนอผลการวิเคราะห์โรค ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำเท่านั้น แต่ยังใช้เวลาน้อยกว่า ลดค่าใช้จ่าย และตอบโจทย์ในพื้นที่ห่างไกลด้วย ตัวอย่างของการพัฒนา HealthTech โดยใช้ AI ล่าสุด Google บริษัทไอทีรายใหญ่ของโลก คิดค้นวิธีรายงานผลเกี่ยวกับโรคหัวใจได้ด้วยการสแกนดวงตา ซึ่งได้ผลการตรวจที่ละเอียดทั้งความดันเลือด อายุ หรือแม้แต่พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทำให้สามารถรายงานผลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจได้เกือบครบถ้วนโดยไม่ต้องเจาะเลือด ช่วยลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายการตรวจได้ชัดเจน นอกจากนี้ Google ยังออกแบบ AI ตรวจโรคขนาดพกพาสำหรับพื้นที่ห่างไกล ผ่านเทคโนโลยี Cloud
ในการประชุม World Economic Forum เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีการพูดถึงความสามารถของเทคโนโลยี AI ที่น่าทึ่งในทางการ แพทย์ว่า AI สามารถวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังได้แม่นยำกว่าผู้เชี่ยวชาญ โดย AI ได้รับการฝึกฝนโดยใช้ภาพของโรคมะเร็งผิวหนังและการวินิจฉัยที่สอดคล้องกันโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำเรื่องเดียวกันนี้ในอัตราความแม่นยำที่ 87% แต่ AI สามารถทำได้ถึง 95% นอกจากนี้ AI ยังถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการพัฒนายา โดยอาศัยความสามารถในการสแกนข้อมูลได้ในอัตราที่เร็วมากซึ่งเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ และที่ไปกว่านั้นคือการนำ AI มาใช้ในระบบการสแกนสมองเพื่อถอดรหัสเวลาการฟื้นจากโคม่าของมนุษย์ ซึ่งพบว่า AI สามารถทำนายได้แม่นยำเกือบ 90%
สุดท้ายแพทย์หุ่นยนต์ในการทดสอบหุ่นยนต์ AI ที่ชื่อว่า iFlyTek Smart Doctor Assistant ให้จดจำเนื้อหาของตำราทางการแพทย์ หลายสิบเล่ม เวชระเบียน 2 ล้านรายการ และบทความ 400,000 รายการ จากนั้นให้ทำการทดสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ปรากฏว่า AI ได้คะแนน 456 คะแนน ขณะที่มนุษย์ทำคะแนนได้เพียง 360 คะแนนเท่านั้น.
4. เนื้อสัตว์เทียม Impossible Foods สตาร์ตอัพผู้ผลิตเนื้อเทียมรายใหญ่ ซึ่งออกแบบให้มีรูปลักษณ์ รสสัมผัสและรสชาติเหมือนกับเนื้อจริง แต่มีคอเลสเตอรอลและไขมันน้อยกว่าเนื้อจริง 90% และ 15% ตามลำดับ จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันและยุโรปหันมาสนใจเนื้อเทียมและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์กันมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์สุขภาพ หลังงานวิจัยหลายชิ้นเชื่อมโยงการบริโภคเนื้อแปรรูปกับความเสี่ยงมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงยังมีความตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งการทำปศุสัตว์โดยเฉพาะฟาร์มวัวมีการปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกจำนวนมาก การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างมีเธน รวมถึงคาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ และ เมื่อมีการผลิตอาหารเนื้อสัตว์มากขึ้น ก็เท่ากับทำลายสิ่งแวดล้อมให้เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
การโคลนนิ่งเนื้อจริงๆก็สามารถผลิตโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อเทียมได้ในห้องแล็บมานับทศวรรษแล้ว และพร้อมการสร้างเนื้อเทียมเป็นอาหาร งานศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยวาเกนนินเกน (Wageningen University) ได้นำเสนอเครื่องมือที่สามารถสร้างเซลล์สัตว์ หรือโรงงานผลิตเนื้อเทียม ในระดับชุมชน ทั้งเนื้อวัว หมู และไก่ เพียงพอที่จะเลี้ยงหมู่บ้านที่มีสมาชิก 2,650 คนได้ กระบวนการผลิตเนื้อเทียมนี้ เริ่มจากการนำสเต็มเซลล์ของกล้ามเนื้อวัว หมู ไก่ มาผ่านกระบวนการทางชีวภาพในถังขนาด 20 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเซลล์จะแบ่งตัวทวีคูณอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะได้เนื้อ 22 ปอนด์ต่อคนต่อปี แม้จะไม่สามารถทดแทนระบบปศุสัตว์ได้ทั้งหมด แต่เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนได้ แถมยังสามารถสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อีก โดยโครงการนี้จะพยายามทำให้งบประมาณในการผลิตเนื้อเทียมนั้นลดลงจนสามารถสร้างขึ้นได้จริงในระดับชุมชน
