เที่ยวปีใหม่อย่างสบายใจ ไร้โรครบกวน
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงสิ้นปีกันแล้วนะครับ หลายๆ คนน่าจะกำลังวางแผนท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวนี้กันอยู่แน่ๆ ใครมีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ เผื่อเป็นไอเดียให้พี่หมอบ้าง
และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การจองตั๋ว จองที่พัก รวมถึงการหาข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็คือ การดูแลสุขภาพร่างกายก่อนที่จะออกเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปต่างประเทศ เพราะบางประเทศก็อาจมีข้อกำหนดให้ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปต้องฉีดวัคซีนก่อนเพื่อป้องกันโรคระบาด เช่น ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค และโรคที่จำเป็น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไวรัสตับอักเสบเอและบี เป็นต้น ซึ่งวันนี้พี่หมอก็มีข้อมูลของวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวมาฝากกันด้วยครับ
วัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1.
วัคซีนที่จำเป็นก่อนการเดินทาง (Required vaccine) ปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือ วัคซีนไข้เหลือง ซึ่งกฎอนามัยระหว่างประเทศขององค์การอนามัยโลก (WHO IHR) กำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่อยู่ในแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้ ซึ่งยังคงมีไข้เหลืองระบาด จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 10 วันก่อนการเดินทาง โดยเมื่อได้รับแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานตลอดชีวิต ไม่ต้องฉีดอีก
2.
วัคซีนที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว (Recommended vaccine for travelers) ถึงแม้จะไม่มีข้อบังคับ แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยง ภูมิต้านทานของตัวเอง ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทาง รวมถึงการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง โดยวัคซีนที่แนะนำ ได้แก่
·
วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid vaccine) สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาหารและน้ำดื่มจะไม่สะอาด เช่น อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้และตะวันออกกลาง โดยแนะนำให้ฉีดเพียง 1 เข็ม ก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน และควรฉีดกระตุ้นทุกๆ 2 ปี
·
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine) สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในชนบทของประเทศอินเดีย จีน หรือบริเวณที่มีสัตว์เร่ร่อนจำนวนมาก โดยการฉีดจะแบ่งเป็น 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ 14-21 วัน
·
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ดังนั้น ผู้ที่จะเดินทางไปในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีสุขอนามัยต่ำ เช่น ประเทศในแถบเอเชียใต้ แอฟริกาและอเมริกาใต้ ควรจะฉีด 2 เข็ม โดยเว้นให้ห่างกัน 6 เดือน และควรฉีดครั้งแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง
·
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) โดยไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้ผ่านเลือด หรือสารคัดหลั่ง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาจจะมีกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยา หรือแม้กระทั่งการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้อื่น ประเทศที่มีความเสี่ยงและแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนชนิดนี้ก่อนการเดินทาง ก็คือ กลุ่มประเทศในแถบแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง โดยจะมีการฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 เดือน ในปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันได้ทั้งไวรัสตับอักเสบเอและบีในเข็มเดียวกันแล้ว แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเรื่องความจำเป็นอีกครั้งนะครับ
·
วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal vaccine) นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคนี้อยู่ เช่น ซูดาน ไนจีเรีย เอธิโอเปีย เป็นต้น รวมถึงผู้ที่จะไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา และผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนชนิดนี้ก่อนเดินทาง เป็นข้อกำหนดเลยนะครับ
·
วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรค (Cholera vaccine) ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนชนิดรับประทาน 2 ครั้ง โดยต้องรับประทานห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ดังนั้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ซึ่งน้ำและอาหารอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ควรจะรับวัคซีนให้ครบก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อการป้องกันอย่างได้ผล
·
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) เป็นวัคซีนที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องไปในบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันมากๆ เช่น การไปร่วมงานเทศกาล การไปดูกีฬา หรือการไปเคาท์ดาวน์ตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงการเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในประเทศซาอุดิอาระเบียด้วย โดยควรฉีดก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์
