ช่วง 2-3 เดือนนี้กระแสหนัง The Irishman นี่ถือว่ามาแรงทั้งคะแนนและคำชื่นชมที่มากมาย ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ตั้งแต่ประกาศสร้าง หนังเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในลิสต์หนังที่คนรอคอยที่จะดูกันเลยแหละ ซึ่งบางคนอาจจะสงสัยว่า หนังเรื่องนี้มันมีอะไรดีเหรอคนถึงรอดูกัน?
ก็เพราะหนังเรื่องนี้มีผู้กำกับที่ชื่อ มาร์ติน สกอเซซี นี่แหละครับ ลุงมาร์ตินแกทำหนังมาหลากหลายแนวมากและก็สนุกๆทั้งนั้น สิ่งที่แกทำได้ถนัดคือแนวชีวประวัติผสมความโหดดิบบ้าๆ (Taxi Driver,Raging Bull,The Aviator,Wolf of wallstreet)โดยเฉพาะหนังแนวแก๊งมาเฟีย(Goodfellas,Casino,Gang of new york) เรียกว่าทางของแกเลยแหละ ซึ่งหลายปีมานี้ลุงมาร์ตินก็ห่างหายจากการสร้างหนังมาเฟียไปเลย จนมาถึงเรื่อง The Irishman ที่ทำให้ลุงกลับมาทำแนวหนังที่แฟนๆรอคอยอีกครั้ง
นอกจากตัวผู้กำกับระดับตำนานแล้ว ตัวหนังเองยังได้นักแสดงระดับโคตรตำนานอีกเช่นกัน อาทิเช่น
โรเบิร์ต เดอ นีโร เรียกว่าเป็นอีก 1 นักแสดงคู่บุญลุงมาร์ตินก็ว่าได้ ตั้งแต่ Taxi driver,Raging bull,Goodfellas,Casino ฯลฯ คือใช้บริการลุงโรเบิร์ตตลอดเลย เห็นกันตั้งแต่หนุ่มๆยันมีอายุถึงทุกวันนี้
นักแสดงอีกคนก็
อัล ปาชิโน่ เจ้าพ่อก็อดฟาเธอร์ที่หลายๆคนคุ้นหน้า ดีกรีรางวัลออสการ์ หน้านิ่งๆแต่ดูทรงพลังน่าเกรงขาม บทหนังมาเฟียที่โด่งดังของแกก็จากเรื่อง Scarface นั้นละ
และนักแสดงนำคนสุดท้ายที่ห่างหายไปจากการแสดงเกือบสิบปี
โจ เปสซี อีก 1 นักแสดงคู่บุญลุงมาร์ตินเช่นกัน บุคลิกเสียงแหบเล็กตัวเตี้ยๆ แต่การแสดงดีกรีเจ้าของรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมเลยละ
และเป็นผลงานออริจินอล Netflix ที่ทุนสร้างสูงถึง 100 ล้านเหรียญ (และล่าสุดเห็นว่าทุนสร้างเกินงบมากกว่าที่คิด น่าจะ 150-175 ล้านเหรียญเลยด้วยซ้ำ) กับการถ่ายทำร่วมร้อยวัน ที่ไม่เคยมีเรื่องไหนของลุงมาร์ตินจะถ่ายทำนานเท่านี้มาก่อนเลยด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไป จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่เฝ้ารอของคนดูทั้งหลาย(รวมถึงผมด้วย) ซึ่ง The Irishman นั้นจะเป็นยังไง สมกับการรอคอยไหม ลองมาอ่านดูกัน
