Huawei Freebuds 3 นั้นเปิดตัวต่อยอดจากรุ่นเดิม พัฒนาต่อเนื่องทั้งเรื่องของการออกแบบ และ ฟีเจอร์การใช้งานครับ และในรุ่นนี้ยังคงการออกแบบที่เป็น Earbuds อยู่และได้พัฒนาต่อเนื่องทำให้มีการตัดเสียงรบกวนได้เป็นเจ้าแรกส่วนในเรื่องการออกแบบนั้นคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเลยแหละไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ ตัวเคสตัวนี้รองรับการชาร์จไร้สาย และ USB-C แล้วและใช้งาน CPU KirinA1 พร้อมกับรองรับ Bluetooth 5.1 ตัวล่าสุดด้วยเช่นกัน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งรอบ มาพร้อมกับแบตเตอรี่เคสที่สามารถชาร์จไฟเพิ่มให้ใช้งานได้อีก 20 ชั่วโมง และการชาร์จไฟเข้านั้นทำได้ไวมากๆใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จแบตเต็มสำหรับตัวเคส ต้องบอกว่าฟีเจอร์อะไรหลายๆอย่างพัฒนามาน่าสนใจ ทั้งการตัดเสียง การชาร์จต่างๆแต่เรื่องออกแบบยังไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไรนัก ส่วนการใช้งานนั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง ในการใช้งานจริงตัดเสียงต่างๆ รวมถึงคุณภาพเสียงมาชมรีวิวกันเลย
ในแง่ของฟีเจอร์ที่เด่นสุดๆของรุ่นนี้ที่น่าสนใจสำหรับ Huawei freebuds 3 คือ ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling เป็นครั้งแรกของหูฟังแบบ Earbuds เลยเพราะในรุ่นอื่นๆนั้นจะเป็น InEars แต่ทางรุ่นนี้จะเป็นรุ่นแรกของโลกที่ใส่มาให้ในแบบ Earbuds แบบที่ไม่ยัดเข้าไปในหูครับ ถือว่าน่าสนใจเลย และดีไซน์แบบนี้ ใส่สบายด้วยหลายๆคนเลยชอบกัน ส่วนสเปคอื่นๆนั้นจะมาพร้อมกับ Chipset Kirin A1 ใช้งาน Bluetooth 5.1 และ รองรับการใช้งาน 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จ ฟังเพลงได้นาน 20 ชั่วโมงรวมชาร์จในเคส พร้อมกับไดรเวอร์⌀14.2 มม. แบบไดนามิก ควบคุมด้วยระบบสัมผัส และ รองรับชาร์จไร้สาย และ USB-C ผ่านตัวเคส ใช้งานกับ Android เท่านั้นครับ ส่วนตัวระบบเสียงนั้นก็เชื่อมต่อได้ดี ความหน่วงช้าในระดับต่ำมากๆในการฟังเพลงเล่นเกม
Huawei Freebuds 3 นั้นเปิดตัวมาพร้อมกับ 2 สี คือ ขาว และ ดำ พร้อมกับราคา 4,990 บาท
UNBOX
ตัวกล่อง Huawei FreeBuds 3 นั้นจะเขียนอะไรไว้ชัดเจนรวมถึงตัวกล่องก็จะบอกสีของหูฟังข้างในไว้ชัดเจนครับว่าเป็นสีอะไร จะมีสีขาว ดำ เป็นหลัก ในรุ่นนี้ ตัวกล่องก็บอกรูปทรงอะไรไว้ชัดเจน ส่วนของข้างในก็มาให้ครบๆ
- ตัวเคส สำหรับชาร์จ
- Huawei Freebuds 3
- สาย USB-C