4 เมกาเทรนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
https://www.youtube.com/channel/UC4a-Gbdw7vOaccHmFo40b9g ที่ได้ทุนจาก บิล เกตส์ มหาลัยจะลดบทบาทลงไป มีหน้าที่แค่แจกใบรับรอง (เซอร์ติฟาย) การเรียนจะไม่เรียน 4 ปี เรียนเป็นคณะอีกต่อไป แต่จะเป็นการโค้ชชิ่ง และ จะต้องโค้ชชิ่งหลายๆอย่าง ถ้าอ่าน บทความดังๆอย่าง
harvard business review ความรู้สมัยนี้หมดอายุเร็วมาก การมีความรู้อย่าง Hard Skills AI จะมาแทน ถ้าไม่อยากให้เอไอมาแทนคุณก็ควรเน้นทักษะ Soft Skills ที่สามารถ reskill อัพ IOS ใหม่ได้เรื่อยๆถ้าคุณคิดว่าจบเกียรตินิยม มหาลัยดังๆ ได้งานดีดี แล้วจะหยุดเรียนรู้ คุณก็จะตกงานอยู่ดี เพราะคุณอัพ IOS ไม่ได้ก็จะเป็นแค่ที่ทับกระดาษ ในปี 2022 Futures of job จาก World economic forum http://reports.weforum.org/future-of-jobs-2016/ จะมีงาน 10 กลุ่มหายไป รวม 75 ล้านตำแหน่ง ใน 75 ล้าน ถ้าไม่ถูก reskill คุณจะตกงาน ในประเทศไทยคาดการณ์ว่าต้องมีคนถูก reskill 7.9 ล้านคน ถามว่ารัฐบาลมีการทำอะไรแล้วหรือยัง??
กระบวนการทางดิจิทัล ที่กำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมโดยอัตโนมัติไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง มันจะเป็นระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะมีการตกลงกันก่อนหน้านี้ ถึงขั้นตอน กลไกในการทำรายการธุรกรรมดังกล่าว Smart contract เกิดมาจาก Mr.Nick Szaboที่เป็นผู้เสนอไอเดียว่า Blockchain สามารถใช้ในการบันทึกข้อตกลงของสัญญาที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง หรือใช้พนักงานในการมานั่งตรวจสอบเอกสาร โดยทุกอย่างให้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมจัดการ และการแฮงค์ข้อมูลทำได้ยากซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงระบบราชการทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น การทำใบขับขี่ บัตร ปชช การขอ วีซ่า การทำพาสปอร์ต การเปิดบัญชีธนาคาร ซื้อขายที่ดิน ซื้อขายรถยนต์ ฯลฯ
Smart Contract จะทำการเช็คว่าผลสอบผ่านเกณฑ์หรือไม่ และถ้าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ข้อมูลการสอบครั้งนี้ก็จะบันทึกไว้ลำดับต่อไป ผมโอนบิทคอยน์ให้กับกรมขนส่งเป็นค่าเอกสาร Smart Contract เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า สอบผ่าน และจ่ายเงินครบ ถือว่าบรรลุสัญญาที่ถูกตั้งไว้ ก็จะทำการส่งใบขับขี่ให้ แต่ไม่ใช่ใบขับขี่แบบเป็นบัตรหรือกระดาษนะ มันคือใบขับขี่ดิจิตอลที่อาศัยอยู่บนบล็อกเชนเช่นกันทุกคนจะเห็นว่าผมได้ใบขับขี่ใหม่แล้วอย่างถูกต้อง และสามารถเห็นได้ว่าใบขับขี่ผมยังใช้งานได้อยู่ ถ้าเกิดผมโดนเรียกตรวจเมื่อไร ผมก็หยิบแอปมือถือที่ทำการดึงข้อมูลใบขับขี่ของผมออกมาจากบล็อกเชนให้คุณตำรวจดูในอนาคตเราอาจจะไม่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอทำใบขับขี่อีกแล้ว เราเพียงแค่ใช้ซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ที่จำลองการขับรถจริงแล้วให้ผู้คุมสอบตรวจดูจากระยะไกล ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ
3.การแพทย์โดย AI เนื่องจากเอไอสามารถเรียรู้ข้อมูลมหาศาล ในตอนนี้ไปถึงขนาดนำข้อมูลนั้นมาประมวลผลการตัดสินใจนำเสนอผลลัพธ์จากข้อมูลที่มีอยู่ ทั้งสามารถเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลในระบบเพื่อการรักษาอย่างแม่นยำ ล่าสุด มีแนวคิดที่จะนำข้อมูลจากการค้นคว้า กรณีศึกษา และการรักษาโรคต่างๆที่มีอยู่ทั่วโลกมาให้ AI เรียนรู้และนำเสนอผลการวิเคราะห์โรค ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำเท่านั้น แต่ยังใช้เวลาน้อยกว่า ลดค่าใช้จ่าย และตอบโจทย์ในพื้นที่ห่างไกลด้วย ตัวอย่างของการพัฒนา HealthTech โดยใช้ AI ล่าสุด Google บริษัทไอทีรายใหญ่ของโลก คิดค้นวิธีรายงานผลเกี่ยวกับโรคหัวใจได้ด้วยการสแกนดวงตา ซึ่งได้ผลการตรวจที่ละเอียดทั้งความดันเลือด อายุ หรือแม้แต่พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทำให้สามารถรายงานผลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจได้เกือบครบถ้วนโดยไม่ต้องเจาะเลือด ช่วยลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายการตรวจได้ชัดเจน นอกจากนี้ Google ยังออกแบบ AI ตรวจโรคขนาดพกพาสำหรับพื้นที่ห่างไกล ผ่านเทคโนโลยี Cloud
