เดือนธันวาคม ภาพยนตร์ที่เราอยากดูหลายเรื่องเข้าโรงภาพยนตร์กันแบบรัวๆ ตอนนี้เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะดูอะไรก่อน หลังจากหายไข้เราก็เลือก Ford v Ferrari พอได้อ่านชื่อแล้ว รู้สึกว่ามาขายรถแน่ เอ้า ขายก็ขายไหนลองดูกันหน่อยสิวะ 2 ยี่ห้อนี้ ใครจะน่าซื้อกว่ากัน จัดไป
Ford v Ferrari ภาพยนตร์ที่มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 32 นาที นำเสนอภาพในยุค 60s เรื่องราวของบริษัทฟอร์ด ที่อยากจะทำรถในสายแข่งขันความเร็ว Racing อะไรทำนองนั้น โดยได้แครรอล แชลล์บี้ อดีตนักแข่งรถชาวอเมริกาเพียงคนเดียวที่เคยชนะรายการแข่งขัน 24 Hours of Le Mens มาเป็นหัวหน้าทีมทำรถ ทุนไม่อั้น ทำรถให้เจ๋ง ปรับเครื่องให้เร็ว เพราะเป้าหมายที่ฟอร์ดอยากฟาดให้ตกคือ Ferrari แชลบี้ถูกกดดัน และต่อสู้เพื่อจะให้เพื่อนรัก นักแข่งตีผี(นิสัยก็ผี)อย่างอิตาเคน ไมลล์มาเป็นคนขับรถคันละ 9 ล้านที่เขาและทีมบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก อุปสรรคที่เกิดจากคนภายในองค์กรฟอร์ด ความกดดันจากการแข่งขันที่ต้องขับรถวนอยู่ในสนาม 24 ชั่วโมง (เปลี่ยนมือได้ทุก 4 ชั่วโมง) ทีมเวิร์ค มิตรภาพ และกลยุทธทั้งภายในและภายนอกองค์กรจึงเป็นธีมหลักของเรื่องค่ะ
แม้ว่าเรื่องย่อที่เล่ามาจะดูน่าเบื่อนิดหน่อย เหมือนเราเคยดูหนังประมาณนี้มาแล้วหลายรอบ แต่การแสดงของ 2 หนุ่ม นักแสดงคนเก่งผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสก้า Matt Demon ในบทแชลล์บี้ กลับมาในครั้งนี้ ชาวอเมริกาไม่ต้องช่วยเหลืออะไรเขาแล้ว มาดเท่ แต่งตัวเนี๊ยบ ในคาเร็กเตอร์อดีตนักแข่งรถที่ผันตัวมาทำงานวิศวะ ที่เก่งทั้งวาทศิลป์ และการเป็นผู้นำทีมที่ดี ส่วน Christian Bale ในบทเคน ไมลล์ นักแข่งรถเลือดร้อน AKA พิทบูล เราว่าเขาเหมือนพี่น้อยวงพรูมาก อินเนอร์ในเรื่องนะ ฮ่าๆ เล่นได้กวนประสาท และเหม็นกลิ่นน้ำมันรถออกมาเลยอ่ะ มันเลอะเทอะไปหมด ตอนนี้ได้เข้าชิง Golden Globe แล้วจ่ะ เล่นดีจริง ไปดูเหอะ ฮ่าๆๆ *เพิ่มเติมอีกนิดกับหนุ่มน้อย Noah Jupe ในบทลูกชายของเคน ไมลล์ น้องเป็นนักแสดงเด็กที่น่าจับตามองจริงๆ
ในส่วนของการนำเสนอ หนังเล่าย่อยๆ ออกเป็น 3 กลุ่มคน (แชลล์บี้,ครอบครัวไมลล์,บริษัทรถ) แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกัน ดูง่ายไม่ซับซ้อน ฉากการแข่งรถทั้งหมดทำออกมาได้ดีมาก ยอมรับว่าใจเต้นแรง มันตื่นเต้นแบบมีชั้นเชิงนะ ไม่ใช่แบบมาขับนิดหน่อยให้เราลุ้นว่าจะชนะไหม แต่เขาไล่ไดนามิกความตื่นเต้น เร้าใจคนดูให้เขาไปนั่งในรถคันเดียวกับไมลล์เลย เราว่าเด็กผู้ชายน่าจะชอบเรื่องนี้กันเยอะนะ เพราะนอกจากจะได้ดูการแข่งรถแล้ว ยังเปิดโอกาสให้พวกคุณๆ ได้จินตนาการกันด้วยว่าหากได้ทำรถที่เป็นของเราเอง ในงบที่ไม่จำกัด พวกคุณน่าจะสนุกกันอ่ะ ตัวละครเคน ไมลล์ก็น่าจะนำใจพวกคุณ เพราะทั้งเท่และกวนประสาท มันเอาอ่ะ นักเลงจริง และขับรถเก่งสมกับที่คนดูคาดหวัง