- คู่มือ และ ที่สแกนลงแอป
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ก็ยังคงมีกลิ่นอายของอีกค่ายอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นการพัฒนาขึ้นจากรุ่น 2 ต่อยอดดีไซน์ดูสวยดูดีขึ้นทั้งตัวเคส และตัวหูฟังเองอีกทั้งยังมีขนาดที่พกพาได้ง่ายขึ้นใส่สบายขึ้นด้วยครับ วัสดุนั้นเป็นพลาสติกทั้งหมด สีดำเงาแน่นอนว่าอาจจะเป็นรอยติดรอยนิ้วมือได้ง่ายพอสมควรเลย แต่ตัวหูฟังนั้นเก็บงานอะไรได้ดี ส่วนตัวเคสนั้นตรงฝาแอบมีโยกๆนิดหน่อยครับไม่ได้แน่นมากเวลาเปิด แต่รูปทรงวงกลมนั้นขึ้นรูปอะไรสวยไม่มีรอยต่อเลย
ตัวเคสนั้นเป็นวงกลมเรียบๆสีดำเงา ส่วนของโลโก้เองนั้นจะอยู่ด้านหลัง และในด้านหน้านั้นจะเรียบๆไม่มีอะไรเลยครับ และซ่อนปุ่มกดไว้ด้านขวา และ ไฟสถานะนั้นอยู่ด้านล่างตัวเคสเป็นวงกลมฝาเปิดงัดได้เลย ส่วนตรงโลโก้นั้นจะเป็นด้านหลังที่เห็นแถบสี่เหลี่ยมเงาๆ ที่จะใช่สีโครมดำเงินๆเป็นวัสดุแตกต่างกับวัสดุทั้งหมดครับ และตรงพอร์ตชาร์จเป็นสีเงินโครเมี่ยมทำรอบรูชาร์จไว้ทำให้เห็นได้ชัดพอสมควรเวลาใช้งาน ขนาดเคสกำลังดีพกพาง่ายและไม่หนา
เมื่อเปิดฟาตัวเคสแล้วนั้นจะกางออกมา 90 องศาสุดแค่นั้นครับและสามารถหยิบตัวหูฟังออกมาได้เลยในด้านขวาของตัวเคสจะมีปุ่มสำหรับเชื่อมต่อกับมือถือให้กดอยู่ครับเป็นสีดำเล็กๆมองยากนิดนึง ส่วนด้านล่างนั้นจะเป็นพอร์ตชาร์จแบบ USB-C พร้อมกับไฟสถานะของเคสชาร์จว่าเต็มหรือหมดแล้วครับ ซึ่งไปตรงนี้จะแสดงสีแตกต่างกันไป ถ้าไฟเขียวคือ แบตนั้นเต็มอยู่ หรือสูงกว่า 60% ครับ แต่ถ้าสีเหลือง คือ 20-60% สีแดงคือต่ำกว่า 20% แต่ถ้า ขณะชาร์จนั้น เขียวคือสูงกว่า 90 % แต่ถ้าเหลืองคือต่ำกว่า 90% ครับ แบบในภาพคือสีเหลืองนั้นเอง
เมื่อเปิดฝาออกมาแล้วนั้นก็สามารถหยิบออกมาได้เลย ตรงตัวเคสก็จะมีไปสถานะของหูฟังอีกรอบเมื่อเปิดออกมาครับ ถ้าไฟเขียวคือ แบตหูฟังนั้นเต็มอยู่ หรือสูงกว่า 60% ครับ แต่ถ้าสีเหลือง คือ 20-60% สีแดงคือต่ำกว่า 20% กระพริบสีขาวคือกำลังเชื่อมต่อ กระพริบสีแดงคือ รีค่าโรงงานครับ ตัวฝาอย่างที่บอกไปแอบมีโยกๆได้นิดหน่อยดูไม่แน่นหนาเท่าที่ควรครับ แต่ฝาก็ยังไม่ได้หลวมหรือเปิดอ้าเองครับในจุดนี้ แต่วัสดุดำเงานั้นจะเป็นรอยได้ง่ายมากจริงๆ
ตัวหูฟังนั้นเป็นทรงที่เราคุ้นเคยกันดีและแน่นอนว่าทรงก้านยาวๆแบบนี้ คือ ทรงที่ดีที่สุดแล้วในการรับสัญญาณและคุยโทรศัพท์ครับ เลยทำให้มันเป็นหูฟังไร้สายที่คุยได้ดีมากอีกตัวนึงเลย ขนาดของมันกำลังดีไม่ใหญ่ไม่หนักเกินไป อีกทั้งตรงหูแบบ Earbuds ทำให้ใส่สบายไม่อึดอัด และ สามารถสั่งงานแตะควบคุมได้ตรงก้านยาวๆครับ ตัวหูฟังรองรับกับหลายๆขนาดใบหูได้ดีคือง่ายๆว่าใส่ได้ทุกคนจริงๆครับ และ รูปทรงของมันก็ไม่ได้เจ็บหูเลยแม้แต่น้อย
