อ่านที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้File 19 : จักรยานที่หายไป [บทปัญหา]
https://ppantip.com/topic/39409602
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
- 2 -
“เออ... ฉันรอคำนี้ของแกอยู่แล้ว ไอ้ ‘ถึงเวลาสรุปผลการทดลอง’ เนี่ย…” โหน่งบอกพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมา เพราะเขารู้แล้วว่าปลายไขปริศนาเรื่องจักรยานหายได้แล้ว “ไหน.. แกลองว่ามาสิ”
ปลายยิ้มตอบ เมื่อสิ่งที่ค้างคาอยู่ในสมองกระจ่างแล้ว เขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มั่นใจ
“เอาล่ะ...” ปลายทิ้งช่วงพูดเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นชูสามนิ้ว “จุดที่จะเฉลยเรื่องนี้มันมีอยู่สามข้อ”
“อะไรล่ะ?”
“หนึ่งคือ ลักษณะของซอยที่จักรยานหายไป สองคือ เสาที่ล็อกรถจักรยานกับกำแพง ส่วนสามคือ ผู้ชายที่รุ่นน้องแกเห็น”
“งั้นเหรอ...” โหน่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ไหนแกลองไล่มาสิ”
“อืม..” ปลายพยักหน้า “อย่างแรกคือ ลักษณะของซอยที่แกเล่ามา ...ฉันว่ามันค่อนข้างแปลก”
“แปลก...” โหน่งมองหน้า
“มันแปลกอย่างไรครับพี่?” เจถามขึ้นมา
“ก็นี่ไง ...มันมีซอยสองซอยอยู่ที่มุมคนละมุมและไม่มีทางออกไปที่ไหน แถมซอยก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ด้วย แสดงว่าไม่ว่ายังไง ไอ้คนขโมยก็ต้องใช้ซอยใดซอยหนึ่งหรือทั้งสองซอยนี้แน่ ๆ เพราะมันไม่มีทางไหนแล้ว”
“เหรอ.. แล้วมันเป็นยังไงล่ะ?” โหน่งถาม
ปลายมองโหน่ง แสยะยิ้มอีกครั้ง “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนน่ะ เรามาดูจุดที่สองกันต่อ”
“เออ... งั้นก็ว่ามา”
“อืม...” ปลายพยักหน้าให้เพื่อน “จุดที่สองคือเรื่องเสาที่ล็อกกับกำแพง จากที่เจสอบถาม เสาที่ใช้ล็อกรถจักรยานนั่นนะ ...เป็นเสาสูง สูงเกือบตึกสองชั้นได้”
“แล้วมันยังไง.. เสาสูงมันเป็นยังไง?” โหน่งถาม
“เสาสูงก็สูงไงวะ จะให้มันเตี้ยหรือไงล่ะ!” ปลายสวนตอบ “กำแพงด้านหลังก็เช่นกัน จากที่แกบอกสูงประมาณสี่เมตร ซึ่งมันก็สูงทีเดียว ...แต่เรื่องนี้ก็เอาไว้ก่อน ต่อไปเรามาดูที่จุดที่สาม เป็นจุดสำคัญทีเดียว นั่นคือ ชายที่เดินสวนมา”
“มันเกี่ยวกันยังไงหรือพี่?” เจสงสัย
“อืม... เรื่องนี้มันเกี่ยวกันมากทีเดียว ..ชายที่เดินสวนมานี่ ฉันว่าเขาต้องเป็นคนขโมยจักรยานไปอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครที่มีโอกาสอย่างเค้าแล้ว ...เรามาดูการแต่งตัวของเขา จากที่โหน่งบอก มันใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น คาดเข็มขัด ไม่ใส่รองเท้า มือถือเชือก” ปลายกวาดสายตามองทุกคน “พวกแกว่าการแต่งตัวมันแปลก ๆ มั้ย?”
“ครับ” แอลที่ไม่ค่อยพูดตอบเป็นคนแรก “มันแปลกตรงที่ไม่ใส่รองเท้าใช่มั้ยครับ?”
