Love in the Mist
(ภาพของ Anastasia's death ภาพจาก www.pinterest.com)
Love in the Mist เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของดอก Nigella damascene ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกับ Ranunculaceae ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุสั้น มีถิ่นกำเนิดจากยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โดยมักจะพบบนพื้นดินที่มีลักษณะชื้นและถูกปล่อยทิ้งไว้
ลำต้นของ Love in the Mist เติบโตสูงถึง 20-50 ซม.สำหรับดอกของมันจะผลิบานในช่วงต้นฤดูร้อน สีของดอกมีหลากหลายเฉดสีทั้งสีฟ้า สีขาว สีชมพู สีม่วง มีกลีบดอกตั้งแต่ 5-25 กลีบ
ดอกไม้ชนิดนี้เติบโตง่าย เพาะปลูกกันมาตั้งแต่สมัยพระนางอลิซาเบทแห่งราชวงศ์อังกฤษ ผลของมันมีลักษณะคล้ายแคปซูลและมีขนาดใหญ่ ภายในมีเมล็ด โดยผลของมันจะค่อยๆ แก่จนมีสีน้ำตาล จากนั้นเมื่อเมล็ดร่วง ต้นของมันก็จะงอกจากเมล็ดของมันเอง
นอกจากความสวยหวาน โรแมนติกของดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ดอกไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกว่า Devil in the Brush หรือปีศาจ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่าดอกไม้สวยๆ จะได้ฉายาที่แอบซ่อนความน่ากลัวไว้ด้วย (ดอก Love in the Mist ถูกพูดถึงในละคร “แอบรักออนไลน์”)
Cr.sanook.com/
ดอกไม้แห่งความตาย
ฮิกังบานะ เป็นชื่อของดอกไม้สีแดงสดที่จะบานในช่วงวันวสันตวิษุวัตเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงวันก่อนเข้าฤดูใบไม้ร่วงที่เวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน ก่อนที่กลางวันจะเริ่มยาวนานกว่า โดยชาวญี่ปุ่นจะเรียกช่วงเวลานี้ว่า “ฮิกัง” ดอกฮิกังบานะจึงหมายถึงดอกไม้แห่งวันวสันตวิษุวัต มีชื่อภาษาไทยว่า “ พลับพลึงสีแดง ” ( Red Spider Lily) อีกชื่อคือ มันจูชาเกะ แปลว่า ดอกไม้ที่มาจากสวรรค์
คำเรียกของไม้สีแดงหน้าตาน่าพิศวงนี้ก็เป็นชื่อที่ให้ความหมายในแง่ร้ายทั้งหมด เช่น “ดอกไม้แห่งความตาย” “ดอกไม้คนตาย” “ดอกไม้นรก” และ “ดอกไม้ผี” โดยชื่อเรียกของดอกพลับพลึงสีแดงนี้มีมากกว่าหนึ่งพันชื่อ เหตุผลที่ทำให้ดอกฮิบังกานะมีชื่อที่ฟังดูเป็นลางร้ายมากมายนั้น เป็นเพราะสถานที่ที่มันถูกปลูก และการใช้ประโยชน์ของมัน
ในสมัยโบราณที่คนญี่ปุ่นยังไม่เผาศพแล้วฝัง การทำพิธีจะเป็นการฝังศพลงในดินแล้วปล่อยให้เกิดการย่อยสลายของซากศพไปเอง แต่เมื่อมีสัตว์มารบ
กวน ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า แรคคูน หรือราที่อยู่ใต้ดินก็ทำให้การย่อยสลายศพเชื่องช้าลงไป จึงได้มีการปลูกต้นฮิกังบานะไว้รอบหลุมศพ เพื่อกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาใกล้ เพราะทุกส่วนของต้นฮิกังบานะนั้นมีพิษทั้งหมด ปัจจุบันถึงแม้จะไม่ต้องการการย่อยสลายศพในหลุมแล้ว แต่ก็ยังคงมีการปลูกดอกไม้นี้เอาไว้อยู่
พิษของฮิกังบานะนั้นรุนแรงมาก หากมนุษย์กินดอกไม้นี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างหนัก สามารถเป็นอัมพาตและตายได้ จึงถูกใช้เพื่อไล่ศัตรูพืชและสัตว์อื่น ๆ ที่มารบกวน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าห้ามนำดอกฮิกังบานะกลับบ้านด้วย เพราะจะทำให้บ้านไฟไหม้
ส่วนมันจูชาเกะ หมายถึงดอกสีขาวที่ปลูกในวัดหรือศาลเจ้า ชื่อนี้มีที่มาจากพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธ ในตอนที่มีดอกไม้สีขาวหล่นลงมาจากเทวโลก