ขนาดในภาพรวมนั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับเคสชาร์จก็สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สบายครับ และตัวเคสอย่างที่บอกไปคือรองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย สามารถวางชาร์จแบบในภาพด้านล่างได้เลย แต่ก็จะช้ากว่าแบบสายนะครับเป็นปกติ ส่วนงานออกแบบนั้นมีความคล้ายของAirpods Apple มากๆแต่ก็ไม่ได้เป๊ะซะทีเดียวครับเมื่อเอามาเทียบกับก็พบว่ายังมีความแตกต่าง จุดแตกต่างกันพอสมควรเลย แต่มองผ่านๆนั้นอาจจะเหมือนกัน แต่ทรงก้านหูฟัง ตัว Earbuds อะไรนั้นมีความแตกต่างกันอยู่เหมือนกันนะ แต่ขนาดอะไรนั้นไม่ต่างกันเลย แค่คนละสีกันเท่านั้นครับ
SPEC
- ชิปเซ็ต Kirin A1
- รองรับ Active Noise Cancellation
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัส
- ระบบตัดเสียงไมค์ Aerodynamic Mic Duct
- Bone Sensor
- ไดร์เวอร์ขนาด 14 มิลลิเมตรอยู่ข้างใน บวกกับ Bass Tube
- ชาร์จเข้าผ่าน USB-C 6W / Wireless 2W
- รองรับการใช้งาน 4 ชม. ต่อการชาร์จ รวมเคสชาร์จ รองรับสูงสุด 20 ชม.
- Bluetooth 5.1 Dual Channel
- น้ำหนักต่อข้าง ประมาณ 4.5 กรัม
- น้ำหนักเคส ประมาณ 48 กรัม
SOFTWARE
ทางด้าน Software นั้นจะใช้ชื่อ Huawei AI Life เป็นตัวควบคุมยุคใหม่ของทาง Huawei ทั้งหมดครับ และรองรับเฉพาะ Android เท่านั้น iOS ใช้งานไม่ได้นะครับ น่าเสียดายพอสมควรเลย ซึ่งแอปนี้สามารถโหลดได้จากในตัว Playstore เลย ซึ่งแอปนี้จะควบคุมพวก Eye Wear และ Wifi Router ทั้งหมดที่ออกมารุ่นหลังๆ ซึ่งในยุคหลังๆน่าจะใช้แอปนี้หมดแล้ว แต่ถ้าพวก นาฬิกานั้นจะใช้งานแอป Huawei health ครับ จริงๆมันน่าจะรวมกันไปเลยนะจะได้ไม่ต้องโหลดแอปอะไรเยอะครับ ถ้ารวมกันในอนาคตก็น่าจะดีไม่น้อยเลย ตัวแอปหน้าตาอะไรคุ้นๆกันบ้างครับ ทันสมัยและใช้งานไม่ยาก เดี๋ยวมาลองดูกันเลยว่าจะเป็นยังไง ส่วนการเชื่อมต่อนั้นไม่ยากครับ กดเปิดแล้วมันจะหาให้เลย ถ้าไม่เจอต้องกดปุ่มที่ข้าง เคสหูฟังก่อนตามภาพด้านบน 2 วิ แล้วมันจะสแกนให้เองครับแล้วจะเจอหูฟังเชื่อมได้เลย จุดนี้ไม่ยากครับ เมื่อเชื่อมเสร็จแล้วก็รอซักพักนึงแล้วก็สามารถใช้งานได้เลย แต่ถ้าไม่มีแอปก็ฟังเชื่อมแบบปกติได้เลยครับ กดหา Bluetooth บนมือถืออะไรได้ปกติแค่จะปรับฟีเจอร์อะไรไม่ได้เท่าไร ถ้าไม่มีแอปบนมือถือ
