ออกตัวก่อนว่า ไม่ได้จะตั้งคำถามแนวหาเรื่องนะคะ เพียงแต่อดสงสัยไม่ได้
รู้สึกว่ามีบุคลากรทางการแพย์เล่นอยู่ในพันทิปเยอะ
เลยลองตั้งคำถามและอยากแลกเปลี่ยนความคิดด้วยน่ะค่ะ
คือ ดิฉันรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเอกชน
หากแจ้งว่าไม่สบายเป็นอะไร มักจะได้รับการรักษาแบบเต็มสูบมาก ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพบแพทย์ที่ดูอายุยังไม่มาก และดิฉันก็มักได้พบแพทย์ที่อายุไม่มาก เพราะมักไปนอกเวลา และแพทย์ที่อยู่นอกเวลาดูหน้าละอ่อนกันทั้งนั้น)
การรักษาแบบเต็มสูบส่งผลให้ค่าใช้จ่ายแพงตามไปด้วย
เลยอยากแลกเปลี่ยนความคิดว่าเป็นเพราะอะไร แล้วเราทำอะไรได้บ้าง
ของดดราม่านะคะ เพราะด้วยใจจริง คำตอบสั้น ๆ ประเภท "เพราะเห็นแก่เงิน" เป็นคำตอบที่ดูจะมองแพทย์ในแง่ร้ายไปหน่อย
1. แพทย์กลัวไม่หาย กลัวไม่มีเวลามาหาหมออีก เลยจ่ายยามาเต็มสูบ
2. เป็น practice ของหมอรุ่นใหม่ที่กลัวจะโดนฟ้อง เลยต้องระดมการรักษา จ่ายยาชนิดที่เรียกว่า อาการอะไรโผล่มาต้องหายเกลี้ยงในทันที และการวินิจฉัยต้องเต็มที่ x ray ตรวจเลือด อะไรต่อมิอะไรต้องมาทันทีในวันแรกที่พบแพทย์
ขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมนะคะ
ปีนี้ เจอมา 3-4 กรณี
1. ลูกคนรองเป็นไข้ พาไปหาหมอเมื่อเป็นไข้วันที่สองเข้าสาม ไข้ประมาณ 38 กว่า ๆ พอถามคุณหมอว่าอาจเป็นไข้เลือดออก หรือไข้หวัดใหญ่ไหม ?
คุณหมอสั่งเจาะเลือด x'ray ปอดทันที ผลคือ ไม่ได้เป็นอะไรมาก จ่ายค่ายาและค่ารักษาไปประมาณ 5 พันกว่า ๆ
2. ลูกคนเดียวกันนี้อีก ซ้อมเต้นมาก ปวดหลัง เพิ่งปวดได้วันที่สอง หมอให้ก้ม ๆ เงย ๆ ไม่แน่ใจสั่ง x ray ทันที ผลปรากฎว่าไม่เป็นอะไร
ได้ acroxia กับ voltaren มา ค่ารักษาเกือบสองพัน
3. วันนี้ ลูกเจ็บคอ แม่ก็เจ็บคอด้วย มีเสลด ไม่มีไข้ เสียงแห้ง มีน้ำมูกใส
หมอเอาไม้ดันลิ้นลูก ดูช่องปาก บอกว่าคอแดง ๆ ได้ยามา 5 อย่าง
Nac Long, Maxiphed, Difflam, Zithromax, Telfast สามพันสี่ร้อยกว่าบาท
แม่ (ดิฉันเอง) บอกว่าอาการใกล้ ๆ กัน หมอไม่ดูช่องปาก ช่องคอแม่เลย จัดยามาแบบเดียวกันเป๊ะ ราคาเดียวกัน
ที่ดิฉันตั้งข้อสังเกตและแปลกใจคือ จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เวลาป่วยอะไรทำนองนี้ หมอดูคอ ดูลิ้นอย่างละเอียด
จ่ายยาเท่าที่จำเป็นจริง ๆ บอกให้กินน้ำมาก ๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น รีบนอน พักผ่อนเยอะ ๆ
ถ้าเพิ่งเป็น บางทีหมอจะประเมินก่อน จ่ายยาน้อย ๆ ถ้าหาย ก็แล้วไป ถ้าไม่หาย มาเจอกันใหม่
ส่วนใหญ่จะเป็นตามคลินิก (ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดนะคะ) แล้วก็หายอย่างที่หมอบอกจริง ๆ
มาเจอหมอรุ่นใหม่ ๆ ได้ยามาทีเป็นถุง ๆ ซองอะไรยุ่บยั่บเต็มไปหมด เลยอดคิดไม่ได้ว่ามันควรจะเป็นแบบนี้จริงหรือ ?