ในส่วนของเรานอกจากใจได้เห็นการกำกับภาพที่วางโทนสีได้อย่างสวยงามแล้ว เราค่อนข้างชอบเนื้อเรื่อง Strategy ในการแข่งขัน เดิมทีเราเคยคิดว่าการแข่งกันขับรถมันจะยากอะไร คุณมีรถ คุณก็ขับไปสิ ใครเข้าเส้นชัยก่อนก็ชนะ เราชอบคำพูดในเรื่องที่ว่า “เงินมันซื้อชัยชนะไม่ได้ แต่มันซื้อคนที่ช่วยให้ชนะได้” เงินก็เรื่องหนึ่ง กลยุทธ การโกงนิดๆ ของแชลล์บี้นี่สิ เราว่ามันเป็นลูกเล่นเล็กๆ ที่ทำให้หนังสนุกนะ (การโกงไม่ดีนะคะ โตไปต้องไม่โกงนะเด็กๆ) อีกเรื่องที่เราไปอ่านรีวิวคนอื่นมาแล้วเห็นเขาพูดถึงกันเยอะคือระบบการทำงานของบริษัทฟอร์ดที่วุ่นวายนำมาสู่การพัฒนาที่ล่าช้า โอเคมันก็จริงอะนะ บริษัทออกเงินให้เรา เราก็ต้องฟังเขาถูกไหม บริษัทฯ จึงทำหน้าที่เหมือนเสี้ยนจิ้มก้นให้เราได้รำคาญใจไปพร้อมๆ กับทีมแชลล์บี้อเมริกา แม้ว่าตัวร้ายจะไม่ได้ร้ายจัง เลวที่สุด แต่ก็อย่างที่บอกละค่ะ น่ารำค๊าญญ
สิ่งที่ขอตำหนิ นิดเดียว เพลงประกอบยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่ได้ต้องการให้เพลงมันมันส์แบบพวกโตเกียวดิฟท์หรอกนะคะ แต่เพลงแบบไม่ค่อยเข้ากับเรื่อง พยายามหาเหตุผลก็อาจจะเพราะเป็นยุค 60s ละมั้ง แต่เพลงยุคนั้นเริ่ดๆ ก็เยอะนะ เอ๊ะเถียงกับตัวเองทำไม แค่ไม่ชอบละค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู ท่านได้อ่านแล้วสนใจ รีบไปดูนะคะ อาทิตย์นี้หนังเข้าหลายเรื่อง อาทิตย์หน้าบ้านสกายวอร์คเกอร์เกียมแขนขาดเข้าโรงภาพยนตร์แล้ว เดี๋ยวจะอดดูค่ะ
-------------------------------------------------------
ฝากเพจด้วยนะคะ Facebook : Likeflick ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
Ford v Ferrari : เพราะชัยชนะ ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
เดือนธันวาคม ภาพยนตร์ที่เราอยากดูหลายเรื่องเข้าโรงภาพยนตร์กันแบบรัวๆ ตอนนี้เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะดูอะไรก่อน หลังจากหายไข้เราก็เลือก Ford v Ferrari พอได้อ่านชื่อแล้ว รู้สึกว่ามาขายรถแน่ เอ้า ขายก็ขายไหนลองดูกันหน่อยสิวะ 2 ยี่ห้อนี้ ใครจะน่าซื้อกว่ากัน จัดไป
Ford v Ferrari ภาพยนตร์ที่มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 32 นาที นำเสนอภาพในยุค 60s เรื่องราวของบริษัทฟอร์ด ที่อยากจะทำรถในสายแข่งขันความเร็ว Racing อะไรทำนองนั้น โดยได้แครรอล แชลล์บี้ อดีตนักแข่งรถชาวอเมริกาเพียงคนเดียวที่เคยชนะรายการแข่งขัน 24 Hours of Le Mens มาเป็นหัวหน้าทีมทำรถ ทุนไม่อั้น ทำรถให้เจ๋ง ปรับเครื่องให้เร็ว เพราะเป้าหมายที่ฟอร์ดอยากฟาดให้ตกคือ Ferrari แชลบี้ถูกกดดัน และต่อสู้เพื่อจะให้เพื่อนรัก นักแข่งตีผี(นิสัยก็ผี)อย่างอิตาเคน ไมลล์มาเป็นคนขับรถคันละ 9 ล้านที่เขาและทีมบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก อุปสรรคที่เกิดจากคนภายในองค์กรฟอร์ด ความกดดันจากการแข่งขันที่ต้องขับรถวนอยู่ในสนาม 24 ชั่วโมง (เปลี่ยนมือได้ทุก 4 ชั่วโมง) ทีมเวิร์ค มิตรภาพ และกลยุทธทั้งภายในและภายนอกองค์กรจึงเป็นธีมหลักของเรื่องค่ะ