ตัวแอปนั้นไม่มีอะไรมาก หน้าแรกนั้นจะเป็นตัวอุปกรณ์ที่เรามี ในที่นี้คือตัว Freebuds 3 และเมื่อแตะเข้าไปแล้วนั้นก็จะบอกว่า แบตแต่ละข้างเท่าไร แบตเคสเหลือเท่าไร และ ฟีเจอร์การปรับแต่งการสัมผัส รวมถึงการปรับเสียงรบกวน เมื่อเข้ามาส่วนของทางลัดนั้นจะเป็น การตั้งค่าว่า แตะ ข้างขวาทำอะไร แตะข้างซ้ายทำอะไร แต่น่าเสียดายว่า ไม่มีการปรับเสียงเพิ่มขึ้นลงได้ครับในการควบคุม แต่ก็สามารถรับสายอะไรได้ปกติ และก็สามารถปรับการตัดเสียงรบกวนได้ว่าจะตัดเสียงรบกวนเยอะหรือน้อย หรือตัดเสียงระแวกโซนไหนครับ โดยการหมุนจุดกลมๆไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะเจอการตัดเสียงที่เราชอบที่สุด อันนี้ถือว่าดีมากๆไม่ค่อยเจอค่ายไหนทำการตัดเสียงได้เยอะและละเอียดแบบนี้
แต่ต้องบอกก่อนว่า ฟีเจอร์บางส่วนนั้นจะใช้งานได้แค่กับ Huawei Smartphone EMUI10 คือ
- หน้าจอ PopUp เวลาเชื่อมต่อกับมือถือ คล้ายๆของ Apple Airpods
- ฟีเจอร์เวลาถอดหูฟังและเพลงจะหยุดเอง
และใน 2 ฟีเจอร์นี้นั้นจะไม่ทำงานกับมือถืออื่นๆที่ไม่ใช่ Huawei ครับ
[SR] รีวิว Huawei FreeBuds3 หูฟัง Earbuds ที่มาพร้อม Active Noise Cancelling !
Huawei Freebuds 3 นั้นเปิดตัวต่อยอดจากรุ่นเดิม พัฒนาต่อเนื่องทั้งเรื่องของการออกแบบ และ ฟีเจอร์การใช้งานครับ และในรุ่นนี้ยังคงการออกแบบที่เป็น Earbuds อยู่และได้พัฒนาต่อเนื่องทำให้มีการตัดเสียงรบกวนได้เป็นเจ้าแรกส่วนในเรื่องการออกแบบนั้นคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเลยแหละไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ ตัวเคสตัวนี้รองรับการชาร์จไร้สาย และ USB-C แล้วและใช้งาน CPU KirinA1 พร้อมกับรองรับ Bluetooth 5.1 ตัวล่าสุดด้วยเช่นกัน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งรอบ มาพร้อมกับแบตเตอรี่เคสที่สามารถชาร์จไฟเพิ่มให้ใช้งานได้อีก 20 ชั่วโมง และการชาร์จไฟเข้านั้นทำได้ไวมากๆใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จแบตเต็มสำหรับตัวเคส ต้องบอกว่าฟีเจอร์อะไรหลายๆอย่างพัฒนามาน่าสนใจ ทั้งการตัดเสียง การชาร์จต่างๆแต่เรื่องออกแบบยังไม่ได้เป็นตัวเองเท่าไรนัก ส่วนการใช้งานนั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง ในการใช้งานจริงตัดเสียงต่างๆ รวมถึงคุณภาพเสียงมาชมรีวิวกันเลย