“ถูกต้อง” ปลายพยักหน้ารับ “เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีใครหรอกที่ไม่ใส่รองเท้าเวลาเดินไปข้างนอก ดังนั้นที่มันไม่ใส่รองเท้าแสดงว่าต้องมีเหตุผล และเหตุผลที่น่าจะคิดได้...มันคงต้องเกี่ยวกับวิธีขโมยรถจักรยานแน่ ๆ”
ปลายหยุดพูดมองดูเพื่อน ๆ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาครุ่นคิดตามสิ่งที่ตัวเองอธิบาย
“มันยังไงเหรอครับ ผมยังไม่เข้าใจเลย” เอพูดขึ้นบ้าง
“นั่นสิ.. ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน” เจช่วยเสริม
อย่างพวกเขาก็ไม่เคยคิดออกอยู่แล้ว
“เออ แกรีบบอกมาเลยดีกว่า ...ลีลามากเหลือเกิน” โหน่งว่าซะเลย เพราะเห็นปลายได้แต่นั่งอมยิ้ม ไม่ยอมพูดต่อสักที
ปลายแสยะยิ้มอีก มองหน้าเพื่อนนักยูโดของตน แล้วค่อยพูดขึ้นว่า
“ก็ได้ พวกแกฟังดี ๆ ละกัน ...อย่างที่ฉันบอกแหละ สามจุดที่บอกมามันเกี่ยวข้องกัน ลองลำดับความคิดตามฉันนะ.. ซอยที่ไม่มีทางออกไปไหนได้ นอกจากสองซอยซ้ายขวานั่น ก็แสดงว่าไม่ว่ายังไงไอ้หัวขโมยต้องใช้ซอยสองซอยนี้แน่ ...แต่แล้วทำไมโหน่งกับรุ่นน้องไม่เห็นมันล่ะ.. ก็เพราะเสาไง เสาที่ล็อกจักรยานมันสูงไง มันต้องใช้เสานี้แน่ ...จากนั้นมาดูการแต่งตัวของชายคนนั้น เห็นมั้ยว่ามันไม่ได้ใส่รองเท้า เล่นตีนเปล่าเลย ..แล้วเราก็เอาทั้งหมดมารวมกันสิ มันจะได้ความว่าอย่างไร”
ทุกคนนั่งคิดตามที่ปลายพูดอีก แต่แล้วก็มีผู้หนึ่งลั่นขึ้นมา
“มันปีนเสาใช่มั้ยล่ะ?” โหน่งพูดขึ้น
“ปิ๊งป่อง! ถูกต้องเลยเพื่อน” ปลายแย้มยิ้ม “ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันปีนเสาอย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ได้แค่ปีนเสาอย่างเดียว มันยังเอารถจักรยานขึ้นเสาไปด้วย!!”
“หา!!” สามสมุนพร้อมใจร้องขึ้นมา
ปลายหันมองทั้งสาม แล้วค่อยกลับมาพูดต่อ “มันเอารถจักรยานขึ้นไปบนเสาด้วยวิธีหนึ่ง วิธีนี้มันต้องปีนเสาและใช้เชือกที่มันถือมาด้วย”
“วิธีอะไรว่ะ?” โหน่งถาม
“จากที่สันนิษฐาน ฉันว่าวิธีที่ใช้น่าจะเป็นรอก ชายคนนั้นคงเห็นว่ารุ่นน้องแกไปจอดไว้ที่นั่นประจำเลยคิดจะขโมย ที่มันคิดวิธีนี้มา คงเพื่อไม่ให้พวกแกรู้อะไร งุนงงกับการหายไปของจักรยาน และมันอาจจะรู้ก่อนด้วยว่าแกอยู่อีกซอย เริ่มแรกมันก็เอาเชือกที่ถือมาผูกติดเฟรมของจักรยาน เชือกของมันน่าจะยาวพอสมควร น่าจะมากกว่าห้าเมตร จากนั้นมันก็เอาปลายเชือกอีกด้านถือไว้แล้วปีนขึ้นไปบนเสา มันขึ้นไปเกือบถึงยอด แล้วก็เอาปลายเชือกนั้นลอดเป็นรอก อาจจะใช้เข็มขัดที่คาดอยู่ทำเป็นห่วงติดไว้ที่ยอดเสาแล้วร้อยเชือกผ่านเป็นตัวรอกก็ได้ ทำเสร็จมันก็เอาเชือกผูกไว้กับตัว แล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงด้านหลังกำแพง ใช้น้ำหนักตัวดึงรถจักรยานให้ค่อย ๆ ขึ้นมาทั้งที่โซ่ล็อกอยู่ เนื่องจากรถจักรยานรุ่นน้องแกน้ำหนักไม่มากแค่หกกิโล มันจึงไม่ลำบากนัก พอถึงตัวมันพื้น รถจักรยานก็ไปอยู่เกือบสุดรอกพอดี จากนั้นมันก็ผูกปลายเชือกที่ผูกตัวเข้ากับอะไรสักอย่างเพื่อยึดให้รถจักรยานอยู่ยอดเสา ซึ่งพอรุ่นน้องกับแกเดินมาก็เลยไม่เห็นรถ เนื่องจากจักรยานอยู่บนยอดเสาแล้ว พวกแกคงไม่ได้คิดว่ามันอยู่บนยอดเสา แถมสายตาคงมองได้ไม่ถึงระดับนั้น เพราะจักรยานอยู่สูงและซอยก็ไม่กว้างพอ ทำให้สังเกตได้ยาก แล้วเมื่อพวกแกออกไปจากที่นี่ มันก็เอาเชือกที่ยึดไว้ออก ค่อย ๆ ผ่อนเชือกจนจักรยานลงถึงพื้น ค่อยออกไปตัดโซ่ล็อก ปั่นจักรยานหนีออกไป ...