ในส่วนของการนำเสนอ หนังเล่าย่อยๆ ออกเป็น 3 กลุ่มคน (แชลล์บี้,ครอบครัวไมลล์,บริษัทรถ) แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกัน ดูง่ายไม่ซับซ้อน ฉากการแข่งรถทั้งหมดทำออกมาได้ดีมาก ยอมรับว่าใจเต้นแรง มันตื่นเต้นแบบมีชั้นเชิงนะ ไม่ใช่แบบมาขับนิดหน่อยให้เราลุ้นว่าจะชนะไหม แต่เขาไล่ไดนามิกความตื่นเต้น เร้าใจคนดูให้เขาไปนั่งในรถคันเดียวกับไมลล์เลย เราว่าเด็กผู้ชายน่าจะชอบเรื่องนี้กันเยอะนะ เพราะนอกจากจะได้ดูการแข่งรถแล้ว ยังเปิดโอกาสให้พวกคุณๆ ได้จินตนาการกันด้วยว่าหากได้ทำรถที่เป็นของเราเอง ในงบที่ไม่จำกัด พวกคุณน่าจะสนุกกันอ่ะ ตัวละครเคน ไมลล์ก็น่าจะนำใจพวกคุณ เพราะทั้งเท่และกวนประสาท มันเอาอ่ะ นักเลงจริง และขับรถเก่งสมกับที่คนดูคาดหวัง
ในส่วนของเรานอกจากใจได้เห็นการกำกับภาพที่วางโทนสีได้อย่างสวยงามแล้ว เราค่อนข้างชอบเนื้อเรื่อง Strategy ในการแข่งขัน เดิมทีเราเคยคิดว่าการแข่งกันขับรถมันจะยากอะไร คุณมีรถ คุณก็ขับไปสิ ใครเข้าเส้นชัยก่อนก็ชนะ เราชอบคำพูดในเรื่องที่ว่า “เงินมันซื้อชัยชนะไม่ได้ แต่มันซื้อคนที่ช่วยให้ชนะได้” เงินก็เรื่องหนึ่ง กลยุทธ การโกงนิดๆ ของแชลล์บี้นี่สิ เราว่ามันเป็นลูกเล่นเล็กๆ ที่ทำให้หนังสนุกนะ (การโกงไม่ดีนะคะ โตไปต้องไม่โกงนะเด็กๆ) อีกเรื่องที่เราไปอ่านรีวิวคนอื่นมาแล้วเห็นเขาพูดถึงกันเยอะคือระบบการทำงานของบริษัทฟอร์ดที่วุ่นวายนำมาสู่การพัฒนาที่ล่าช้า โอเคมันก็จริงอะนะ บริษัทออกเงินให้เรา เราก็ต้องฟังเขาถูกไหม บริษัทฯ จึงทำหน้าที่เหมือนเสี้ยนจิ้มก้นให้เราได้รำคาญใจไปพร้อมๆ กับทีมแชลล์บี้อเมริกา แม้ว่าตัวร้ายจะไม่ได้ร้ายจัง เลวที่สุด แต่ก็อย่างที่บอกละค่ะ น่ารำค๊าญญ
สิ่งที่ขอตำหนิ นิดเดียว เพลงประกอบยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่ได้ต้องการให้เพลงมันมันส์แบบพวกโตเกียวดิฟท์หรอกนะคะ แต่เพลงแบบไม่ค่อยเข้ากับเรื่อง พยายามหาเหตุผลก็อาจจะเพราะเป็นยุค 60s ละมั้ง แต่เพลงยุคนั้นเริ่ดๆ ก็เยอะนะ เอ๊ะเถียงกับตัวเองทำไม แค่ไม่ชอบละค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู ท่านได้อ่านแล้วสนใจ รีบไปดูนะคะ อาทิตย์นี้หนังเข้าหลายเรื่อง อาทิตย์หน้าบ้านสกายวอร์คเกอร์เกียมแขนขาดเข้าโรงภาพยนตร์แล้ว เดี๋ยวจะอดดูค่ะ
-------------------------------------------------------
ฝากเพจด้วยนะคะ Facebook : Likeflick ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