ในการประชุม World Economic Forum เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีการพูดถึงความสามารถของเทคโนโลยี AI ที่น่าทึ่งในทางการ แพทย์ว่า AI สามารถวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังได้แม่นยำกว่าผู้เชี่ยวชาญ โดย AI ได้รับการฝึกฝนโดยใช้ภาพของโรคมะเร็งผิวหนังและการวินิจฉัยที่สอดคล้องกันโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำเรื่องเดียวกันนี้ในอัตราความแม่นยำที่ 87% แต่ AI สามารถทำได้ถึง 95% นอกจากนี้ AI ยังถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการพัฒนายา โดยอาศัยความสามารถในการสแกนข้อมูลได้ในอัตราที่เร็วมากซึ่งเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ และที่ไปกว่านั้นคือการนำ AI มาใช้ในระบบการสแกนสมองเพื่อถอดรหัสเวลาการฟื้นจากโคม่าของมนุษย์ ซึ่งพบว่า AI สามารถทำนายได้แม่นยำเกือบ 90%
สุดท้ายแพทย์หุ่นยนต์ในการทดสอบหุ่นยนต์ AI ที่ชื่อว่า iFlyTek Smart Doctor Assistant ให้จดจำเนื้อหาของตำราทางการแพทย์ หลายสิบเล่ม เวชระเบียน 2 ล้านรายการ และบทความ 400,000 รายการ จากนั้นให้ทำการทดสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ปรากฏว่า AI ได้คะแนน 456 คะแนน ขณะที่มนุษย์ทำคะแนนได้เพียง 360 คะแนนเท่านั้น.
4. เนื้อสัตว์เทียม Impossible Foods สตาร์ตอัพผู้ผลิตเนื้อเทียมรายใหญ่ ซึ่งออกแบบให้มีรูปลักษณ์ รสสัมผัสและรสชาติเหมือนกับเนื้อจริง แต่มีคอเลสเตอรอลและไขมันน้อยกว่าเนื้อจริง 90% และ 15% ตามลำดับ จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันและยุโรปหันมาสนใจเนื้อเทียมและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์กันมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์สุขภาพ หลังงานวิจัยหลายชิ้นเชื่อมโยงการบริโภคเนื้อแปรรูปกับความเสี่ยงมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงยังมีความตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งการทำปศุสัตว์โดยเฉพาะฟาร์มวัวมีการปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกจำนวนมาก การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างมีเธน รวมถึงคาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ และ เมื่อมีการผลิตอาหารเนื้อสัตว์มากขึ้น ก็เท่ากับทำลายสิ่งแวดล้อมให้เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
การโคลนนิ่งเนื้อจริงๆก็สามารถผลิตโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อเทียมได้ในห้องแล็บมานับทศวรรษแล้ว และพร้อมการสร้างเนื้อเทียมเป็นอาหาร งานศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยวาเกนนินเกน (Wageningen University) ได้นำเสนอเครื่องมือที่สามารถสร้างเซลล์สัตว์ หรือโรงงานผลิตเนื้อเทียม ในระดับชุมชน ทั้งเนื้อวัว หมู และไก่ เพียงพอที่จะเลี้ยงหมู่บ้านที่มีสมาชิก 2,650 คนได้ กระบวนการผลิตเนื้อเทียมนี้ เริ่มจากการนำสเต็มเซลล์ของกล้ามเนื้อวัว หมู ไก่ มาผ่านกระบวนการทางชีวภาพในถังขนาด 20 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเซลล์จะแบ่งตัวทวีคูณอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะได้เนื้อ 22 ปอนด์ต่อคนต่อปี แม้จะไม่สามารถทดแทนระบบปศุสัตว์ได้ทั้งหมด แต่เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนได้ แถมยังสามารถสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อีก โดยโครงการนี้จะพยายามทำให้งบประมาณในการผลิตเนื้อเทียมนั้นลดลงจนสามารถสร้างขึ้นได้จริงในระดับชุมชน