ส่วนมันจะหนีไปที่ไหนนั้น.. ฉันคงไม่รู้หรอก”
“โอ้.. แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วแหละเพื่อน” โหน่งยกมือโอบไหล่ปลาย “แกนี่.. ไม่เสียทีที่สืบเรื่องต่าง ๆ มามากมาย ยอดนักสืบจริง ๆ”
“เออ” ปลายยิ้มรับ มองหน้าเพื่อนหนุ่ม “..แต่แกอย่าเพิ่งแน่ใจในสิ่งที่ฉันสรุปนักล่ะ”
“เฮ้ย! ทำไมว่ะ?” โหน่งงง เพราะปลายเพิ่งจะสรุปเรื่องไปแท้ ๆ แถมก็เป็นเหตุเป็นผลดี แต่เหตุใดเขาถึงมาพูดอย่างนี้
“ก็ถึงมันจะสามารถทำได้ตามวิธีที่ฉันบอก แต่จะมีใครว่ะ.. ที่ลงทุนขนาดนั้น มันขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไป ..มันอาจจะใช้วิธีการอื่นที่คิดไม่ถึงก็ได้”
“แล้วทำไมแกถึงสรุปผลว่าเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“ก็สรุปจากข้อมูลตามแกบอกนั่นแหละ แต่จริง ๆ มันอาจมีอย่างอื่นที่แกมองข้ามหรือไม่รู้ก็ได้ คงต้องหาข้อมูลเพิ่มแหละ ถึงจะยืนยันในวิธีที่ฉันบอกได้แน่ ๆ ..ถ้าให้ดีต้องไปดูที่ซอยที่จักรยานหายนั่นเลย”
“เหรอว่ะ” โหน่งเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ปลายว่า “แล้วอย่างงี้ฉันจะตามหาจักรยานยังไง ..แกจะไปดูที่ซอยนั้นให้ฉันมั้ย?”
“ไม่ว่ะ ขี้เกียจ” ปลายส่ายหน้าอย่างไม่เหลือเยื่อใย “ถึงดูไปก็เท่านั้น เต็มที่ก็แค่รู้ว่ามันเอาจักรยานไปได้อย่างไร ..ฉันว่าถ้าเรามัวมาเสียเวลาหาว่ามันเอาไปได้อย่างไร อาจจะไม่ได้จักรยานคืนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นมันอาจขายไปแล้วก็ได้ ทางที่ดีแกรีบไปตามหาตัวชายคนนั้นให้เจอก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาคิดว่ามันขโมยได้อย่างไร เพราะยังไงสิ่งที่ฉันยืนยันได้ตอนนี้คือ ชายคนนั้นเป็นคนขโมยจักรยานอย่างแน่นอน”
พอได้ฟังปลายพูดเช่นนี้ โหน่งนั่งนิ่ง แล้วไม่ยอมพูดอะไรตอบโต้อีกเลย
………………………………………..จบตอน
ปลาย นักสืบจำเป็น - File 19 : จักรยานที่หายไป [บทเฉลย]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“เออ... ฉันรอคำนี้ของแกอยู่แล้ว ไอ้ ‘ถึงเวลาสรุปผลการทดลอง’ เนี่ย…” โหน่งบอกพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมา เพราะเขารู้แล้วว่าปลายไขปริศนาเรื่องจักรยานหายได้แล้ว “ไหน.. แกลองว่ามาสิ”
ปลายยิ้มตอบ เมื่อสิ่งที่ค้างคาอยู่ในสมองกระจ่างแล้ว เขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มั่นใจ
“เอาล่ะ...” ปลายทิ้งช่วงพูดเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นชูสามนิ้ว “จุดที่จะเฉลยเรื่องนี้มันมีอยู่สามข้อ”
“อะไรล่ะ?”