ในแง่ของฟีเจอร์ที่เด่นสุดๆของรุ่นนี้ที่น่าสนใจสำหรับ Huawei freebuds 3 คือ ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling เป็นครั้งแรกของหูฟังแบบ Earbuds เลยเพราะในรุ่นอื่นๆนั้นจะเป็น InEars แต่ทางรุ่นนี้จะเป็นรุ่นแรกของโลกที่ใส่มาให้ในแบบ Earbuds แบบที่ไม่ยัดเข้าไปในหูครับ ถือว่าน่าสนใจเลย และดีไซน์แบบนี้ ใส่สบายด้วยหลายๆคนเลยชอบกัน ส่วนสเปคอื่นๆนั้นจะมาพร้อมกับ Chipset Kirin A1 ใช้งาน Bluetooth 5.1 และ รองรับการใช้งาน 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จ ฟังเพลงได้นาน 20 ชั่วโมงรวมชาร์จในเคส พร้อมกับไดรเวอร์⌀14.2 มม. แบบไดนามิก ควบคุมด้วยระบบสัมผัส และ รองรับชาร์จไร้สาย และ USB-C ผ่านตัวเคส ใช้งานกับ Android เท่านั้นครับ ส่วนตัวระบบเสียงนั้นก็เชื่อมต่อได้ดี ความหน่วงช้าในระดับต่ำมากๆในการฟังเพลงเล่นเกม
Huawei Freebuds 3 นั้นเปิดตัวมาพร้อมกับ 2 สี คือ ขาว และ ดำ พร้อมกับราคา 4,990 บาท
UNBOX
ตัวกล่อง Huawei FreeBuds 3 นั้นจะเขียนอะไรไว้ชัดเจนรวมถึงตัวกล่องก็จะบอกสีของหูฟังข้างในไว้ชัดเจนครับว่าเป็นสีอะไร จะมีสีขาว ดำ เป็นหลัก ในรุ่นนี้ ตัวกล่องก็บอกรูปทรงอะไรไว้ชัดเจน ส่วนของข้างในก็มาให้ครบๆ
- ตัวเคส สำหรับชาร์จ
- Huawei Freebuds 3
- สาย USB-C
- คู่มือ และ ที่สแกนลงแอป
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ก็ยังคงมีกลิ่นอายของอีกค่ายอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นการพัฒนาขึ้นจากรุ่น 2 ต่อยอดดีไซน์ดูสวยดูดีขึ้นทั้งตัวเคส และตัวหูฟังเองอีกทั้งยังมีขนาดที่พกพาได้ง่ายขึ้นใส่สบายขึ้นด้วยครับ วัสดุนั้นเป็นพลาสติกทั้งหมด สีดำเงาแน่นอนว่าอาจจะเป็นรอยติดรอยนิ้วมือได้ง่ายพอสมควรเลย แต่ตัวหูฟังนั้นเก็บงานอะไรได้ดี ส่วนตัวเคสนั้นตรงฝาแอบมีโยกๆนิดหน่อยครับไม่ได้แน่นมากเวลาเปิด แต่รูปทรงวงกลมนั้นขึ้นรูปอะไรสวยไม่มีรอยต่อเลย
ตัวเคสนั้นเป็นวงกลมเรียบๆสีดำเงา ส่วนของโลโก้เองนั้นจะอยู่ด้านหลัง และในด้านหน้านั้นจะเรียบๆไม่มีอะไรเลยครับ และซ่อนปุ่มกดไว้ด้านขวา และ ไฟสถานะนั้นอยู่ด้านล่างตัวเคสเป็นวงกลมฝาเปิดงัดได้เลย ส่วนตรงโลโก้นั้นจะเป็นด้านหลังที่เห็นแถบสี่เหลี่ยมเงาๆ ที่จะใช่สีโครมดำเงินๆเป็นวัสดุแตกต่างกับวัสดุทั้งหมดครับ และตรงพอร์ตชาร์จเป็นสีเงินโครเมี่ยมทำรอบรูชาร์จไว้ทำให้เห็นได้ชัดพอสมควรเวลาใช้งาน ขนาดเคสกำลังดีพกพาง่ายและไม่หนา
