สวัสดีฮ่ะ ชาวพันทิป
เนื่องจากเราเป็นคนธรรมดาคนนึง ที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานบริการโดยเฉพาะแผนกต้อนรับ ก่อนที่ผมจะเข้าทำงานที่แรกนี้ ผมเองก็มีเชื้ออยู่แล้ว ในตอนแรก ก็กังวลว่าจะตรวจไหม สรุปไม่ต้องตรวจ H ก่อนเข้าทำงาน ซึ่ง รร สวัสดิการค่อนข้างดี SVC 8500-พีคๅก็ 24,000 ครับ ซึ่งน่าพอใจเลยในระดับนึง แต่เมื่อ รร อื่นมี SVC ในช่วงพีค 35,000-45,000 แบบนี้ความต้องการที่เราอยากจะมีเงินก็มากขึ้น จึงลองไปสมัครและสัมภาษณ์เลย และทาง Head department & HR ก็ให้ตกลงทำงานในเดือนนั่นเลน ซึ่งเขาส่งผลตรวจสุขภาพ และเอกสารตรวจประวัติ ในใบตรวจสุขภาพแจ้งแค่ โปรแกรมไหน แต่ไม่มีรายละเอียดการตรวจ ซึ่งเมื่อไปถึง รพ จนท พยาบาล ให้เซ็นยินยอมเปิดเผยการตรวจ H ก่อนพบหมอ (ในใจคือรู้ชะตากรรมแล้วว่าไม่ได้แน่นอน) พยาบาลถามว่า มี โรคประจำตัวไหมคะ เราก็ตอบว่า ไม่มีครับ จนหมอถามอีกรอบก่อนไปเจาะเลือด ตอนนั่นอยู่กับ หมอ 2 คน เราก็ตัดสินใจบอกไปเลยว่ามี เชื้อครับ หมอก็จับมือแล้วบอกว่า ไม่เป็นไรน่ะครับ แล้วเราจะทำยังไงกันดี ผมก็เลยถามหมอไปว่า มีหลายโรงแรมหรอครับที่ต้องการผลตรวจ H นี้ หมอบอกว่า บางทีทก็ต้องการ แต่บางที่ก็ไม่ต้องการ หมอบอกว่าโอเคไหม (ในใจอยากจะบอกให้หมอช่วยเรื่องผลเลือด) เพราะผมเองเป็นเสาหลักของครอบครัว ที่ต้องดูแล แต่ผมเองก็ได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า ขอบคุณมากน่ะครับ แล้วก็ออกจากห้องตรวจไป จนวันมารับผล เจ้าหน้าที่ พยาบาล นำผลมาแจ้งกับเราก่อนที่เราจะเอาผลไปส่ง ทาง รพ บอกว่าสุขภาพทุกอย่างดีน่ะ ตับ ไต ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดปกติ ปอด หัวใจ ทุกอย่างปกติ แต่ มีเชื้อ H อันนี้เรารู้มาก่อนไหม เราตองกลับไปว่าทราบอยู่แล้ว แล้วรักษามา 2-3 ปีแล้ว พยาบาลก็บอก สุขภาพคุณดีมาก แต่แอบเสียดาย (พยาบาลก็บ่น ว่าทำไมทาง รร ต้องการผลเลือดตัวนี้ ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ ทำงานแผนกต้อนรับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย ) พยาบาลบอกว่า สู้ๆน่ะ สักวันนึงคงมี พรบ. ที่สามารถคุ้มครองสิทธิ์ตรงนี้ได้ 100% เราเลยขอบคุณมาก และได้แต่กอดผลกลับบ้านพร้อมน้ำตาอีกครั้ง
#ปล. โชคยังดีที่ยังไม่ได้ลาออกจากที่เก่า ไม่งั้นล่ะก็ คงเคลียดมาก ที่จะทำไงถึงจะได้ดูแลครอบครัวได้ดีที่สุด
เพราะทุกวันนี้ เราอายุเพียง 22 จบมาได้ 1 ปี มีเงินในระดับปานกลางจากเงินเดือน ดูแลค่าใช้จ่าย ค่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ให้น้องชายไป โรงเรียน ที่บ้านแยกทางกัน จึงมีแค่เราที่ต้องดูแลน้องและแม่ แต่โชคดีที่แม่รู้ผลและเขายังรักเราและเป็นห่วงเราเสมอมา เขาบอให้เราสู้ เราก็สู้ แต่ในบางครั้งเราก็อยากพาท่านไปเที่ยว กินของอร่อยๆ ซื้อของที่ท่านอยากได้ แต่เหมือนเราทำได้แค่ฝัน เพราะทุกวันนี้เงินเหลือติดบัญชีแค่ 2-3000/ เดือนเท่านั่นเอง
#อยากวอนผู้ที่เกี่ยวข้อง
อยากให้พวกองค์กรของคุณ ได้ตระหนักถึงความลำบาก หรือ อยากให้มองตรงการทำงานมากกว่าผลตรวจสุขภาพโดยเฉพาะ H โอเคถ้ามีโรคแทรกซ้อน ร้ายแรง อันนี้ว่ากันได้ แต่บางควทุกอย่สงดีหมด แต่แค่ผลH+ แค่นั่นเอง หากองค์กรของคุณไม่ลองให้โอกาสพวกเขาได้ทำงาน ผมถามจริงๆ พวกเขาจะมีกำลังใจอะไร พวกเขาจะมีเงินที่ไหนเพื่อรักษาตัวเอง และพวกเขาจะมีความสุขกับรอบยิ้มได้มากเพียงใจ หากพวกคุณยังตัดสินพวกเขาจากเพียงแค่ผล Hiv
ขอบคุณมากครับ
โรงแรม 5 ดาว ต้องการผลตรวจ HIV ก่อนเข้าทำงาน !!!