“หนึ่งคือ ลักษณะของซอยที่จักรยานหายไป สองคือ เสาที่ล็อกรถจักรยานกับกำแพง ส่วนสามคือ ผู้ชายที่รุ่นน้องแกเห็น”
“งั้นเหรอ...” โหน่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ไหนแกลองไล่มาสิ”
“อืม..” ปลายพยักหน้า “อย่างแรกคือ ลักษณะของซอยที่แกเล่ามา ...ฉันว่ามันค่อนข้างแปลก”
“แปลก...” โหน่งมองหน้า
“มันแปลกอย่างไรครับพี่?” เจถามขึ้นมา
“ก็นี่ไง ...มันมีซอยสองซอยอยู่ที่มุมคนละมุมและไม่มีทางออกไปที่ไหน แถมซอยก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ด้วย แสดงว่าไม่ว่ายังไง ไอ้คนขโมยก็ต้องใช้ซอยใดซอยหนึ่งหรือทั้งสองซอยนี้แน่ ๆ เพราะมันไม่มีทางไหนแล้ว”
“เหรอ.. แล้วมันเป็นยังไงล่ะ?” โหน่งถาม
ปลายมองโหน่ง แสยะยิ้มอีกครั้ง “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนน่ะ เรามาดูจุดที่สองกันต่อ”
“เออ... งั้นก็ว่ามา”
“อืม...” ปลายพยักหน้าให้เพื่อน “จุดที่สองคือเรื่องเสาที่ล็อกกับกำแพง จากที่เจสอบถาม เสาที่ใช้ล็อกรถจักรยานนั่นนะ ...เป็นเสาสูง สูงเกือบตึกสองชั้นได้”
“แล้วมันยังไง.. เสาสูงมันเป็นยังไง?” โหน่งถาม
“เสาสูงก็สูงไงวะ จะให้มันเตี้ยหรือไงล่ะ!” ปลายสวนตอบ “กำแพงด้านหลังก็เช่นกัน จากที่แกบอกสูงประมาณสี่เมตร ซึ่งมันก็สูงทีเดียว ...แต่เรื่องนี้ก็เอาไว้ก่อน ต่อไปเรามาดูที่จุดที่สาม เป็นจุดสำคัญทีเดียว นั่นคือ ชายที่เดินสวนมา”
“มันเกี่ยวกันยังไงหรือพี่?” เจสงสัย
“อืม... เรื่องนี้มันเกี่ยวกันมากทีเดียว ..ชายที่เดินสวนมานี่ ฉันว่าเขาต้องเป็นคนขโมยจักรยานไปอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครที่มีโอกาสอย่างเค้าแล้ว ...เรามาดูการแต่งตัวของเขา จากที่โหน่งบอก มันใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น คาดเข็มขัด ไม่ใส่รองเท้า มือถือเชือก” ปลายกวาดสายตามองทุกคน “พวกแกว่าการแต่งตัวมันแปลก ๆ มั้ย?”
“ครับ” แอลที่ไม่ค่อยพูดตอบเป็นคนแรก “มันแปลกตรงที่ไม่ใส่รองเท้าใช่มั้ยครับ?”