เรามีสิทธิไหม หรือจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไหม ถ้าเราจะบอกคุณหมอว่า
1. เรายินดีจ่ายค่าปรึกษาหมอ แต่รบกวนคุณหมอเขียนรายการใบสั่งยาได้ไหมคะว่า ถ้ามีไข้ ให้กินพารา (ซึ่งที่บ้านอาจมีอยู่แล้ว)
2. ถ้าน้ำมูกไหล ให้กินตัวนี้ ตัวนั้น (ถ้ามีอยู่แล้ว หมอไม่ต้องจ่าย) หรือถ้าไม่มี จะซื้อข้างนอกก็ได้ อาจจะถูกกว่า หรือ หากสะดวกซื้อในโรงพยาบาล ก็มีบริการ
เพราะลองพิเคราะห์ดู ถ้าเป็นหวัดหรือเจ็บคอเริ่มที่ 3 พันถึง 5 พันกว่าบาท พวกแรงงานขั้นต่ำหรือพวกที่จบใหม่ ๆ คงหาหมอไม่ไหวแน่ ๆ
ปล. วันก่อนอ่านในโพสต์ของพญ.ลลิตา เลยทำให้นึกอยากมาตั้งกระทู้นี้ด้วยค่ะ
ขออนุญาตเอามาแชร์
พญ.ลลิตา ธีระสิริ November 13 at 5:37 AM
จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอนยุคใหม่
•สมัยก่อน
ปู่ย่าตายาย มีลูกหัวกันปีท้ายปี ไม่มีวิธีคุมกำเนิด
แต่ละครอบครัวมีลูก 8-10 คน มากกว่านี้ก็มี
•สมัยนี้
ผู้คนมีลูกยากโดยเฉพาะรายที่มีอันจะกิน
ต้องผสมเทียม ทำเด็กหลอดแก้ว
สนนราคาแพงนั้นระยับ
บางคนจ่ายไป เจ็ดแปดแสน
บางคนหมดเป็นล้าน จึงจะได้ลูกมาเชยชม
•สมัยก่อน
คนโบราณคลอดลูกที่บ้าน
ตามแม่หมอตำแยมาทำคลอด
เสียค่ายกครูไม่กี่บาท
ก็เห็นรอด ๆ กันมาได้
•สมัยนี้
พึ่งหมอดู หาฤกษ์หามยามดี ผ่าคลอดที่รพ.
ใช้แพ็คเกจ แสนสอง ไม่รวมค่าดูแลเด็กแรกคลอด
•สมัยก่อน
เด็กเป็นไข้หวัด
พ่อแม่เช็ดตัวให้ นอนกินพารากับยาแก้หวัด
ไม่ต้องไปรร. หลังจากนั้นไอค็อกไอแค็ก เป็นเดือนก็หายเอง ไม่เสียสตางค์กี่บาท
ถ้าไข้สูงอย่างมากก็ไปหาหมอที่คลีนิก ฉีดยา เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาท แค่นั้น
•สมัยนี้
เด็กเป็นไข้หวัด ไปรพ.