The Irishman เล่าเรื่องราวของแฟรงค์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร) ที่เป็นทหารผ่านศึก ที่หลังสงครามจบก็มาขับรถบรรทุกส่งเนื้อตามร้านต่างๆ แต่เริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นมือปืนรับจ้าง รับทำเรื่องร้ายๆ จนได้ไปเจอกับรัสเซล (โจ เปสซี) หัวหน้าแก๊งบัฟฟาลีโนผู้ทรงอำนาจแห่งยุคนั้น และได้เป็นทั้งเพื่อนและคนสนิทของจิมมี่ (อัล ปาชิโน่) ผู้นำสหภาพแรงงาน ในยุคที่อำนาจผลัดเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น มิตรแท้ศัตรูแปรเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน เรื่องราวของแฟรงค์กับยุคสมัยมาเฟียครองเมืองจะเป็นไง ต้องไปหาคำตอบกันต่อเองนะ
ลุงมาร์ติน เลือกที่จะเล่าเรื่องราวแก๊งมาเฟีย โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์สำคัญๆทางการเมืองของช่วงยุคปี 70-80's จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังมาเฟียที่เรื่องราวแปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ในช่วงประวัติศาสตร์จริงๆ ซึ่งโดยปกติเราจะได้ดูแต่มาเฟียแก๊งนั้นฆ่ากัน แย่งชิงอำนาจกันไปมาระหว่างแก๊ง แต่ความที่หนังมันอิงจากเหตุการณ์จริง จึงทำให้เรื่องราวนั้นมีมิติมากขึ้น ตัวละครทุกตัวต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลอด ซึ่งมันทำให้การดูเดาทางเนื้อเรื่องยากและน่าตื่นเต้นแทนตัวละครที่เราเอาใจช่วยอยู่ เรียกว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรก็ว่าได้ (ในจุดนี้ใครที่ชอบติดตามเรื่องราวประวัติศาสตร์อเมริกาน่าจะยิ่งอินและเข้าใจมากขึ้นเข้าไปอีกด้วย)
งานด้านภาพสวยงามถ่ายสื่ออารมณ์ได้ดีทั้งการถ่ายลองเทคและแช่ภาพทิ้งไว้ รวมถึงเทคนิค ดีเอจจิ้ง (การลดหน้านักแสดงให้หนุ่มขึ้น) ในช่วงครึ่งแรกของหนัง ถือว่าทำได้เนียนมากๆ ไม่รู้สึกสะดุดอารมณ์อะไร ต่อไปคงจะได้เห็นเทคนิคนี้บ่อยขึ้นแน่นอนเลย
แม้แต่เสื้อผ้าหน้าผมและฉากหลังกับอุปกรณ์ต่างๆ ลุงมาร์ตินแกก็เนรมิตยุคนั้นมาให้ได้รู้สึกกันแบบละเอียดเลย แม้แต่เพลงประกอบก็ยังให้เพราะและเข้ากับหนังอย่างสุดๆเช่นกัน
ในส่วนของการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 3 นั้นหายห่วง มันคือความรู้สึกที่คุ้นเคยที่เคยได้รับจากนักแสดงทั้ง 3 มาก่อนจากหนังเรือ่งที่ผ่านๆมาทั้งนั้น แต่มันเหมือนว่าทั้ง 3 คนนั้นได้ตกตะกอนกับการรับบทบาทเกี่ยวกับมาเฟียในระดับขั้นสุดไปละ ทำให้ในเรื่องนี้พวกพี่ๆเค้ามีแต่แสดงดีกับดีมากและดีม๊ากมาก มันเป็นความฟินอย่างนึงของแฟนๆหนังนะ คือได้ดูพวกพี่ๆเค้าเล่นตั้งแต่หนุ่มๆในบทบาทนี้ จนมาดูแก่มากในบทบาทที่คล้ายๆกัน เหมือนได้ตามติดกันทั้งชีวิตเลยแหละ
