สวอนซี แจ๊ค Swansea Jack
.
สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์
เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”
บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)
บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก
บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆเรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์
ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้
มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก”
บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์
บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog
บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน
จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน
โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง
.
บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง
นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา
เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่
มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการ เมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย
บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus
ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง
แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในวันต่อมามีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน
.
สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์
ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ… จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส
ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง
แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด
บาร์รี่ Barry
เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส
ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น
ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19
การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด
.
บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โอว์นีย์ Owney
เชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์เพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป
.
หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ
และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี
.
ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย
พิกเคิ้ลส์ Pickle
ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ
ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ
ในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป
.
สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก
พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย
ฟีโด้ Fido
ฟิโด้เกิดที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพย่ำแย่โดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมันทุกๆวัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์
แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิมทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี
เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา
.
ที่มา : offtheleashdogcartoons , marketdogs
Cr.dog-vs-cat.com/
เบลลี่ย์เกิดใหม่อีกครั้ง และเป้าหมายของมันคือได้พบกับอีธานอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้เห็นพลังของความรักที่ไร้เงื่อนไขระหว่างสุนัขและเจ้าของ
Cr. cwatchthemovies
สุดยอดสุนัขในอดีต ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก
.
สวอนซี แจ๊คเป็นรีทรีฟเวอร์สีดำที่อาศัยอยู่กับเจ้านายของมันวิลเลียม โทมัสใกล้ๆ แม่น้ำเทว ในเมืองสวอนซี รัฐเวลล์ วันหนึ่ง ในช่วงปี 1930 แจ๊คเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะจมน้ำในแม่น้ำ มันวิ่งตรงไปดึงคอเสื้อเด็กชายคนนั้นขึ้นฝั่ง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ แต่แจ๊คก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แจ๊คได้ช่วยชีวิตนักว่ายน้ำอีกคนหนึ่งเอาไว้ คราวนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย และมันก็ได้ช่วยอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ ในช่วงเวลาอีก 10 ปีต่อจากนั้น มีรายงานว่าแจ๊คได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 27 คน จากแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่อันตรายที่สุดในเวลล์