ความแปลกอีกหนึ่งอย่างของดอกฮิกังบานะก็คือ ดอกและใบของมันจะไม่ขึ้นพร้อมกัน ในจีนและเกาหลีจึงถือดอกไม้นี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแยกจาก การจากลาของคนรักที่จะไม่มีวันได้พบกันอีก
Cr.pkgjourney.com/
กลิ่นหอมแห่งความพิศวง
ดอกเหมยเป็นดอกไม้ของจีนที่ค่อนข้างจะคุ้นหูมานาน ซึ่งปัจจุบันดอกเหมยเป็นดอกไม้ที่รัฐบาลและประชาชนชาวจีนยกย่องให้เป็นกว๋อฮว้า หรือดอกไม้ประจำชาติจีน เป็นดอกไม้ที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โดยเฉพาะในเทศกาล ชิงหมิง ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชาวจีนไปเยี่ยมคำนับศพบรรพบุรุษ มักจะเก็บดอกเหมยไปวางที่ฮวงซุ้ย และยังเก็บเอาไปแขวนไว้ในบ้าน เชื่อกันว่าดอกเหมยมีอำนาจที่จะขับไล่วิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่จะมารบกวนได้ด้วย
ดอกเหมยมีดอกแย้มบานในระหว่างปลายฤดูหนาวติดกับต้นฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่อากาศกำลังหนาวจัด มีหลายสีหลายชนิด หากเป็นดอกสีขาวแกมเขียวน้อยๆ เรียกว่า ชี้งเอ้อเหมย (Plum flower) ซึ่งได้รับรองกันในวงจินตกวีทั้งหลายว่าเป็นดอกเหมยที่เกิดจากพันธุ์แท้ ทำให้ผู้ที่พบเห็นถึงกับหลงใหลในความงามของดอกมหาเสน่ห์แห่งเมืองจีนนี้ยิ่งนัก ด้วยกลิ่นอายของดอกเหมยที่บานพร้อมกันสะพรั่งทำให้ผู้ที่ได้มาสัมผัสรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ท่ามกลางกลิ่นอายของดอกเหมยที่บานเต็มต้นไปทั้งแถบ ราวกับว่าได้อยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
กลิ่นหอมของดอกเหมยมีลักษณะค่อนข้างประหลาดพิสดารมาก กล่าวคือมีกลิ่นหอมระรวย ระรื่น ราวกับว่าได้อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมๆ คละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ยิ่งเมื่อยืนอยู่ทางปลายลมอาจไม่รู้ว่ากลิ่นหอมๆ นั้นแอบแฝงอยู่ที่ไหน แต่ในเวลาเดียวกัน กลับทำให้รู้ได้ว่ากลิ่นหอมนี้กำลังล่องลอยไปตามลมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่น่าแปลก หากลองเอาจมูกไปดมที่ดอกเหมยอย่างใกล้ชิด จะไม่มีกลิ่นหอมเลย
สรุปก็คือกลิ่นของดอกเหมยไม่ได้อยู่ที่ในตัวของดอกเหมยโดยตรง หากแต่อยู่ในอากาศรอบๆ ตัวของดอกเหมย ดอกเหมยจึงเป็นดอกไม้ชนิดที่ได้ยืนชมดมกลิ่นอยู่ห่างๆ หากจะเอื้อมไปเด็ดมาดอมดมนั้น คงจะไม่ได้กลิ่นหอมๆ อย่างแน่นอน
Cr.idofragrance.com/
ดอกโครงกระดูก โดนน้ำแล้วใส
(Cr.ภาพจาก : interflora.com.au)
มหัศจรรย์ธรรมชาติสร้าง ดอกไม้พิศวงโดนน้ำแล้วกลีบบางใส งดงามดุจคริสตัล แถมเมื่อแห้งยังกลับเป็นสีขาวได้ดังเดิม
ดอกโครงกระดูก (Skeleton flower) หรือดอก Diphylleia grayi พบเห็นได้ตามป่าเขาในแถบหนาวเย็นของประเทศจีนและญี่ปุ่น ดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ เหล่านี้ ซุกซ่อนความอัศจรรย์ไว้ที่กลีบอันบอบบาง ยามถูกหยาดน้ำประพรมชุ่มฉ่ำเม็ด สีขาวในกลีบดอกจะสลายตัวไป เปลี่ยนกลีบดอกเล็ก ๆ น่ารักให้กลายเป็นเยื่อบางใส แลคล้ายดอกไม้คริสตัล และการที่มันโปร่งบางจนเห็นเส้นใยโครงร่างของกลีบชัดแจ๋ว ก็เป็นที่มาของชื่อเรียกว่าโครงกระดูก และเมื่อหยาดน้ำระเหยแห้งไป กลีบดอกน้อย ๆ นี้ก็ค่อย ๆ ซับสีขาวกลับขึ้นมาตามเดิม
Skeleton flower นี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงเพียง 0.4 เมตร เติบโตได้ดีในแดดรำไร ส่วนดอกของมันจะผลิบานในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงหน้าร้อน
