แก่นของพุทธ คือ อริยสัจ
ดับเหตุได้ ก็ดับผลได้ ดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ก็ไม่เกิด
เพศที่สาม ก็เหมือนปุถุชนคนอื่นทั้งโลก โลก โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา
ในเรื่องอื่น ๆ นั้น แม้ผิดธรรม ผิดโลกย์ แต่ก็อาจไม่เกี่ยวพันส่งผลกระทบกระเทือนต่อศาสนารุนแรง
ต่างกับเรื่องบวชถือครองสมณเพศ ที่เกี่ยวข้องส่งผลต่อศาสนาโดยตรง
.
ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าคนที่อยากบวชสละแล้วซึ่งโลกียะ
ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าบวชเป็นเณรเป็นพระแล้ว คน ๆ นั้นจะกลายเป็นคนดี ถือเคร่งพระวินัยได้เด็ดขาด
นี่หมายความถึงเรื่องโดยทั่ว ๆ ไป
ความไม่มีอะไรเป็นหลักประกันนี้ เมื่อเกิดปัญหา ก็ไม่ได้สร้างความโกลาหลวุ่นวายต่อศาสนาเกินไป
ต่างกับเรื่องกามารมณ์
.
หญิงกับชาย ก็เหมือนไฟกับน้ำมัน มดกับน้ำตาล
หากใชุ้มมมองแค่ว่า เพศที่สามก็คือคนปกติ ไม่ได้มีจิตใจเลวร้าย ไม่ได้ประพฤติชั่ว เป็นคนดี ทำไมจะบวชไม่ได้
ก็ลองเปลี่ยนวิธีคิดอีกสักมุมดูสิว่า หญิงกับชาย ครองสมณเพศร่วมกัน ใกล้ชิดกัน เหตุแห่งทุกข์จะเกิดหรือไม่
ชายกับชาย บางครั้งยังเกิดปัญหาราคะ หญิงกับชาย เกิดแน่ ๆ
ชายทั้งนั้น ยังดึงหญิงเข้ากุฎิ ยังออกมาอาบอบนวด
ด้วยเหตุนี้ การดับเหตุ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมถูกต้องแล้ว
.
การเป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปนักบวชเสมอไป พระเลวมีเยอะแยะ
การปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่วัด ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสมณเพศเท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพครับ แต่คือเรื่องกฎ กติกา ของสังคม วัฒนธรรม
ห้ามบวช ไม่ใช่เพราะเป็นคนไม่ดี ไม่ใช่เพราะเป็นคนแปลกแยก
แต่เพราะท่านมองเห็น เข้าใจ รู้ลึกซึ้งถึงธรรมชาติทั้งปวง
พุทธศาสนา ไม่มีพระเจ้า ธรรมะ หรือธรรมชาติล้วน ๆ
สรรพสิ่งล้วนพึ่งพิงอิงเอื้อซึ่งกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เพราะมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิด
.
ฝากถึง ส.ส. อนาคตใหม่ครรับ
เพราะท่านเห็นเหตุอันจะทำให้เกิดผล ท่านจึงห้ามบวช ............................. โดย ทิดขวัญ
แก่นของพุทธ คือ อริยสัจ
ดับเหตุได้ ก็ดับผลได้ ดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ก็ไม่เกิด
เพศที่สาม ก็เหมือนปุถุชนคนอื่นทั้งโลก โลก โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา
ในเรื่องอื่น ๆ นั้น แม้ผิดธรรม ผิดโลกย์ แต่ก็อาจไม่เกี่ยวพันส่งผลกระทบกระเทือนต่อศาสนารุนแรง
ต่างกับเรื่องบวชถือครองสมณเพศ ที่เกี่ยวข้องส่งผลต่อศาสนาโดยตรง