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะแนวรสนิยมคนดูเหมือนกันนะ เพราะขึ้นชื่อว่าหนังแก๊งมาเฟีย หลายคนอาจจะคิดว่าต้องยิงกันเปรี้ยงปร้าง ต่อยเตะชิงอำนาจกันตลอด มันไม่ใช่กับเรื่องนี้เน้อ เพราะ The Irishman จะเล่าเรื่องด้วยการพูดคุยเป็นหลัก ค่อยๆให้คนดูได้รู้จักนิสัยใจคอตัวละคร รู้เหตุการณ์ต่างๆไปพร้อมกับตัวละครโดยไม่ได้โฟกัสไปที่ความโหดดิบฆ่ากันล้วนๆแต่อย่างใด ใครแพ้ทางหนังเน้นพูดเป็นหลักอาจจะเบื่อหรือง่วงได้
ตอนที่รู้มาว่าหนังเรื่องนี้จะมีความยาวสามชั่วโมงครึ่ง ก็รู้สึกดีใจที่ลุงมาร์ตินแกจะมีเวลาในการใส่รายละเอียดที่อยากจะเล่าได้นานขึ้นกว่าตอนฉายหนังในโรงฯซะอีก แต่พอดูเข้าจริงๆ มันกลับเป็นอะไรที่จบรวดเร็วจัง อยากให้มีต่ออีกซักชั่วโมงก็ยังอีก คือหนังของลุงมาร์ตินเนี่ย ส่วนใหญ่เวลาจบแล้ว ผมมักจะรู้สึกอยากดูต่ออีกเรื่อยๆ อยู่บ่อยๆเลยนะ
เอาเป็นว่าใครอยากหาหนังแก๊งมาเฟีย และพร้อมที่จะเปิดใจลองดูหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยการเน้นพูดเป็นหลัก โดยมีผู้กำกับและนักแสดงระดับตำนาน ผ่านเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์จริง มีบทพูดและเรื่องที่น่าติดตาม(มาก) ขอให้ลองดูได้เลยครับ เข้า Netflix แล้วเรียบร้อย ถ้าติดใจอย่างไร ตามหาหนังเก่าๆมาดูกันได้ แต่อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ลุงมาร์ตินแกตกผลึกในการทำหนังแนวนี้แบบมาสุดทางแล้วจริงๆ
ปล. ทั้งเรื่องคิดบ่อยมากๆว่า "ถ้าเป็น แฟรงค์ จะทำไงดีว้า" ฮ่าๆ
(หักคะแนนเพราะไม่ชอบฉากจบสุดท้าย)
[CR] The Irishman = ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร
ก็เพราะหนังเรื่องนี้มีผู้กำกับที่ชื่อ มาร์ติน สกอเซซี นี่แหละครับ ลุงมาร์ตินแกทำหนังมาหลากหลายแนวมากและก็สนุกๆทั้งนั้น สิ่งที่แกทำได้ถนัดคือแนวชีวประวัติผสมความโหดดิบบ้าๆ (Taxi Driver,Raging Bull,The Aviator,Wolf of wallstreet)โดยเฉพาะหนังแนวแก๊งมาเฟีย(Goodfellas,Casino,Gang of new york) เรียกว่าทางของแกเลยแหละ ซึ่งหลายปีมานี้ลุงมาร์ตินก็ห่างหายจากการสร้างหนังมาเฟียไปเลย จนมาถึงเรื่อง The Irishman ที่ทำให้ลุงกลับมาทำแนวหนังที่แฟนๆรอคอยอีกครั้ง
นอกจากตัวผู้กำกับระดับตำนานแล้ว ตัวหนังเองยังได้นักแสดงระดับโคตรตำนานอีกเช่นกัน อาทิเช่น โรเบิร์ต เดอ นีโร เรียกว่าเป็นอีก 1 นักแสดงคู่บุญลุงมาร์ตินก็ว่าได้ ตั้งแต่ Taxi driver,Raging bull,Goodfellas,Casino ฯลฯ คือใช้บริการลุงโรเบิร์ตตลอดเลย เห็นกันตั้งแต่หนุ่มๆยันมีอายุถึงทุกวันนี้
นักแสดงอีกคนก็ อัล ปาชิโน่ เจ้าพ่อก็อดฟาเธอร์ที่หลายๆคนคุ้นหน้า ดีกรีรางวัลออสการ์ หน้านิ่งๆแต่ดูทรงพลังน่าเกรงขาม บทหนังมาเฟียที่โด่งดังของแกก็จากเรื่อง Scarface นั้นละ