“ถูกต้อง” ปลายพยักหน้ารับ “เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีใครหรอกที่ไม่ใส่รองเท้าเวลาเดินไปข้างนอก ดังนั้นที่มันไม่ใส่รองเท้าแสดงว่าต้องมีเหตุผล และเหตุผลที่น่าจะคิดได้...มันคงต้องเกี่ยวกับวิธีขโมยรถจักรยานแน่ ๆ”
ปลายหยุดพูดมองดูเพื่อน ๆ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาครุ่นคิดตามสิ่งที่ตัวเองอธิบาย
“มันยังไงเหรอครับ ผมยังไม่เข้าใจเลย” เอพูดขึ้นบ้าง
“นั่นสิ.. ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน” เจช่วยเสริม
อย่างพวกเขาก็ไม่เคยคิดออกอยู่แล้ว
“เออ แกรีบบอกมาเลยดีกว่า ...ลีลามากเหลือเกิน” โหน่งว่าซะเลย เพราะเห็นปลายได้แต่นั่งอมยิ้ม ไม่ยอมพูดต่อสักที
ปลายแสยะยิ้มอีก มองหน้าเพื่อนนักยูโดของตน แล้วค่อยพูดขึ้นว่า
“ก็ได้ พวกแกฟังดี ๆ ละกัน ...อย่างที่ฉันบอกแหละ สามจุดที่บอกมามันเกี่ยวข้องกัน ลองลำดับความคิดตามฉันนะ.. ซอยที่ไม่มีทางออกไปไหนได้ นอกจากสองซอยซ้ายขวานั่น ก็แสดงว่าไม่ว่ายังไงไอ้หัวขโมยต้องใช้ซอยสองซอยนี้แน่ ...แต่แล้วทำไมโหน่งกับรุ่นน้องไม่เห็นมันล่ะ.. ก็เพราะเสาไง เสาที่ล็อกจักรยานมันสูงไง มันต้องใช้เสานี้แน่ ...จากนั้นมาดูการแต่งตัวของชายคนนั้น เห็นมั้ยว่ามันไม่ได้ใส่รองเท้า เล่นตีนเปล่าเลย ..แล้วเราก็เอาทั้งหมดมารวมกันสิ มันจะได้ความว่าอย่างไร”
ทุกคนนั่งคิดตามที่ปลายพูดอีก แต่แล้วก็มีผู้หนึ่งลั่นขึ้นมา
“มันปีนเสาใช่มั้ยล่ะ?” โหน่งพูดขึ้น
“ปิ๊งป่อง! ถูกต้องเลยเพื่อน” ปลายแย้มยิ้ม “ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันปีนเสาอย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ได้แค่ปีนเสาอย่างเดียว มันยังเอารถจักรยานขึ้นเสาไปด้วย!!”
“หา!!” สามสมุนพร้อมใจร้องขึ้นมา
ปลายหันมองทั้งสาม แล้วค่อยกลับมาพูดต่อ “มันเอารถจักรยานขึ้นไปบนเสาด้วยวิธีหนึ่ง วิธีนี้มันต้องปีนเสาและใช้เชือกที่มันถือมาด้วย”
“วิธีอะไรว่ะ?” โหน่งถาม
“จากที่สันนิษฐาน ฉันว่าวิธีที่ใช้น่าจะเป็นรอก ชายคนนั้นคงเห็นว่ารุ่นน้องแกไปจอดไว้ที่นั่นประจำเลยคิดจะขโมย ที่มันคิดวิธีนี้มา คงเพื่อไม่ให้พวกแกรู้อะไร งุนงงกับการหายไปของจักรยาน และมันอาจจะรู้ก่อนด้วยว่าแกอยู่อีกซอย เริ่มแรกมันก็เอาเชือกที่ถือมาผูกติดเฟรมของจักรยาน เชือกของมันน่าจะยาวพอสมควร น่าจะมากกว่าห้าเมตร จากนั้นมันก็เอาปลายเชือกอีกด้านถือไว้แล้วปีนขึ้นไปบนเสา มันขึ้นไปเกือบถึงยอด แล้วก็เอาปลายเชือกนั้นลอดเป็นรอก อาจจะใช้เข็มขัดที่คาดอยู่ทำเป็นห่วงติดไว้ที่ยอดเสาแล้วร้อยเชือกผ่านเป็นตัวรอกก็ได้ ทำเสร็จมันก็เอาเชือกผูกไว้กับตัว