[CR] [##REVIEW##] Netflix's The Irishman (2019) คนใหญ่ไอริช | เมื่อลุง Scorsese ทำหนังบันเทิง [ไร้ส้มป่อย]

     ทีแรกผมก็ไม่ได้อยากดูเรื่องนี้มากมายหรอกครับ แต่ก็คิดว่าต้องแวะมาเปิดดูวันที่มันว่างๆ แหละน่า เพราะหนังของลุง Scorsese ยังไงก็ต้องดูอ่ะ แถมดารานำก็เจ้าพ่อทั้งนั้น เลยคิดว่าต้องหาเวลาดูให้ได้ครับ(แค่ไม่รีบเท่านั้น555) และผมก็ได้ดูจนได้ ผมแบ่งดูเป็น 2 รอบนะครับ(เพราะรู้สึกว่า 3 ชั่วโมงครึ่งผมไม่น่าไหว) รอบแรกดูไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า รอบสุดท้ายก็ดูต่อให้จบ ซึ่งไม่เสียอรรถรสนะครับ ใครที่คิดว่าจะทนดูไม่ได้ ก็ลองแบ่งดูแบบผมได้ครับ ผมว่าอร่อยเหมือนเดิมไม่เสียหายแน่นอน
    The Irishman เล่าเรื่องราวในชั่วระยะเวลาร่วม 50 ปีในชีวิตของ แฟรงค์ ชีแรน (Robert De Niro) จากคนขับรถบรรทุกส่งขาหลังวัวไปทำสเต๊ก สู่วงการมาเฟียด้วยการชักชวนของ รัสเซล บัฟฟาลิโน (Joe Pesci) ที่เปลี่ยนให้แฟรงค์ได้ลิ้มรสการฆ่าคนเพื่อเลี้ยงชีพในฐานะมือปืน ก่อนเขาจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้ติดตามของ จิมมี ฮอฟฟา (Al Pacino) เจ้าพ่อแห่งสหภาพแรงงานที่นำลาภยศชื่อเสียงมาให้แฟรงค์ได้สัมผัส แต่ในวงการสีเทา..มิตรและศัตรูอาจเปลี่ยนได้เพียงชั่วข้ามคืน
     หลังจากดู The Irishman จบ ผมเกิดความรู้สึกหลายอย่างต่อหนังครับ แน่นอนว่ามันอาจจะยาวแน่นอน ฉะนั้นใครไม่ถูกกับอะไรยาวๆ ก็แนะนำให้ข้ามไปอ่านสรุปดีกว่านะครับ เพราะรีวิวนี้ผมจะเค้นความรู้สึกออกมาให้หมด..... โอเค มาเริ่มกันเลย
     ต้องบอกว่าหนังยอดเยี่ยมครับ สนุกกว่าที่คาดไว้(และเป็นความสนุกแบบหนังแมสเลย) แถมตลกร้ายกว่าที่คิด ผมประทับใจครับที่ลุง Scorsese แกเล่าเรื่องได้ลื่นไหลและสนุกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องมันเยอะจริงๆ นะครับ แต่ก็ต้องปรบมือให้ลุงดังๆ เพราะในระยะเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ลุงแกเก็บครบจริงๆ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เอามาหมด ฉะนั้นไม่แปลกครับที่ระหว่างดูผมจะรู้สึกเพลิดเพลินกับเรื่องราวของตัวละครที่เยอะและยุ่งเหยิงจริงๆ ซึ่งลุงเล่าได้ไม่งงและน่าติดตามมากๆ ครับ
     ระหว่างดูผมมีความรู้สึกเหมือนตอนดู Once Upon A Time..... in Hollywood ของเฮียเควนตินครับ ซึ่งใน Once นั้นช่วงแรกถึงกลางผมรู้สึกบันเทิงครับ เพราะผมชอบลีลาการเล่าเรื่องของเฮียเควนตินครับ และเฮียแกก็เตะขาคนดูสะดุดล้มตรงลุมพรางของเฮียแกจนอยู่หมัด ซึ่งผมเรียกอาการนี้ว่า "เสร็จมัน" ครับ แต่เป็นอารมณ์เสร็จมันแบบ "เมิงน้าเมิงงงง" 555 เพราะเฮียแกวางกับดักมาดีครับ และในกับดักก็มีแต่ของหวานให้เรารับประทานเล่น
     ส่วนใน The Irishman นั้น ช่วงแรกถึงกลางผมรู้สึกแบบเดียวกันกับ Once ครับ นั่นคือบันเทิงและเอ็นจอยกับหนังได้เรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่ผมรู้สึก "เสร็จมัน" แต่เป็นอารมณ์แตกต่างจาก Once เรื่องนั้นผมพอใจมากครับ สำหรับเรื่องนี้นั้นเป็นอารมณ์แบบ "ฮือ ผมรู้แล้วครับลุง พอได้แล้วผมไม่ไหวแล้ว ฮือออออ" ซึ่งกับดักของลุง Scorsese จะแตกต่างตรงที่ "ไม่มีของหวาน มีแต่ความโหดร้ายและความรู้สึกผิด" ฉะนั้นในช่วงท้ายของหนังผมรู้สึกเครียดครับ เครียดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวละครนั้นตัดสินใจทำแบบนั้น ซึ่งเนื้อหาในช่วงนี้เครียดครับ เครียดมากด้วย แต่ว่าผมชอบว่ะ!