เพื่อเป็นการตอบแทบความพยายามชั่วชีวิตของมัน แจ๊คได้รับปลอกคอเงินจากสภาเมืองสวอนซี รางวัลหมาที่กล้าหาญที่สุดแห่งปี ถ้วยเงินจากนายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน และอนุสาวรีย์ของมันเอง แจ๊คยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของทีมพรีเมียร์ลีกประจำเมืองสวอนซี “สวอนซีแจ๊ค”
บัมเซ่ Bamse (St. Bernard)
บัมเซ่เป็นเซนต์เบอร์นาร์ดประจำเรือกวาดทุ่นระเบิดของนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่ากอด และชื่อบัมเซ่ของมันก็หมายถึง “หมีน่ากอด” ในภาษานอร์เวย์ แต่มันก็เป็นหมาที่ทรหดอดทนมาก
บัมเซ่ได้กลายมาเป็นตำนานของเมืองดันดีและเมืองนอมโตรซ ที่ๆเรือจอดประจำการอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันขึ้นรถประจำทางตามลำพังโดยมีบัตรขึ้นรถผูกติดอยู่ที่คอ เพื่อไปตามเหล่ากะลาสีเรือที่เมาแอ๋ให้กลับขึ้นเรือ และป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นไปต่อยตีกับคนอื่นในบาร์
ครั้งหนึ่ง มันได้ช่วยลูกเรือที่ตกลงไปในน้ำด้วยการลากเขาไปยังจุดปลอดภัย มันยังช่วยลูกเรืออีกคนหนึ่งจากศัตรู ด้วยการพุ่งเข้าชนฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลงน้ำ บัมเซ่ไม่ได้เป็นแค่ฮีโรนักสู้
มันยังเป็นนักสงบศึกอีกด้วย มีรายงานว่าเมื่อเหล่ากะลาสีบนเรือทะเลาะกัน มันจะบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยการยืนบนขาหลัง และใช้ขาหน้ายันไหล่พวกเขาเอาไว้ราวกับจะบอกว่า “ใจเย็นๆ นะ สู้กันไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก”
บัมเซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสก็อตแลนด์ที่เรือจอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ทุกๆ ช่วงคริสต์มาส มันจะถูกจับแต่งตัวด้วยหมวกกะลาสีใบน้อยแล้วถ่ายรูปเพื่อนำไปทำโปสการ์ด และใช้ส่งไปหาญาติๆ ของเหล่าลูกเรือที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์
บ๊อบ หมาทางรถไฟ Bob the Railway Dog
บ๊อบเกิดที่ออสเตรเลียใต้ในปี 1882 และด้วยเหตุผลบางอย่าง มันชอบรถไฟมาก มันใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ของชีวิตเป็นหมาจรจัด คอยเดินตามคนงานประจำรางรถไฟไปทำงาน
จนกระทั่งถูกคนจับหมาจับตัวไป มันเกือบต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว แต่โชคดีที่นายสถานีผู้ใจดีที่ชื่นชอบมันได้ซื้อตัวบ๊อบเอาไว้ เจ้านายคนใหม่ของมันอนุญาตให้บ๊อบขึ้นรถไฟไปกับเขาด้วยทุกวัน
โดยให้มันจะอยู่ในตู้รถไฟสำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลรถไฟ แต่ในท้ายที่สุด เจ้านายของมันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และเขากับบ๊อบก็จำเป็นต้องแยกทางกัน หลังจากนั้น บ๊อบก็เริ่มขึ้นรถไฟออกเดินทางไปตามลำพัง
.
บ๊อบเดินทางไปทั่วออสเตรเลียใต้ มันกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยและน่ายินดีของทุกคนที่อยู่บนรถไฟข้ามประเทศ บางครั้ง เมื่อบ๊อบต้องการอยู่ตามลำพัง มันก็จะไปอยู่ในตู้รถไฟที่ว่างเปล่า และขับไล่ผู้โดยสารที่พยายามจะเข้าไปนั่งให้กลัวจนหนีไปด้วยการเห่าอย่างบ้าคลั่ง
นายสถานีและผู้ดูแลสถานีทุกคนรู้จักชื่อของมัน พวกเขาจึงปล่อยให้มันเดินทางตามใจชอบ ในตอนกลางคืน มันจะตามคนขับรถไฟกลับบ้านไปกินอาหารอุ่นๆ และนอนในที่นอนนุ่มๆ และกลับมาขึ้นรถไฟอีกครั้งในเช้าวันต่อมา
เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต บ๊อบไปในที่ๆ มันอยากไป และมีชื่อเสียงที่โด่งดัง มันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ และได้รับสร้อยสั่งทำพิเศษที่มีชื่อของมันติดอยู่
มีการสลักบอกคนที่อ่านข้อความนี้ว่า ให้ปล่อยบ๊อบไปในที่ๆ มันต้องการ เมื่อเด็กๆ ในแต่ละท้องที่เห็นบ๊อบนั่งรถไฟมา พวกเขาก็จะวิ่งตามมันราวกับว่ามันเป็นดาราดัง บ๊อบผ่านการผจญภัยมากมายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ ของมัน และจบชีวิตลงด้วยการเป็นหมาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย
บัมเมอร์กับลาซารัส Bummer and Lazarus
ในช่วงปี 1830 หมาจรจัด 2 ตัวที่ชื่อว่าบัมเมอร์และลาซารัส สามารถวิ่งไปทั่วเมืองซานฟราซิสโกได้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นหมาจรจัดตัวอื่นๆ จะถูกจับไปทำล้ายทิ้ง
แต่บัมเมอร์และลาซารัสนั้นต่างออกไป พวกมันคือดารา หนังสือพิมพ์รายวันรายงานข่าวกิจวัตรประจำวันของพวกมันราวกับว่าพวกมันคือดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าพวกมันต่อสู้กับหมาตัวอื่น หนังสือพิมพ์มักจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในวันต่อมามีการลงคำให้การของพยานและภาพวาดการ์ตูนประกอบข่าวที่เร้าใจ แม้แต่ มาร์ก ทเวนก็ยอมพักมือจากการเขียนเรื่อง Huckleberry Finn เพื่อมาเขียนถึงพวกมัน
.