เมื่อเปิดฟาตัวเคสแล้วนั้นจะกางออกมา 90 องศาสุดแค่นั้นครับและสามารถหยิบตัวหูฟังออกมาได้เลยในด้านขวาของตัวเคสจะมีปุ่มสำหรับเชื่อมต่อกับมือถือให้กดอยู่ครับเป็นสีดำเล็กๆมองยากนิดนึง ส่วนด้านล่างนั้นจะเป็นพอร์ตชาร์จแบบ USB-C พร้อมกับไฟสถานะของเคสชาร์จว่าเต็มหรือหมดแล้วครับ ซึ่งไปตรงนี้จะแสดงสีแตกต่างกันไป ถ้าไฟเขียวคือ แบตนั้นเต็มอยู่ หรือสูงกว่า 60% ครับ แต่ถ้าสีเหลือง คือ 20-60% สีแดงคือต่ำกว่า 20% แต่ถ้า ขณะชาร์จนั้น เขียวคือสูงกว่า 90 % แต่ถ้าเหลืองคือต่ำกว่า 90% ครับ แบบในภาพคือสีเหลืองนั้นเอง
เมื่อเปิดฝาออกมาแล้วนั้นก็สามารถหยิบออกมาได้เลย ตรงตัวเคสก็จะมีไปสถานะของหูฟังอีกรอบเมื่อเปิดออกมาครับ ถ้าไฟเขียวคือ แบตหูฟังนั้นเต็มอยู่ หรือสูงกว่า 60% ครับ แต่ถ้าสีเหลือง คือ 20-60% สีแดงคือต่ำกว่า 20% กระพริบสีขาวคือกำลังเชื่อมต่อ กระพริบสีแดงคือ รีค่าโรงงานครับ ตัวฝาอย่างที่บอกไปแอบมีโยกๆได้นิดหน่อยดูไม่แน่นหนาเท่าที่ควรครับ แต่ฝาก็ยังไม่ได้หลวมหรือเปิดอ้าเองครับในจุดนี้ แต่วัสดุดำเงานั้นจะเป็นรอยได้ง่ายมากจริงๆ
ตัวหูฟังนั้นเป็นทรงที่เราคุ้นเคยกันดีและแน่นอนว่าทรงก้านยาวๆแบบนี้ คือ ทรงที่ดีที่สุดแล้วในการรับสัญญาณและคุยโทรศัพท์ครับ เลยทำให้มันเป็นหูฟังไร้สายที่คุยได้ดีมากอีกตัวนึงเลย ขนาดของมันกำลังดีไม่ใหญ่ไม่หนักเกินไป อีกทั้งตรงหูแบบ Earbuds ทำให้ใส่สบายไม่อึดอัด และ สามารถสั่งงานแตะควบคุมได้ตรงก้านยาวๆครับ ตัวหูฟังรองรับกับหลายๆขนาดใบหูได้ดีคือง่ายๆว่าใส่ได้ทุกคนจริงๆครับ และ รูปทรงของมันก็ไม่ได้เจ็บหูเลยแม้แต่น้อย
ขนาดในภาพรวมนั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับเคสชาร์จก็สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สบายครับ และตัวเคสอย่างที่บอกไปคือรองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย สามารถวางชาร์จแบบในภาพด้านล่างได้เลย แต่ก็จะช้ากว่าแบบสายนะครับเป็นปกติ ส่วนงานออกแบบนั้นมีความคล้ายของAirpods Apple มากๆแต่ก็ไม่ได้เป๊ะซะทีเดียวครับเมื่อเอามาเทียบกับก็พบว่ายังมีความแตกต่าง จุดแตกต่างกันพอสมควรเลย แต่มองผ่านๆนั้นอาจจะเหมือนกัน แต่ทรงก้านหูฟัง ตัว Earbuds อะไรนั้นมีความแตกต่างกันอยู่เหมือนกันนะ แต่ขนาดอะไรนั้นไม่ต่างกันเลย แค่คนละสีกันเท่านั้นครับ
SPEC
- ชิปเซ็ต Kirin A1
- รองรับ Active Noise Cancellation
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัส
- ระบบตัดเสียงไมค์ Aerodynamic Mic Duct
- Bone Sensor
- ไดร์เวอร์ขนาด 14 มิลลิเมตรอยู่ข้างใน บวกกับ Bass Tube
- ชาร์จเข้าผ่าน USB-C 6W / Wireless 2W
- รองรับการใช้งาน 4 ชม. ต่อการชาร์จ รวมเคสชาร์จ รองรับสูงสุด 20 ชม.