และนักแสดงนำคนสุดท้ายที่ห่างหายไปจากการแสดงเกือบสิบปี โจ เปสซี อีก 1 นักแสดงคู่บุญลุงมาร์ตินเช่นกัน บุคลิกเสียงแหบเล็กตัวเตี้ยๆ แต่การแสดงดีกรีเจ้าของรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมเลยละ
และเป็นผลงานออริจินอล Netflix ที่ทุนสร้างสูงถึง 100 ล้านเหรียญ (และล่าสุดเห็นว่าทุนสร้างเกินงบมากกว่าที่คิด น่าจะ 150-175 ล้านเหรียญเลยด้วยซ้ำ) กับการถ่ายทำร่วมร้อยวัน ที่ไม่เคยมีเรื่องไหนของลุงมาร์ตินจะถ่ายทำนานเท่านี้มาก่อนเลยด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไป จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่เฝ้ารอของคนดูทั้งหลาย(รวมถึงผมด้วย) ซึ่ง The Irishman นั้นจะเป็นยังไง สมกับการรอคอยไหม ลองมาอ่านดูกัน
The Irishman เล่าเรื่องราวของแฟรงค์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร) ที่เป็นทหารผ่านศึก ที่หลังสงครามจบก็มาขับรถบรรทุกส่งเนื้อตามร้านต่างๆ แต่เริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นมือปืนรับจ้าง รับทำเรื่องร้ายๆ จนได้ไปเจอกับรัสเซล (โจ เปสซี) หัวหน้าแก๊งบัฟฟาลีโนผู้ทรงอำนาจแห่งยุคนั้น และได้เป็นทั้งเพื่อนและคนสนิทของจิมมี่ (อัล ปาชิโน่) ผู้นำสหภาพแรงงาน ในยุคที่อำนาจผลัดเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น มิตรแท้ศัตรูแปรเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน เรื่องราวของแฟรงค์กับยุคสมัยมาเฟียครองเมืองจะเป็นไง ต้องไปหาคำตอบกันต่อเองนะ
ลุงมาร์ติน เลือกที่จะเล่าเรื่องราวแก๊งมาเฟีย โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์สำคัญๆทางการเมืองของช่วงยุคปี 70-80's จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังมาเฟียที่เรื่องราวแปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ในช่วงประวัติศาสตร์จริงๆ ซึ่งโดยปกติเราจะได้ดูแต่มาเฟียแก๊งนั้นฆ่ากัน แย่งชิงอำนาจกันไปมาระหว่างแก๊ง แต่ความที่หนังมันอิงจากเหตุการณ์จริง จึงทำให้เรื่องราวนั้นมีมิติมากขึ้น ตัวละครทุกตัวต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลอด ซึ่งมันทำให้การดูเดาทางเนื้อเรื่องยากและน่าตื่นเต้นแทนตัวละครที่เราเอาใจช่วยอยู่ เรียกว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรก็ว่าได้ (ในจุดนี้ใครที่ชอบติดตามเรื่องราวประวัติศาสตร์อเมริกาน่าจะยิ่งอินและเข้าใจมากขึ้นเข้าไปอีกด้วย)