สาเหตุที่มันเป็นที่รักของสาธารณชนก็คือ ความรักความผูกพันของพวกมันทั้ง 2 ตัว บัมเมอร์เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นหมาข้างถนนที่แข็งแกร่งและคอยร้องขออาหารจากคนจนได้ชื่อว่า บัมเมอร์
ในขณะที่หมาเร่ร่อนอีกตัวเพิ่งมาถึงเมืองและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนที่เห็นเหตุการณ์คิดว่ามันกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ… จนกระทั่งบัมเมอร์วิ่งเข้ามาช่วยต่อสู้จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไป บัมเมอร์ ช่วยพยาบาลหมาตัวที่บาดเจ็บจนหายดี คนจึงเรียกหมาตัวนี้ว่าลาซารัส
ตำนานของพวกมันดำเนินต่อไปและทุกๆ มีการรายงานเรื่องราวมิตรภาพของหมาทั้งสองอยู่เสมอ เมื่อบัมเมอร์ถูกยิงที่ขาแต่ลาซารัสไม่ได้อยู่ช่วยดูแลมัน คนทั้งเมืองก็ด่าทอลาซารัส ความชื่นชอบอันแปลกประหลาดของสื่อดำเนินต่อไปจนกระทั่งหมาทั้งสองตัวตายลง
แต่ก็ยังมีการตีพิมพ์เรื่องของพวกมันอยู่หลังจากนั้น โดยหนังสือพิมพ์แต่ละหัวได้หันมาโจมตีกันเองว่าอีกฝ่ายลงข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของหมาทั้งสองตัวผิด
บาร์รี่ Barry
เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมาที่ได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้ที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมาคือเหล่าพระที่อารามเซนต์เบอร์นาร์ดพาส
ซึ่งเป็นเขตแบ่งดินแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์และอิตาลีที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยหิมะเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางที่หลงทางและถูกฝังอยู่ในกองหิมะ พวกมันจะออกเดินทางเป็นคู่ เพื่อที่เมื่อพวกมันพบผู้เคราะห์ร้าย หมาตัวหนึ่งจะได้ขุนคนๆ นั้นขึ้นมาแล้วนั่งเป็นเพื่อนเพื่อให้ความอบอุ่น
ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะกลับไปที่อารามเพื่อขอความช่วยเหลือ ที่นี่เองเราจะได้พบกับบาร์รี่ เซนต์เบอร์นาร์ดที่ช่วยชีวิตคนกว่า 40 ชีวิตตลอดช่วงอายุขัย 12 ปีของมันในต้นศตวรรษที่ 19
การช่วยเหลือที่โด่งดังมากที่สุดคือการช่วยเหลือเด็กเล็กคนหนึ่งที่หายตัวไป และติดอยู่ในชั้นน้ำแข็งที่พร้อมจะถล่มลงมาทุกเมื่อ เบอร์รี่เข้าไปถึงตัวเด็กชายจนได้ มันปลุกเขาขึ้นมา และช่วยรักษาความอบอุ่นให้จนกระทั่งทีมช่วยเหลือมาถึง แต่แม้เมื่อทีมช่วยเหลือมาถึงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปพาตัวทั้งสองออกมาได้ บาร์รี่จึงให้เด็กชายปีนขึ้นหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาไปสู่ความปลอดภัยทีละนิด ทีละนิด
.
บาร์รี่เป็นหมากู้ชีพที่มีประสิทธิภาพมากจนแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ก็จะมีหมาตัวหนึ่งในอารามที่ชื่อว่าเบอร์รี่อยู่เสมอ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงทำกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โอว์นีย์ Owney
เชื่อกันว่าเจ้าของเดิมของโอว์นีย์เป็นพนักงานไปรษณีย์เพราะโอว์นีย์รักกลิ่นและสัมผัสของถุงไปรษณีย์มาก มันติดตามถุงเหล่านั้นไปทั้งทางบก ทางรถไฟ หรือทางเรือ ในทุกๆ ที่ที่ถุงเหล่านี้ได้เดินทางไป เมื่อเจ้าของของโอว์นีย์จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่มีการระบุถึง โอว์นีย์ก็ยังคงอยู่กับถุงไปรษณีย์สุดที่รักของมัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ต่อไป
.
หลังจากนั้นไม่นาน โอว์นีย์ก็เริ่มเดินทางตามถุง เริ่มจากในรถขนไปรษณีย์คันเล็กๆ จากนั้นก็เป็นรถไฟขนไปรษณีย์ มันเริ่มเดินทางไกลขึ้นเรื่อยๆ จนได้เดินทางไปทั่วเขตที่มันอยู่ จากนั้นก็ทั่วรัฐ
และในที่สุดมันก็ไปทั่วสหรัฐอเมริกา พนักงานไปรษณีย์เต็มใจปล่อยให้มันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า รถไฟขบวนที่โอวนีย์ขึ้นจะไม่ประสบอุบัติเหตุเลย ทำให้โอว์นีย์กลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี
.