เจ้าหน้าที่ถามว่ามีประกันไหม ถ้ามี ..แอดมิททันที
เป็นไวร้สเอ ไวรัสบี กลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออกสารพัดจะตรวจ เป็นโน่นนี่นั่น ให้น้ำเกลือ ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้น พ่นยา
นอนรพ.สามวันหมดไปสามหมื่น
มีอยู่รายหนึ่งวินิจฉัยว่า RSV
ยังไอก็ให้อยู่รพ.ไปก่อน
กว่าจะหายไอ หมดไปหกหมื่นกว่า
•สมัยก่อน
แผลมีดบาดในครัว
ป้าฉันเอาสบู่ล้าง เช็ดให้แห้ง
สั่งน้าชายให้ปีนไปเอารังแมงมุมบนเพดานมาหุ้มนิ้วไว้ ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ สามสี่วันแผลก็ปิด
เจ็ดวันตกสะเก็ด ไม่เสียสตางค์สักบาท
•สมัยนี้
แผลมีดบาด ไปโรงพยาบาล เย็บแผลไปเข็มนึง
ฉีดยากันบาดทะยัก ได้ยาปฏิชีวนะ
ถูกสั่งไปล้างแผลทุกวัน
กว่าจะตัดไหมเบ็ดเสร็จรวมค่าเดินทางหมดไปเกือบแปดพัน
•สมัยก่อน
สว.เป็นลม คนในบ้านจะนวดเฟ้น ดมยาลมยาหม่อง กินยาหอม นอนพักฟื้นขึ้นมาก็หาย
•สมัยนี้
เป็นลมเหรอ เข้าไอซียู นอนไปคืนหนึ่ง ตรวจสารพัด หมดไปสามหมื่นกว่า
มีรายการตรวจอีกยาวเหยียด ถามราคาแล้วพาลจะเป็นลมอีกรอบ บางคนเลยไม่ตรวจซะดื้อ ๆ ออกมาไม่เห็นเป็นอะไร ออกมาเล่าให้เพื่อนชราด้วยกันฟัง เพื่อนบอกว่า '"ยังดี วันเดียวกูหมดไปเกือบห้าหมื่น รายการตรวจออกมาปกติหมด"
•สมัยก่อน
แก่แล้ว เป็นโรคลมปัจจุบันนอนตายสงบอยู่กับบ้าน
มรดกที่เหลือยกให้ลูกหลาน
•สมัยนี้
แก่แล้วเข้ารพ.
ลูกที่ไม่เคยอยู่กับพ่อแม่มาก่อน มาจากไหนไม่รู้
เกิดกตัญญูแรงกล้า สั่งหมอให้ทุ่มสุดความสามารถ เสียเท่าไรเท่ากัน ยื้อชีวิตเอาไว้ให้ได้
มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาแปะขายก๋วยเตี๋ยว
ลูกสั่งให้หมอดูแล แต่สตางค์อาแปะจ่าย
สุดท้าย หมดไปหกล้าน นั่นคือเงินเก็บทั้งชีวิตของอาแปะ พอหมดเงินอาแปะตายพอดี
แล้วมีประโยชน์อะไร
แมวบ่นได้คำเดียวว่า
"เฮ้อออออ กว่าจะตายได้หมดไปกี่ล้าน"
หมอแต่ละยุค แต่ละรุ่น มีแนวทางจ่ายยาและรักษาคนไข้ต่างกันบ้างไหมคะ ?
รู้สึกว่ามีบุคลากรทางการแพย์เล่นอยู่ในพันทิปเยอะ
เลยลองตั้งคำถามและอยากแลกเปลี่ยนความคิดด้วยน่ะค่ะ
คือ ดิฉันรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเอกชน
หากแจ้งว่าไม่สบายเป็นอะไร มักจะได้รับการรักษาแบบเต็มสูบมาก ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพบแพทย์ที่ดูอายุยังไม่มาก และดิฉันก็มักได้พบแพทย์ที่อายุไม่มาก เพราะมักไปนอกเวลา และแพทย์ที่อยู่นอกเวลาดูหน้าละอ่อนกันทั้งนั้น)
การรักษาแบบเต็มสูบส่งผลให้ค่าใช้จ่ายแพงตามไปด้วย
เลยอยากแลกเปลี่ยนความคิดว่าเป็นเพราะอะไร แล้วเราทำอะไรได้บ้าง
ของดดราม่านะคะ เพราะด้วยใจจริง คำตอบสั้น ๆ ประเภท "เพราะเห็นแก่เงิน" เป็นคำตอบที่ดูจะมองแพทย์ในแง่ร้ายไปหน่อย
1. แพทย์กลัวไม่หาย กลัวไม่มีเวลามาหาหมออีก เลยจ่ายยามาเต็มสูบ
2. เป็น practice ของหมอรุ่นใหม่ที่กลัวจะโดนฟ้อง เลยต้องระดมการรักษา จ่ายยาชนิดที่เรียกว่า อาการอะไรโผล่มาต้องหายเกลี้ยงในทันที และการวินิจฉัยต้องเต็มที่ x ray ตรวจเลือด อะไรต่อมิอะไรต้องมาทันทีในวันแรกที่พบแพทย์
ขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมนะคะ
ปีนี้ เจอมา 3-4 กรณี
1. ลูกคนรองเป็นไข้ พาไปหาหมอเมื่อเป็นไข้วันที่สองเข้าสาม ไข้ประมาณ 38 กว่า ๆ พอถามคุณหมอว่าอาจเป็นไข้เลือดออก หรือไข้หวัดใหญ่ไหม ?