งานด้านภาพสวยงามถ่ายสื่ออารมณ์ได้ดีทั้งการถ่ายลองเทคและแช่ภาพทิ้งไว้ รวมถึงเทคนิค ดีเอจจิ้ง (การลดหน้านักแสดงให้หนุ่มขึ้น) ในช่วงครึ่งแรกของหนัง ถือว่าทำได้เนียนมากๆ ไม่รู้สึกสะดุดอารมณ์อะไร ต่อไปคงจะได้เห็นเทคนิคนี้บ่อยขึ้นแน่นอนเลย
แม้แต่เสื้อผ้าหน้าผมและฉากหลังกับอุปกรณ์ต่างๆ ลุงมาร์ตินแกก็เนรมิตยุคนั้นมาให้ได้รู้สึกกันแบบละเอียดเลย แม้แต่เพลงประกอบก็ยังให้เพราะและเข้ากับหนังอย่างสุดๆเช่นกัน
ในส่วนของการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 3 นั้นหายห่วง มันคือความรู้สึกที่คุ้นเคยที่เคยได้รับจากนักแสดงทั้ง 3 มาก่อนจากหนังเรือ่งที่ผ่านๆมาทั้งนั้น แต่มันเหมือนว่าทั้ง 3 คนนั้นได้ตกตะกอนกับการรับบทบาทเกี่ยวกับมาเฟียในระดับขั้นสุดไปละ ทำให้ในเรื่องนี้พวกพี่ๆเค้ามีแต่แสดงดีกับดีมากและดีม๊ากมาก มันเป็นความฟินอย่างนึงของแฟนๆหนังนะ คือได้ดูพวกพี่ๆเค้าเล่นตั้งแต่หนุ่มๆในบทบาทนี้ จนมาดูแก่มากในบทบาทที่คล้ายๆกัน เหมือนได้ตามติดกันทั้งชีวิตเลยแหละ
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะแนวรสนิยมคนดูเหมือนกันนะ เพราะขึ้นชื่อว่าหนังแก๊งมาเฟีย หลายคนอาจจะคิดว่าต้องยิงกันเปรี้ยงปร้าง ต่อยเตะชิงอำนาจกันตลอด มันไม่ใช่กับเรื่องนี้เน้อ เพราะ The Irishman จะเล่าเรื่องด้วยการพูดคุยเป็นหลัก ค่อยๆให้คนดูได้รู้จักนิสัยใจคอตัวละคร รู้เหตุการณ์ต่างๆไปพร้อมกับตัวละครโดยไม่ได้โฟกัสไปที่ความโหดดิบฆ่ากันล้วนๆแต่อย่างใด ใครแพ้ทางหนังเน้นพูดเป็นหลักอาจจะเบื่อหรือง่วงได้
ตอนที่รู้มาว่าหนังเรื่องนี้จะมีความยาวสามชั่วโมงครึ่ง ก็รู้สึกดีใจที่ลุงมาร์ตินแกจะมีเวลาในการใส่รายละเอียดที่อยากจะเล่าได้นานขึ้นกว่าตอนฉายหนังในโรงฯซะอีก แต่พอดูเข้าจริงๆ มันกลับเป็นอะไรที่จบรวดเร็วจัง อยากให้มีต่ออีกซักชั่วโมงก็ยังอีก คือหนังของลุงมาร์ตินเนี่ย ส่วนใหญ่เวลาจบแล้ว ผมมักจะรู้สึกอยากดูต่ออีกเรื่อยๆ อยู่บ่อยๆเลยนะ
เอาเป็นว่าใครอยากหาหนังแก๊งมาเฟีย และพร้อมที่จะเปิดใจลองดูหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยการเน้นพูดเป็นหลัก โดยมีผู้กำกับและนักแสดงระดับตำนาน ผ่านเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์จริง มีบทพูดและเรื่องที่น่าติดตาม(มาก) ขอให้ลองดูได้เลยครับ เข้า Netflix แล้วเรียบร้อย ถ้าติดใจอย่างไร ตามหาหนังเก่าๆมาดูกันได้ แต่อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ลุงมาร์ตินแกตกผลึกในการทำหนังแนวนี้แบบมาสุดทางแล้วจริงๆ
ปล. ทั้งเรื่องคิดบ่อยมากๆว่า "ถ้าเป็น แฟรงค์ จะทำไงดีว้า" ฮ่าๆ
(หักคะแนนเพราะไม่ชอบฉากจบสุดท้าย)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้