ดังนั้น พวกเขาจึงทำเครื่องประดับและเหรียญตราอันเล็กๆ ติดปลอกคอของมันเพื่อเป็นของที่ระลึกถึงที่ๆ มันเคยไป เมื่อมันเดินทางมากเสียจนเหรียญเหล่านี้ไม่มีสามารถติดบนปลอกคอได้อีก มันก็ได้รับเสื้อแจ๊คเก๊ตมาใส่แทน โอว์นีย์ได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ทั้งขาไปและขากลับ และยังมีแสตมป์เป็นของตัวเองอีกด้วย
พิกเคิ้ลส์ Pickle
ปี 1966 คือปีที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นที่อังกฤษ และทางประเทศอังกฤษก็ถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เหตุผลที่ทุกคนดูจริงจังกับเรื่องก็อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจะชนะ และพวกเขาชนะ
ดังนั้น เมื่อถ้วยฟุตบอลโลกถูกขโมยไปเพียง 4 เดือนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น การที่ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ทุกฝ่ายรีบร้อนตามหาถ้วยฟุตบอลโลกกลับคืนมาเพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้าระดับนานาชาติ
ในที่สุด คนที่หาถ้วยใบนี้พบก็คือหมาพันธุ์คอลลี่ที่กล้าหาญชื่อว่า พิกเคิ้ลส์ มันกำลังอยู่ระหว่างออกไปเดินเล่นกับเจ้านาย เมื่อมันเข้าไปดมอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ และแน่นอนว่าสิ่งที่พิกเคิ้ลส์พบก็คือถ้วยฟุตบอลโลกที่หายไป
.
สิ่งที่ตามมาจากการที่พิกเคิ้ลส์หาถ้วยพบคือ มันมีชื่อเสียงโด่งดังลั่นฟ้า มันได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อต่างๆ ในฐานะของหมาฮีโร่ที่ช่วยประเทศเอาไว้จากความขายหน้าระดับโลก
พิกเคิ้ลส์ยังได้ไปงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน ที่ๆ มันได้รับกระดูกและเช็คมูลค่ากว่า 1,000 ปอนด์ หลังจากนั้นมันยังได้เป็นดาราในรายการทีวีหลายรายการ และได้เล่นหนังอีกด้วย
ฟีโด้ Fido
ฟิโด้เกิดที่ประเทศอิตาลีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันถูกพบในสภาพย่ำแย่โดยคนงานเตาเผา เขาพามันกลับบ้านและรักษาจนมันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
ความช่วยเหลือนี้ทำให้ฟีโด้ซื่อสัตย์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงตราบชั่วชีวิตของมันทุกๆวัน ฟีโด้จะไปรอเจ้านายของมันที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม และจะไม่ยอมขยับจนกว่าเขาจะลงมาจากรถเมล์
แต่นี่คือช่วงเวลาที่อิตาลีถูกทิ้งระเบิดอยู่แทบทุกวัน และวันหนึ่ง เจ้านายของฟีโด้ก็ไม่กลับมา เขาเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศขณะทำงาน และฟีโด้ก็ยังคงไปรอเข้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิมทุกวัน เป็นเวลากว่า 14 ปี
เรื่องราวของฟีโด้กระจายไปทั่วอิตาลีและได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆในทันที มีภาพข่าวที่แสดงให้เห็นคนจำนวนมากมาดูมันเดินไปรอเจ้านายที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน มองดูทุกคนลงจากรถ และเดินจากไปด้วยความผิดหวังเมื่อรถเมล์เคลื่อนจากไป มันได้รับเหรียญกล้าหาญและเหรียญเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ทั้งหมดที่มันต้องการก็คือให้เพื่อนรักของมันกลับบ้าน แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา
.
ที่มา : offtheleashdogcartoons , marketdogs
Cr.dog-vs-cat.com/
เบลลี่ย์เกิดใหม่อีกครั้ง และเป้าหมายของมันคือได้พบกับอีธานอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้เห็นพลังของความรักที่ไร้เงื่อนไขระหว่างสุนัขและเจ้าของ
Cr. cwatchthemovies