เนื่องจากเราเป็นคนธรรมดาคนนึง ที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานบริการโดยเฉพาะแผนกต้อนรับ ก่อนที่ผมจะเข้าทำงานที่แรกนี้ ผมเองก็มีเชื้ออยู่แล้ว ในตอนแรก ก็กังวลว่าจะตรวจไหม สรุปไม่ต้องตรวจ H ก่อนเข้าทำงาน ซึ่ง รร สวัสดิการค่อนข้างดี SVC 8500-พีคๅก็ 24,000 ครับ ซึ่งน่าพอใจเลยในระดับนึง แต่เมื่อ รร อื่นมี SVC ในช่วงพีค 35,000-45,000 แบบนี้ความต้องการที่เราอยากจะมีเงินก็มากขึ้น จึงลองไปสมัครและสัมภาษณ์เลย และทาง Head department & HR ก็ให้ตกลงทำงานในเดือนนั่นเลน ซึ่งเขาส่งผลตรวจสุขภาพ และเอกสารตรวจประวัติ ในใบตรวจสุขภาพแจ้งแค่ โปรแกรมไหน แต่ไม่มีรายละเอียดการตรวจ ซึ่งเมื่อไปถึง รพ จนท พยาบาล ให้เซ็นยินยอมเปิดเผยการตรวจ H ก่อนพบหมอ (ในใจคือรู้ชะตากรรมแล้วว่าไม่ได้แน่นอน) พยาบาลถามว่า มี โรคประจำตัวไหมคะ เราก็ตอบว่า ไม่มีครับ จนหมอถามอีกรอบก่อนไปเจาะเลือด ตอนนั่นอยู่กับ หมอ 2 คน เราก็ตัดสินใจบอกไปเลยว่ามี เชื้อครับ หมอก็จับมือแล้วบอกว่า ไม่เป็นไรน่ะครับ แล้วเราจะทำยังไงกันดี ผมก็เลยถามหมอไปว่า มีหลายโรงแรมหรอครับที่ต้องการผลตรวจ H นี้ หมอบอกว่า บางทีทก็ต้องการ แต่บางที่ก็ไม่ต้องการ หมอบอกว่าโอเคไหม (ในใจอยากจะบอกให้หมอช่วยเรื่องผลเลือด) เพราะผมเองเป็นเสาหลักของครอบครัว ที่ต้องดูแล แต่ผมเองก็ได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า ขอบคุณมากน่ะครับ แล้วก็ออกจากห้องตรวจไป จนวันมารับผล เจ้าหน้าที่ พยาบาล นำผลมาแจ้งกับเราก่อนที่เราจะเอาผลไปส่ง ทาง รพ บอกว่าสุขภาพทุกอย่างดีน่ะ ตับ ไต ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดปกติ ปอด หัวใจ ทุกอย่างปกติ แต่ มีเชื้อ H อันนี้เรารู้มาก่อนไหม เราตองกลับไปว่าทราบอยู่แล้ว แล้วรักษามา 2-3 ปีแล้ว พยาบาลก็บอก สุขภาพคุณดีมาก แต่แอบเสียดาย (พยาบาลก็บ่น ว่าทำไมทาง รร ต้องการผลเลือดตัวนี้ ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ ทำงานแผนกต้อนรับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย ) พยาบาลบอกว่า สู้ๆน่ะ สักวันนึงคงมี พรบ. ที่สามารถคุ้มครองสิทธิ์ตรงนี้ได้ 100% เราเลยขอบคุณมาก และได้แต่กอดผลกลับบ้านพร้อมน้ำตาอีกครั้ง
#ปล. โชคยังดีที่ยังไม่ได้ลาออกจากที่เก่า ไม่งั้นล่ะก็ คงเคลียดมาก ที่จะทำไงถึงจะได้ดูแลครอบครัวได้ดีที่สุด
เพราะทุกวันนี้ เราอายุเพียง 22 จบมาได้ 1 ปี มีเงินในระดับปานกลางจากเงินเดือน ดูแลค่าใช้จ่าย ค่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ให้น้องชายไป โรงเรียน ที่บ้านแยกทางกัน จึงมีแค่เราที่ต้องดูแลน้องและแม่ แต่โชคดีที่แม่รู้ผลและเขายังรักเราและเป็นห่วงเราเสมอมา เขาบอให้เราสู้ เราก็สู้ แต่ในบางครั้งเราก็อยากพาท่านไปเที่ยว กินของอร่อยๆ ซื้อของที่ท่านอยากได้ แต่เหมือนเราทำได้แค่ฝัน เพราะทุกวันนี้เงินเหลือติดบัญชีแค่ 2-3000/ เดือนเท่านั่นเอง
#อยากวอนผู้ที่เกี่ยวข้อง
อยากให้พวกองค์กรของคุณ ได้ตระหนักถึงความลำบาก หรือ อยากให้มองตรงการทำงานมากกว่าผลตรวจสุขภาพโดยเฉพาะ H โอเคถ้ามีโรคแทรกซ้อน ร้ายแรง อันนี้ว่ากันได้ แต่บางควทุกอย่สงดีหมด แต่แค่ผลH+ แค่นั่นเอง หากองค์กรของคุณไม่ลองให้โอกาสพวกเขาได้ทำงาน ผมถามจริงๆ พวกเขาจะมีกำลังใจอะไร พวกเขาจะมีเงินที่ไหนเพื่อรักษาตัวเอง และพวกเขาจะมีความสุขกับรอบยิ้มได้มากเพียงใจ หากพวกคุณยังตัดสินพวกเขาจากเพียงแค่ผล Hiv
ขอบคุณมากครับ