Cr.hilight.kapook.com/
ดอกไม้ประหลาดมีอายุแค่วันเดียว
ต้นไม้ที่มีดอกเหลืองอร่าม ต้นนี้ ชื่อต้นดอกเหลืองอินเดีย (Golden Tree) อายุของต้นเหลืองอินเดียขณะนี้อายุ ประมาณ 10 ปี ซึ่งดอกเหลืองอินเดียจะบานปีละครั้ง ดอกจะบานวันเดียวแล้วร่วงหมดต้น ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น ดอกเหลืองอินเดีย ยังเป็นไม้มงคล เหมาะแก่การปลูกเป็นไม้ดอก และไม้ประดับไว้บริเวณบ้านเรือน
จะออกดอกเดือนมีนาคม-เมษายน ดอกจะบานเพียง 1-2 วันเท่านั้น ในช่วงเวลาแดดเต็มวัน ชอบขึ้นบริเวณดินปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกตอนเหนือถึงเวเนซูเอล่า
ในไทยพบต้นไม้นี้ ภายในโรงงาน บริษัท ไทยสากลการพิมพ์ หน้าหมู่บ้านเมืองทอง ริมถนนนาตาล่วง-บ้านโพธิ์ หมู่ที่ 5 ต.นาตาล่วง อ.เมืองตรัง กำลังออกดอกบานเหลืองอร่ามทั้งต้น อย่างสวยงาม ชาวบ้านและพนักงานโรงงานต่างได้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก เพราะดอกไม้ชนิดนี้ดอกจะบานและอายุสั้นมาก และหากมีฝนตกดอกก็จะร่วงเร็วมากขึ้น
Cr.77jowo.com/
ดอกไม้แห่งสวรรค์ ความเชื่อระลึกชาติได้
ปาริชาต หรือ ปาริฉัตร เป็นที่นิยมนำมาตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งแท้จริงแล้ว ปาริชาต เป็นชื่อของ
หลาง โดยมีความเชื่อกันว่า เป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ หากใครได้ดมจะระลึกชาติได้ ได้รู้เห็นอดีตชาติของตนเอง
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามเรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร รูปดอกถั่ว สีแดงเข้ม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ผลเป็นฝักยาว 15-30 เซนติเมตร
พบทั่วไปในเอเชียเขตอบอุ่น และเขตร้อน เช่น อินเดีย ชอบขึ้นริมน้ำ ต้นปาริชาต เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดปทุมธานี
ในวรรณคดีทางพุทธศาสนา เช่น เตภูมิกถา และ กามนิตวาสิฏฐี กล่าวว่า ต้นปาริชาต คือ ต้นทองหลาง อยู่ในปุณฑริกวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ มีดอกสีแดงฉาน ร้อยปีจึงจะบานสักครั้ง ทุกครั้งที่บานจะส่งกลิ่นหอมและมีแสงสว่างไปทั่ว เหล่าเทพบุตรเทพธิดาจะมาฉลองร่วมกันใต้ต้นปาริชาต
ผู้ใดที่ต้องการดอกไม้ไปทัดหูเพียงยื่นมือออกไปดอกไม้นั้นก็หล่นลงมาเอง หากรับไม่ทันจะมีลมหมุนวนประคองไว้จนกว่าจะรับได้ กลิ่นของดอกปาริชาตจะทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปเกิดอาการวิงเวียนและสามารถระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติที่ใกล้ที่สุดจนถึงชาติที่ไกลโพ้นออกไป ในขณะที่ดอกปาริชาตในอินเดีย คือ ดอกกรรณิการ์ ของไทยเราซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีของหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ และเป็นดอกไม้สำหรับบูชาพระกฤษณะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก janicha.net , biogang.net
ดอกไม้สื่อความรัก
ดอกป๊อปปี้ เป็นพืชในวงศ์ Papaveraceae ที่ออกดอก ดอกป๊อปปี้จะประกอบด้วย 4-6 ใบ มีสีสันแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุ์ บางพันธุ์อาจมีลวดลาย ซึ่งดอกฝิ่นถือว่าเป็นดอกป๊อปปี้พันธุ์หนึ่ง ดอกป๊อปปี้แดง จัดอยู่ในพันธุ์ Papaver rhoeas เป็นวัชพืชพันธุ์หนึ่งในยุโรป
