เรื่องราวความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในเทพนิยายอย่างซินเดอเรลลาหรืออะลาดินเท่านั้น หากแต่หลายครั้งหลายคราวเรื่องเหล่านี้ก็เกิดขึ้นในชีวิตจริง ซึ่งการขึ้นมาเป็นหนึ่งในราชวงศ์นั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิตสามัญชนเหล่านั้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งความเป็นอยู่และจารีตมากมายที่ต้องปฏิบัติตาม
มีบางกรณีอีกเหมือนกันที่หนังโลกได้บันทึกเรื่องราวของเขาและเธอไว้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ และเราอยากชวนคุณมาทำความรู้สึกเรื่องราวจากภาพยนตร์เหล่านี้ไปด้วยกัน
วอลลิส ซิมป์สัน – W.E. (2011, มาดอนนา)
“ฉันกล้าหาญเสมอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแปลกใหม่ที่ชีวิตยื่นให้”
ก่อนหน้าจะมาเป็น วอลลิส ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ วอลลิส ซิมป์สันคือหญิงสาวชาวอเมริกันที่เกิดในตระกูลผู้ดีและมีฐานะอยู่ก่อนแล้ว ภายหลังจากที่พ่อเสียชีวิตด้วยวัณโรคในปร 1896 เธอกับแม่ก็ย้ายมาอยู่กับญาติข้างฝั่งพ่อผู้ร่ำรวยมหาศาล เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนโอลด์ฟีลด์ส โรงเรียนหญิงล้วนที่แพงที่สุดในแมรี่แลนด์ เปิดโอกาสให้เธอได้รู้จักและสมาคมกับเพื่อนจากชนชั้นสูง ตลอดจนเหล่าครอบครัวนักธุรกิจชื่อดังมากมาย มีบันทึกนักเรียนหญิงร่วมชั้นถึงซิมป์สันว่าเธอนั้น “เจิดจ้ามากๆ เธอเปล่งประกายยิ่งกว่าใครคนใดในหมู่พวกเราเลย” และสังคมแห่งนั้นได้หล่อหลอมให้ซิมป์สันเรียนรู้วิธีการเข้าสังคมในหมู่พวกนาย ตลอดจนพิธีการและมารยาท ในหนังสือชีวประวัติของเธอนั้นบรรยายไว้ว่า “แม้ช่วงคางของเธอจะทำให้พูดได้ยากว่าเธอนั้นสวย แต่เธอก็มีนัยน์ตาเป็นประกายสีน้ำเงิน รูปร่างเล็ก ท่าทางฉลาดเฉลียว สดใสอย่างยิ่ง”
ปี 1961 ซิมป์สันได้รู้จักกับ เอิร์ล วินฟิลด์ สเปนเซอร์ จูเนียร์ นักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ เมื่อเขามาเยี่ยมญาติเธอในฟลอริด้า ทั้งคู่แต่งงานกันในปีนั้นเอง มีบันทึกยืนยันหลายแห่งว่าสามีของเธอนั้นเป็นคนดื่มหนัก เขาดื่มก่อนจะขึ้นบินและเคยประสบอุบัติเหตุอย่างจังแต่รอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน ซิมป์สันคบๆ เลิกๆ กับสเปนเซอร์อยู่อีกพักใหญ่ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เธอจะห่างจากเขาอย่างถาวรเมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศจีน เธอพบกับ กาเลซโซ ไคโน รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี (ในเวลาต่อมาเป็นลูกเขยของ เบนิโต มุสโซลินี ผู้นำของพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ของอิตาลี) และมีสัมพันธ์ต่อกันจนเธอตั้งครรภ์จนเธอต้องทำแท้งซึ่งส่งผลให้ร่างกายของเธอไม่แข็งแรง