- Bluetooth 5.1 Dual Channel
- น้ำหนักต่อข้าง ประมาณ 4.5 กรัม
- น้ำหนักเคส ประมาณ 48 กรัม
SOFTWARE
ทางด้าน Software นั้นจะใช้ชื่อ Huawei AI Life เป็นตัวควบคุมยุคใหม่ของทาง Huawei ทั้งหมดครับ และรองรับเฉพาะ Android เท่านั้น iOS ใช้งานไม่ได้นะครับ น่าเสียดายพอสมควรเลย ซึ่งแอปนี้สามารถโหลดได้จากในตัว Playstore เลย ซึ่งแอปนี้จะควบคุมพวก Eye Wear และ Wifi Router ทั้งหมดที่ออกมารุ่นหลังๆ ซึ่งในยุคหลังๆน่าจะใช้แอปนี้หมดแล้ว แต่ถ้าพวก นาฬิกานั้นจะใช้งานแอป Huawei health ครับ จริงๆมันน่าจะรวมกันไปเลยนะจะได้ไม่ต้องโหลดแอปอะไรเยอะครับ ถ้ารวมกันในอนาคตก็น่าจะดีไม่น้อยเลย ตัวแอปหน้าตาอะไรคุ้นๆกันบ้างครับ ทันสมัยและใช้งานไม่ยาก เดี๋ยวมาลองดูกันเลยว่าจะเป็นยังไง ส่วนการเชื่อมต่อนั้นไม่ยากครับ กดเปิดแล้วมันจะหาให้เลย ถ้าไม่เจอต้องกดปุ่มที่ข้าง เคสหูฟังก่อนตามภาพด้านบน 2 วิ แล้วมันจะสแกนให้เองครับแล้วจะเจอหูฟังเชื่อมได้เลย จุดนี้ไม่ยากครับ เมื่อเชื่อมเสร็จแล้วก็รอซักพักนึงแล้วก็สามารถใช้งานได้เลย แต่ถ้าไม่มีแอปก็ฟังเชื่อมแบบปกติได้เลยครับ กดหา Bluetooth บนมือถืออะไรได้ปกติแค่จะปรับฟีเจอร์อะไรไม่ได้เท่าไร ถ้าไม่มีแอปบนมือถือ
ตัวแอปนั้นไม่มีอะไรมาก หน้าแรกนั้นจะเป็นตัวอุปกรณ์ที่เรามี ในที่นี้คือตัว Freebuds 3 และเมื่อแตะเข้าไปแล้วนั้นก็จะบอกว่า แบตแต่ละข้างเท่าไร แบตเคสเหลือเท่าไร และ ฟีเจอร์การปรับแต่งการสัมผัส รวมถึงการปรับเสียงรบกวน เมื่อเข้ามาส่วนของทางลัดนั้นจะเป็น การตั้งค่าว่า แตะ ข้างขวาทำอะไร แตะข้างซ้ายทำอะไร แต่น่าเสียดายว่า ไม่มีการปรับเสียงเพิ่มขึ้นลงได้ครับในการควบคุม แต่ก็สามารถรับสายอะไรได้ปกติ และก็สามารถปรับการตัดเสียงรบกวนได้ว่าจะตัดเสียงรบกวนเยอะหรือน้อย หรือตัดเสียงระแวกโซนไหนครับ โดยการหมุนจุดกลมๆไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะเจอการตัดเสียงที่เราชอบที่สุด อันนี้ถือว่าดีมากๆไม่ค่อยเจอค่ายไหนทำการตัดเสียงได้เยอะและละเอียดแบบนี้
แต่ต้องบอกก่อนว่า ฟีเจอร์บางส่วนนั้นจะใช้งานได้แค่กับ Huawei Smartphone EMUI10 คือ
- หน้าจอ PopUp เวลาเชื่อมต่อกับมือถือ คล้ายๆของ Apple Airpods
- ฟีเจอร์เวลาถอดหูฟังและเพลงจะหยุดเอง
และใน 2 ฟีเจอร์นี้นั้นจะไม่ทำงานกับมือถืออื่นๆที่ไม่ใช่ Huawei ครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้