แล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงด้านหลังกำแพง ใช้น้ำหนักตัวดึงรถจักรยานให้ค่อย ๆ ขึ้นมาทั้งที่โซ่ล็อกอยู่ เนื่องจากรถจักรยานรุ่นน้องแกน้ำหนักไม่มากแค่หกกิโล มันจึงไม่ลำบากนัก พอถึงตัวมันพื้น รถจักรยานก็ไปอยู่เกือบสุดรอกพอดี จากนั้นมันก็ผูกปลายเชือกที่ผูกตัวเข้ากับอะไรสักอย่างเพื่อยึดให้รถจักรยานอยู่ยอดเสา ซึ่งพอรุ่นน้องกับแกเดินมาก็เลยไม่เห็นรถ เนื่องจากจักรยานอยู่บนยอดเสาแล้ว พวกแกคงไม่ได้คิดว่ามันอยู่บนยอดเสา แถมสายตาคงมองได้ไม่ถึงระดับนั้น เพราะจักรยานอยู่สูงและซอยก็ไม่กว้างพอ ทำให้สังเกตได้ยาก แล้วเมื่อพวกแกออกไปจากที่นี่ มันก็เอาเชือกที่ยึดไว้ออก ค่อย ๆ ผ่อนเชือกจนจักรยานลงถึงพื้น ค่อยออกไปตัดโซ่ล็อก ปั่นจักรยานหนีออกไป ...ส่วนมันจะหนีไปที่ไหนนั้น.. ฉันคงไม่รู้หรอก”
“โอ้.. แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วแหละเพื่อน” โหน่งยกมือโอบไหล่ปลาย “แกนี่.. ไม่เสียทีที่สืบเรื่องต่าง ๆ มามากมาย ยอดนักสืบจริง ๆ”
“เออ” ปลายยิ้มรับ มองหน้าเพื่อนหนุ่ม “..แต่แกอย่าเพิ่งแน่ใจในสิ่งที่ฉันสรุปนักล่ะ”
“เฮ้ย! ทำไมว่ะ?” โหน่งงง เพราะปลายเพิ่งจะสรุปเรื่องไปแท้ ๆ แถมก็เป็นเหตุเป็นผลดี แต่เหตุใดเขาถึงมาพูดอย่างนี้
“ก็ถึงมันจะสามารถทำได้ตามวิธีที่ฉันบอก แต่จะมีใครว่ะ.. ที่ลงทุนขนาดนั้น มันขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไป ..มันอาจจะใช้วิธีการอื่นที่คิดไม่ถึงก็ได้”
“แล้วทำไมแกถึงสรุปผลว่าเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“ก็สรุปจากข้อมูลตามแกบอกนั่นแหละ แต่จริง ๆ มันอาจมีอย่างอื่นที่แกมองข้ามหรือไม่รู้ก็ได้ คงต้องหาข้อมูลเพิ่มแหละ ถึงจะยืนยันในวิธีที่ฉันบอกได้แน่ ๆ ..ถ้าให้ดีต้องไปดูที่ซอยที่จักรยานหายนั่นเลย”
“เหรอว่ะ” โหน่งเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ปลายว่า “แล้วอย่างงี้ฉันจะตามหาจักรยานยังไง ..แกจะไปดูที่ซอยนั้นให้ฉันมั้ย?”
“ไม่ว่ะ ขี้เกียจ” ปลายส่ายหน้าอย่างไม่เหลือเยื่อใย “ถึงดูไปก็เท่านั้น เต็มที่ก็แค่รู้ว่ามันเอาจักรยานไปได้อย่างไร ..ฉันว่าถ้าเรามัวมาเสียเวลาหาว่ามันเอาไปได้อย่างไร อาจจะไม่ได้จักรยานคืนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นมันอาจขายไปแล้วก็ได้ ทางที่ดีแกรีบไปตามหาตัวชายคนนั้นให้เจอก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาคิดว่ามันขโมยได้อย่างไร เพราะยังไงสิ่งที่ฉันยืนยันได้ตอนนี้คือ ชายคนนั้นเป็นคนขโมยจักรยานอย่างแน่นอน”
พอได้ฟังปลายพูดเช่นนี้ โหน่งนั่งนิ่ง แล้วไม่ยอมพูดอะไรตอบโต้อีกเลย
………………………………………..จบตอน