·
วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria vaccine) ปัจจุบันเด็กไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีนที่ป้องกันโรคคอตีบ โปลิโอ และบาดทะยักอยู่แล้ว แต่ก็จะต้องมีการกระตุ้นใหม่เช่นกัน ถ้าระยะเวลาที่เคยได้รับนานเกิน 10 ปี โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไปยังประเทศในแถบแอฟริกาและเอเชียใต้ที่โรคคอตีบยังคงระบาดอยู่
·
วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ (Japanese encephalitis vaccine) ซึ่งเป็นโรคที่พบมากในประเทศแถบเอเชีย เช่น ปากีสถาน เกาหลีเหนือ และเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฟิจิ สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทางไปอยู่หรือท่องเที่ยวนานเกิน 1 เดือน แนะนำไปรับวัคซีนชนิดนี้ โดยผู้ใหญ่ควรฉีด 1 เข็ม เด็ก 2 เข็ม
·
วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน (Measles, Mumps, Rubella) โดยทั่วไป เด็กไทยทุกคนจะได้รับตั้งแต่เกิด แต่หากไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคทั้ง 3 ชนิดนี้เลย ก็ควรจะฉีดเป็นอย่างยิ่ง โดยแบ่งเป็น 2 เข็ม เข็มที่ 2 ควรฉีดห่างจากเข็มแรก 1 เดือน และควรฉีดให้ครบทั้งหมดก่อนออกเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์
การฉีดวัคซีนถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็ว ดังนั้น พี่หมอจึงอยากแนะนำให้ทุกคนไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับวัคซีนที่จำเป็นก่อนออกเดินทาง จะได้ไม่ต้องเจ็บป่วยระหว่างเดินทางหรือติดโรคจากการไปเที่ยวกลับมา โดยเฉพาะทารกและเด็กที่ถึงแม้จะได้รับวัคซีนตามช่วงวัยอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องไปในประเทศที่มีโรคระบาด ก็อาจจะต้องฉีดเพิ่มเติมด้วย รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุ คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ที่เดินทางเป็นประจำและต้องนั่งเครื่องบินนานๆ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเวลาและสภาพอากาศบ่อย ร่างกายก็อาจจะอ่อนแอได้ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยและเดินทางไปในที่แปลกๆใหม่ๆ กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคได้ง่ายเช่นกัน
แต่ถึงจะฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้ 100% นะครับ ยังไงเราก็ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินและน้ำดื่ม รวมถึงระมัดระวังที่จะไม่พาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อโรคด้วย
ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ และแข็งแรงปลอดภัยกลับมาทุกคนนะครับ
เที่ยวปีใหม่อย่างสบายใจ ไร้โรครบกวน
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงสิ้นปีกันแล้วนะครับ หลายๆ คนน่าจะกำลังวางแผนท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวนี้กันอยู่แน่ๆ ใครมีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ เผื่อเป็นไอเดียให้พี่หมอบ้าง
และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การจองตั๋ว จองที่พัก รวมถึงการหาข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็คือ การดูแลสุขภาพร่างกายก่อนที่จะออกเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปต่างประเทศ เพราะบางประเทศก็อาจมีข้อกำหนดให้ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปต้องฉีดวัคซีนก่อนเพื่อป้องกันโรคระบาด เช่น ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค และโรคที่จำเป็น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไวรัสตับอักเสบเอและบี เป็นต้น ซึ่งวันนี้พี่หมอก็มีข้อมูลของวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวมาฝากกันด้วยครับ
วัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. วัคซีนที่จำเป็นก่อนการเดินทาง (Required vaccine) ปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือ วัคซีนไข้เหลือง ซึ่งกฎอนามัยระหว่างประเทศขององค์การอนามัยโลก (WHO IHR) กำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่อยู่ในแถบแอฟริกาและอเมริกาใต้ ซึ่งยังคงมีไข้เหลืองระบาด จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 10 วันก่อนการเดินทาง โดยเมื่อได้รับแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานตลอดชีวิต ไม่ต้องฉีดอีก
2. วัคซีนที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว (Recommended vaccine for travelers) ถึงแม้จะไม่มีข้อบังคับ แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยง ภูมิต้านทานของตัวเอง ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทาง รวมถึงการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง โดยวัคซีนที่แนะนำ ได้แก่
· วัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid vaccine) สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาหารและน้ำดื่มจะไม่สะอาด เช่น อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้และตะวันออกกลาง โดยแนะนำให้ฉีดเพียง 1 เข็ม ก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน และควรฉีดกระตุ้นทุกๆ 2 ปี
· วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies vaccine) สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปในชนบทของประเทศอินเดีย จีน หรือบริเวณที่มีสัตว์เร่ร่อนจำนวนมาก โดยการฉีดจะแบ่งเป็น 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ 14-21 วัน
· วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ดังนั้น ผู้ที่จะเดินทางไปในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีสุขอนามัยต่ำ เช่น ประเทศในแถบเอเชียใต้ แอฟริกาและอเมริกาใต้ ควรจะฉีด 2 เข็ม โดยเว้นให้ห่างกัน 6 เดือน และควรฉีดครั้งแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง
· วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) โดยไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้ผ่านเลือด หรือสารคัดหลั่ง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาจจะมีกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยา หรือแม้กระทั่งการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้อื่น ประเทศที่มีความเสี่ยงและแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนชนิดนี้ก่อนการเดินทาง ก็คือ กลุ่มประเทศในแถบแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง โดยจะมีการฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 เดือน ในปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันได้ทั้งไวรัสตับอักเสบเอและบีในเข็มเดียวกันแล้ว แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเรื่องความจำเป็นอีกครั้งนะครับ
· วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal vaccine) นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคนี้อยู่ เช่น ซูดาน ไนจีเรีย เอธิโอเปีย เป็นต้น รวมถึงผู้ที่จะไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา และผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนชนิดนี้ก่อนเดินทาง เป็นข้อกำหนดเลยนะครับ
· วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรค (Cholera vaccine) ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนชนิดรับประทาน 2 ครั้ง โดยต้องรับประทานห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ดังนั้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ซึ่งน้ำและอาหารอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ควรจะรับวัคซีนให้ครบก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อการป้องกันอย่างได้ผล
· วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) เป็นวัคซีนที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องไปในบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันมากๆ เช่น การไปร่วมงานเทศกาล การไปดูกีฬา หรือการไปเคาท์ดาวน์ตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงการเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในประเทศซาอุดิอาระเบียด้วย โดยควรฉีดก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์
· วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria vaccine) ปัจจุบันเด็กไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีนที่ป้องกันโรคคอตีบ โปลิโอ และบาดทะยักอยู่แล้ว แต่ก็จะต้องมีการกระตุ้นใหม่เช่นกัน ถ้าระยะเวลาที่เคยได้รับนานเกิน 10 ปี โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไปยังประเทศในแถบแอฟริกาและเอเชียใต้ที่โรคคอตีบยังคงระบาดอยู่
· วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ (Japanese encephalitis vaccine) ซึ่งเป็นโรคที่พบมากในประเทศแถบเอเชีย เช่น ปากีสถาน เกาหลีเหนือ และเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฟิจิ สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทางไปอยู่หรือท่องเที่ยวนานเกิน 1 เดือน แนะนำไปรับวัคซีนชนิดนี้ โดยผู้ใหญ่ควรฉีด 1 เข็ม เด็ก 2 เข็ม
· วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน (Measles, Mumps, Rubella) โดยทั่วไป เด็กไทยทุกคนจะได้รับตั้งแต่เกิด แต่หากไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคทั้ง 3 ชนิดนี้เลย ก็ควรจะฉีดเป็นอย่างยิ่ง โดยแบ่งเป็น 2 เข็ม เข็มที่ 2 ควรฉีดห่างจากเข็มแรก 1 เดือน และควรฉีดให้ครบทั้งหมดก่อนออกเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์
การฉีดวัคซีนถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็ว ดังนั้น พี่หมอจึงอยากแนะนำให้ทุกคนไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับวัคซีนที่จำเป็นก่อนออกเดินทาง จะได้ไม่ต้องเจ็บป่วยระหว่างเดินทางหรือติดโรคจากการไปเที่ยวกลับมา โดยเฉพาะทารกและเด็กที่ถึงแม้จะได้รับวัคซีนตามช่วงวัยอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องไปในประเทศที่มีโรคระบาด ก็อาจจะต้องฉีดเพิ่มเติมด้วย รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุ คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ที่เดินทางเป็นประจำและต้องนั่งเครื่องบินนานๆ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเวลาและสภาพอากาศบ่อย ร่างกายก็อาจจะอ่อนแอได้ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยและเดินทางไปในที่แปลกๆใหม่ๆ กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคได้ง่ายเช่นกัน
แต่ถึงจะฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้ 100% นะครับ ยังไงเราก็ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินและน้ำดื่ม รวมถึงระมัดระวังที่จะไม่พาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อโรคด้วย
ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ และแข็งแรงปลอดภัยกลับมาทุกคนนะครับ