     ทำไมผมถึงชอบน่ะหรอ เพราะว่าลุง Scorsese แกวางหมากมาดีครับ แกรู้ว่าเนื้อเรื่องมันเครียด แกเลยเลือกที่จะเล่ามันออกมาบันเทิงเริงใจในช่วงแรกถึงช่วงกลาง ซึ่งในช่วงนี้นั้นลุงแกคุมอยู่ครับ ไม่หลุดโทนที่จะเล่าในช่วงท้าย และก็ไม่หนักมือมากไป เพราะถึงแม้ในช่วงนี้หนังจะเล่าเรื่องได้สนุกสนานขนาดไหน แต่ว่าเมื่อไหร่ที่มีฉากรุนแรงเกิดขึ้น ผมก็รู้สึกสลดใจอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ และเมื่อหนังเดินทางมาถึงช่วงท้าย ยิ่งเครียดคูณสองครับ จนบางทีก็แอบไหว้ภาวนาลุง Scorsese ว่าเบามือกับผมหน่อยก็ได้ ไม่ต้องหนักขนาดนี้หรอก แหมมมม เล่นผมซะเกือบน่วมเลย555
     นอกจากสไตล์การกำกับที่ยอดเยี่ยมของลุง Scorsese แล้ว อย่างอื่นของหนังก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันครับ นับตั้งแต่โปรดักชั่นของหนังที่เล่นใหญ่ไม่แพ้หนังโรงเลย ผมชอบฉากหลังยุค 60s มาก และก็ชอบการหยิบเอาเหตุการณ์ในยุคนั้นมาผสมผสานกับเรื่องราวในหนังได้เนียนและเฉียบขาดมาก ที่โดนมากๆ ก็คือเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิปดีเคนเนดี้ครับ ตอนดูก็ตกใจเล็กน้อยครับว่าเล่นใหญ่เบอร์นี้เลยหรอ555 แต่ก็แอบปรบมือให้เพราะโยงเรื่องได้เนียนจริงๆ ซึ่งต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้ Steven Zaillian (มือเขียนบท Schindler's List)ครับที่สามารถเขียนบทหนังออกมาได้ยอดเยี่ยมและลื่นไหล พอมาเจอกับลีลาการกำกับของลุง Scorsese แล้วนั้น ผลออกมายอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่ครับ
     ในส่วนของนักแสดงนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งที่สุดในหนังก็ว่าได้ครับ เพราะที่มาเล่นแต่ละคนก็เจ้าพ่อทั้งนั้น นับตั้งแต่ Robert De Niro (จากเรื่อง Taxi Driver) ที่เรียกได้ว่าเด่นที่สุดแล้วมั้งในบทแฟรงค์ ซึ่งลุงแกแสดงได้ดิบและสมจริงมากครับ บางฉากแกไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แต่ก็สามารถแผ่รังสีการแสดงออกมาทางสายตาจนคนดูรู้สึกได้ว่าลุงแกไม่ได้แค่แสดง แต่กำลังสวมวิญญาณเป็นตัวละครตัวนั้นอยู่(ดีไม่ดีปีหน้าลุงแกอาจจะฟาดออสการ์นำชายปาดหน้า Joaquin ก็เป็นได้) ส่วนรายอื่นอย่างลุง Joe Pesci (จากเรื่อง Home Alone) ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กันครับ แต่รายที่เซอร์ไพร์สผมไปไม่น้อยเลยก็คือลุง Al Pacino (จากเรื่อง The Godfather) ที่เล่นฉากไหนก็แทบจะกลบคนอื่นหมดเลยครับ(ยกเว้นฉากที่เข้ากับลุง De Niro ฉากไหนมีสองคนนี้ฉากนั้นจะน่าจดจำมาก)
     นี่ยังไม่นับคนอื่นๆ นะครับ ถ้านับด้วยนี่ผมว่าหน้ากระดาษนี้คงไม่พอครับ555
     ที่ผมร่ายมาเหมือนกับว่าหนังมันจะไม่มีข้อเสียนะ เอาจริงๆ หนังอาจจะมีปัญหาเล็กน้อยตรงความยาวครับ ผมว่า 3 ชั่วโมงครึ่งนี่อาจจะยาวไปสำหรับบางคน(ยอมรับครับว่าผมมีอาการหยิบเอามือถือมาปัดเล่นเหมือนกัน555) แต่ด้วยความที่หนังมันดำเนินเรื่องลื่นไหลและน่าติดตาม ผมเลยไม่มีปัญหาในส่วนนี้ครับ เพราะหนังมันสนุกครับ สนุกในที่นี้คือสนุกแบบหนังแมสเลยนะ ไม่จำเป็นต้องตีความ ดูแบบปกติเลยครับ ไม่เสียอรรถรสแน่นอน
     สรุปแล้ว The Irishman ก็เป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปีอีกเรื่องที่จะไปเชือดเฉือนกับเรื่องอื่นๆ ในเวทีออสการ์แน่นอน(และที่แน่ๆ นำชายและสมทบชายสั่นสะเทือนแน่นอน ดีไม่ดีภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอาจจะไม่ไกลเกินเอื้อม) หนังบันเทิงครับ บันเทิงสุดๆ ใครที่มี Netflix อยู่แล้วยังไม่ดู รีบไปหาดูซะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป อนาคิน!(#ไม่ใช่ละ) เอาเป็นว่าดูเถอะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

คะแนนเฉลี่ยรวม : 10/10
เรตหนัง : หนังยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด
ชื่อสินค้า:   The Irishman (2019)
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่