คุณหมอสั่งเจาะเลือด x'ray ปอดทันที ผลคือ ไม่ได้เป็นอะไรมาก จ่ายค่ายาและค่ารักษาไปประมาณ 5 พันกว่า ๆ
2. ลูกคนเดียวกันนี้อีก ซ้อมเต้นมาก ปวดหลัง เพิ่งปวดได้วันที่สอง หมอให้ก้ม ๆ เงย ๆ ไม่แน่ใจสั่ง x ray ทันที ผลปรากฎว่าไม่เป็นอะไร
ได้ acroxia กับ voltaren มา ค่ารักษาเกือบสองพัน
3. วันนี้ ลูกเจ็บคอ แม่ก็เจ็บคอด้วย มีเสลด ไม่มีไข้ เสียงแห้ง มีน้ำมูกใส
หมอเอาไม้ดันลิ้นลูก ดูช่องปาก บอกว่าคอแดง ๆ ได้ยามา 5 อย่าง
Nac Long, Maxiphed, Difflam, Zithromax, Telfast สามพันสี่ร้อยกว่าบาท
แม่ (ดิฉันเอง) บอกว่าอาการใกล้ ๆ กัน หมอไม่ดูช่องปาก ช่องคอแม่เลย จัดยามาแบบเดียวกันเป๊ะ ราคาเดียวกัน
ที่ดิฉันตั้งข้อสังเกตและแปลกใจคือ จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เวลาป่วยอะไรทำนองนี้ หมอดูคอ ดูลิ้นอย่างละเอียด
จ่ายยาเท่าที่จำเป็นจริง ๆ บอกให้กินน้ำมาก ๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น รีบนอน พักผ่อนเยอะ ๆ
ถ้าเพิ่งเป็น บางทีหมอจะประเมินก่อน จ่ายยาน้อย ๆ ถ้าหาย ก็แล้วไป ถ้าไม่หาย มาเจอกันใหม่
ส่วนใหญ่จะเป็นตามคลินิก (ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดนะคะ) แล้วก็หายอย่างที่หมอบอกจริง ๆ
มาเจอหมอรุ่นใหม่ ๆ ได้ยามาทีเป็นถุง ๆ ซองอะไรยุ่บยั่บเต็มไปหมด เลยอดคิดไม่ได้ว่ามันควรจะเป็นแบบนี้จริงหรือ ?
เรามีสิทธิไหม หรือจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไหม ถ้าเราจะบอกคุณหมอว่า
1. เรายินดีจ่ายค่าปรึกษาหมอ แต่รบกวนคุณหมอเขียนรายการใบสั่งยาได้ไหมคะว่า ถ้ามีไข้ ให้กินพารา (ซึ่งที่บ้านอาจมีอยู่แล้ว)
2. ถ้าน้ำมูกไหล ให้กินตัวนี้ ตัวนั้น (ถ้ามีอยู่แล้ว หมอไม่ต้องจ่าย) หรือถ้าไม่มี จะซื้อข้างนอกก็ได้ อาจจะถูกกว่า หรือ หากสะดวกซื้อในโรงพยาบาล ก็มีบริการ
เพราะลองพิเคราะห์ดู ถ้าเป็นหวัดหรือเจ็บคอเริ่มที่ 3 พันถึง 5 พันกว่าบาท พวกแรงงานขั้นต่ำหรือพวกที่จบใหม่ ๆ คงหาหมอไม่ไหวแน่ ๆ
ปล. วันก่อนอ่านในโพสต์ของพญ.ลลิตา เลยทำให้นึกอยากมาตั้งกระทู้นี้ด้วยค่ะ
ขออนุญาตเอามาแชร์
พญ.ลลิตา ธีระสิริ November 13 at 5:37 AM
จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอนยุคใหม่
•สมัยก่อน
ปู่ย่าตายาย มีลูกหัวกันปีท้ายปี ไม่มีวิธีคุมกำเนิด
แต่ละครอบครัวมีลูก 8-10 คน มากกว่านี้ก็มี
•สมัยนี้
ผู้คนมีลูกยากโดยเฉพาะรายที่มีอันจะกิน
ต้องผสมเทียม ทำเด็กหลอดแก้ว
สนนราคาแพงนั้นระยับ
บางคนจ่ายไป เจ็ดแปดแสน
บางคนหมดเป็นล้าน จึงจะได้ลูกมาเชยชม
•สมัยก่อน
คนโบราณคลอดลูกที่บ้าน
ตามแม่หมอตำแยมาทำคลอด
เสียค่ายกครูไม่กี่บาท
ก็เห็นรอด ๆ กันมาได้
•สมัยนี้
พึ่งหมอดู หาฤกษ์หามยามดี ผ่าคลอดที่รพ.