ซิมป์สันหย่าขาดจากสเปนเซอร์อย่างเป็นทางการในปี 1927 เธอแต่งงานหนที่สองกับ เออร์เนสต์ แอลดริช ซิมป์สัน นักธุรกิจสัญชาติแองโกลอเมริกันและย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เมย์แฟร์ ประเทศอังกฤษ ช่วงขวบปีนี้เองที่เธอมีโอกาสได้พบกับ เธลมา เฟอร์เนสส์ หรือไวเคาน์เตสเฟอร์เนสส์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นคนรักของ เอ็ดวาร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ ทายาทของราชวงศ์อังกฤษ มีรายงานว่าทั้งสองพบกันหลังจากนั้นหลายหนในงานรื่นเริงต่างๆ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เออร์เนสต์ สามีของซิมป์สันกำลังเผชิญภาวะตึงเครียดทางการเงินอยู่พอดี ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงระส่ำระสาย ประกอบกันกับเฟอร์เนสส์เดินทางไปพักที่นิวยอร์ค จึงเปิดโอกาสให้ซิมป์สันได้ใกล้ชิดกับเอ็ดวาร์ด และแม้เอ็ดวาร์ดจะปฏิเสธกับครอบครัวว่าพระองค์ไม่ได้สัมพันธ์เกินเลยกับซิมป์สัน แต่มีพยานรู้เห็นหลายคนว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน ตัวซิมป์สันออกห่างและไม่สนิทกับเฟอร์เนสส์อีกต่อไป เช่นเดียวกับเจ้าชายที่ทรงห่างจากคนรักเก่าด้วย
ความสัมพันธ์ของเจ้าชายและซิมป์สันมาถึงจุดสูงสุดราวปี 1934 โดยเอ็ดวาร์ดเขียนบรรยายถึงซิมป์สันในหนังสืออัตชีวประวัติของพระองค์ว่าทรง “หลงเธออย่างหัวปักหัวปำ” นำมาสู่การที่เจ้าชายเอ็ดวาร์ดแนะนำหล่อนให้แม่ของเขา -แมรีแห่งเทค- รู้จัก ขณะที่พ่อซึ่งคือพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรไม่ยอมรับซิมป์สันด้วยประวัติชีวิตคู่ของหล่อน กระทั่งเมื่อเจ้าชายได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร ซิมป์สันจึงเดินเรื่องหย่าขาดจากนายเออร์เนสต์ คนรักเก่าและเข้าพิธีอภิเษกสมรส นำมาสู่ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่เมื่อสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพต่างไม่ให้การยอมรับแก่ซิมป์สัน กระทั่งเอ็ดวาร์ดทรงสละราชสมบัติเพื่อครองรักกับเธออย่างจริงจัง และเปิดทางให้เจ้าชายอัลเบิร์ตขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 6 แทน ส่วนเอ็ดวาร์ดดำรงตำแหน่งเป็นดยุกแห่งวินด์เซอร์
เรื่องราวความรักระหว่างทั้งสองกลายเป็นหนึ่งในคู่รักที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคู่หนึ่งในสมัยนั้นของราชวงศ์อังกฤษ เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงเรื่องราวของหญิงสามัญกับเจ้าชายเท่านั้น หากแต่ยังเป็นคู่รักที่เต็มไปด้วยแรงต้านและแรงเสียดทานทางการเมือง เรื่องราวของทึ้งคู่ได้รับการบอกเล่าในโลกภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่น และเวอร์ชั่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ W.E. หนังยาวลำดับที่สองของมาดอนนา ที่นำเรื่องราวความสัมพันธ์ของดยุกแห่งวินด์เซอร์กับซิมป์สันมาผูกโยงกับเรื่องแต่ง โดยว่าด้วยชีวิตอับเฉาของ วัลลี (แอบบีย์ คอร์นิช) ไฮโซนางหนึ่งที่ชีวิตรักพังทลาย เมื่อเธอเดินมาดูนิทรรศการที่ว่าด้วยชีวิตรักต่างชนชั้นของเอ็ดวาร์ด (เจมส์ ดีอาห์ซีย์) กับ ซิมป์สัน (แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์) ก็ทำให้เธอประทับใจจนมีหวังในความรักอีกครั้ง ไปพร้อมๆ กันนั้น เธอได้สานสัมพันธ์กับยามรักษาความปลอดภัยที่ดูแลนิทรรศการชาวรัสเซีย เอฟจินี (ออสการ์ ไอแซ็ค) นอกจากนี้ เรื่องราวของซิมป์สันและเอ็ดวาร์ดยังเคยถูกนำมาเล่าก่อนนี้แล้วใน The Woman He Loved (1988, ชาร์ลส์ จาร์ร็อตต์) และ Wallis & Edward (2005, เดวิด มัวร์) ซึ่งเป็นหนังออกฉายทางโทรทัศน์ทั้งสองเรื่อง
👑 จากเกรซ เคลลีถึงเจ้าหญิงไดอานา: รู้จักเหล่าสามัญชนผู้กลายเป็นเชื้อพระวงศ์ผ่านหนังโลก 👑