ใช้แพ็คเกจ แสนสอง ไม่รวมค่าดูแลเด็กแรกคลอด
•สมัยก่อน
เด็กเป็นไข้หวัด
พ่อแม่เช็ดตัวให้ นอนกินพารากับยาแก้หวัด
ไม่ต้องไปรร. หลังจากนั้นไอค็อกไอแค็ก เป็นเดือนก็หายเอง ไม่เสียสตางค์กี่บาท
ถ้าไข้สูงอย่างมากก็ไปหาหมอที่คลีนิก ฉีดยา เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาท แค่นั้น
•สมัยนี้
เด็กเป็นไข้หวัด ไปรพ.
เจ้าหน้าที่ถามว่ามีประกันไหม ถ้ามี ..แอดมิททันที
เป็นไวร้สเอ ไวรัสบี กลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออกสารพัดจะตรวจ เป็นโน่นนี่นั่น ให้น้ำเกลือ ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้น พ่นยา
นอนรพ.สามวันหมดไปสามหมื่น
มีอยู่รายหนึ่งวินิจฉัยว่า RSV
ยังไอก็ให้อยู่รพ.ไปก่อน
กว่าจะหายไอ หมดไปหกหมื่นกว่า
•สมัยก่อน
แผลมีดบาดในครัว
ป้าฉันเอาสบู่ล้าง เช็ดให้แห้ง
สั่งน้าชายให้ปีนไปเอารังแมงมุมบนเพดานมาหุ้มนิ้วไว้ ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ สามสี่วันแผลก็ปิด
เจ็ดวันตกสะเก็ด ไม่เสียสตางค์สักบาท
•สมัยนี้
แผลมีดบาด ไปโรงพยาบาล เย็บแผลไปเข็มนึง
ฉีดยากันบาดทะยัก ได้ยาปฏิชีวนะ
ถูกสั่งไปล้างแผลทุกวัน
กว่าจะตัดไหมเบ็ดเสร็จรวมค่าเดินทางหมดไปเกือบแปดพัน
•สมัยก่อน
สว.เป็นลม คนในบ้านจะนวดเฟ้น ดมยาลมยาหม่อง กินยาหอม นอนพักฟื้นขึ้นมาก็หาย
•สมัยนี้
เป็นลมเหรอ เข้าไอซียู นอนไปคืนหนึ่ง ตรวจสารพัด หมดไปสามหมื่นกว่า
มีรายการตรวจอีกยาวเหยียด ถามราคาแล้วพาลจะเป็นลมอีกรอบ บางคนเลยไม่ตรวจซะดื้อ ๆ ออกมาไม่เห็นเป็นอะไร ออกมาเล่าให้เพื่อนชราด้วยกันฟัง เพื่อนบอกว่า '"ยังดี วันเดียวกูหมดไปเกือบห้าหมื่น รายการตรวจออกมาปกติหมด"
•สมัยก่อน
แก่แล้ว เป็นโรคลมปัจจุบันนอนตายสงบอยู่กับบ้าน
มรดกที่เหลือยกให้ลูกหลาน
•สมัยนี้
แก่แล้วเข้ารพ.
ลูกที่ไม่เคยอยู่กับพ่อแม่มาก่อน มาจากไหนไม่รู้
เกิดกตัญญูแรงกล้า สั่งหมอให้ทุ่มสุดความสามารถ เสียเท่าไรเท่ากัน ยื้อชีวิตเอาไว้ให้ได้
มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาแปะขายก๋วยเตี๋ยว
ลูกสั่งให้หมอดูแล แต่สตางค์อาแปะจ่าย
สุดท้าย หมดไปหกล้าน นั่นคือเงินเก็บทั้งชีวิตของอาแปะ พอหมดเงินอาแปะตายพอดี
แล้วมีประโยชน์อะไร
แมวบ่นได้คำเดียวว่า
"เฮ้อออออ กว่าจะตายได้หมดไปกี่ล้าน"