และเป็นสัญลักษณ์แทน ทหารผ่านศึก ผู้พิทักษ์รักษาประเทศชาติให้มีเอกราชอธิปไตย สีแดงของดอกป๊อปปี้ คือ เลือดของทหารหาญที่ได้หลั่งชโลมแผ่นดินไว้ด้วยความกล้าหาญ เสียสละอันสูงสุด
มีประวัติเกี่ยวโยงถึงสมรภูมิฟลานเดอร์ส สมรภูมิเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ระหว่างสัมพันธมิตรและเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ ทหารพันธมิตรได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากสมรภูมินี้มากที่สุด จอมพลเอิร์ล ออฟ เฮก ผู้บัญชาการรบที่นั่นได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าพิศวง และน่าพิศมัยเกิดขึ้น ณ สมรภูมิดังกล่าวในบริเวณหลุมฝังศพทหาร โดยมีดอกป๊อปปี้ป่าขึ้นอยู่เดียรดาษทั่วไป ทำให้เกิดเป็นลานสีแดงฉานสวยงาม ตั้งแต่นั้นมาดอกป๊อปปี้จึงกลายเป็นดอกไม้อนุสรณ์แห่งวีรกรรมของทหารผ่านศึก เตือนใจให้ระลึกถึงเลือดสีแดงของทหารที่ได้เสียสละเพื่อประเทศชาติ
Cr.siraprapa17.blogspot.com/
ชีวิตลึกลับในพงไพร
"ต้นพิศวง" เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะในผืนป่าดงพญาเย็น และเป็นพืช 1 ใน 16 ชนิด ที่มีเฉพาะถิ่น ซึ่งเป็นความโดดเด่นด้านความหลากหลายทางชีววิทยาในผืนป่าดงพญาเย็น ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ นำเสนอคณะกรรมการมรดกโลก จนกระทั่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ในนามกลุ่มป่า "ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่" เมื่อปี 2548 อีกชื่อหนึ่งเขาเรียกว่า "ดอกพิศวงรยางค์" Thismia javanica (J.J. Smith)
สำหรับพรรณพฤกษชาตินี้พบได้เฉพาะช่วงฝนเท่านั้น มีชื่อในภาษาไทยคือ พิศวง เป็นพืชมีดอกในกลุ่ม พืชใบเลี้ยงเดี่ยว อดีตเคยถูกจัดไว้ในวงศ์หญ้าข้าวก่ำ (Family Burmaniaceae) ทว่าปัจจุบันแยกออกมาเป็น วงศ์พิศวง (Family Thismiaceae) ซึ่งทุกชนิดในวงศ์นี้เป็นพืชกินซากขนาดเล็ก พืชในวงศ์นี้ทั่วโลกมีอยู่ 10 สกุล ราว 25 ชนิด โดยส่วนใหญ่พบเฉพาะป่าฝนเขตร้อน ยกเว้นทวีปแอฟริกาและยุโรปที่ยังไม่มีรายงานการค้นพบ (ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.rakpangsida.net/)
ขอบคุณข้อมูลจากเวปบอร์ดของ กลุ่มเรารักษ์ป่า
เป็นหนังสยองขวัญตำนานพื้นบ้าน ที่ว่าด้วยคนจากที่หนึ่งหลุดเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันแปลกประหลาด ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ อาริ แอสเตอร์ ที่เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์ทั่วโลก ให้เป็นหนึ่งในหนังเยี่ยมแห่งปี 2018
Cr.THE STANDARD
ดอกไม้แห่งความพิศวง
(ภาพของ Anastasia's death ภาพจาก www.pinterest.com)
Love in the Mist เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของดอก Nigella damascene ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกับ Ranunculaceae ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุสั้น มีถิ่นกำเนิดจากยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โดยมักจะพบบนพื้นดินที่มีลักษณะชื้นและถูกปล่อยทิ้งไว้
ลำต้นของ Love in the Mist เติบโตสูงถึง 20-50 ซม.สำหรับดอกของมันจะผลิบานในช่วงต้นฤดูร้อน สีของดอกมีหลากหลายเฉดสีทั้งสีฟ้า สีขาว สีชมพู สีม่วง มีกลีบดอกตั้งแต่ 5-25 กลีบ
ดอกไม้ชนิดนี้เติบโตง่าย เพาะปลูกกันมาตั้งแต่สมัยพระนางอลิซาเบทแห่งราชวงศ์อังกฤษ ผลของมันมีลักษณะคล้ายแคปซูลและมีขนาดใหญ่ ภายในมีเมล็ด โดยผลของมันจะค่อยๆ แก่จนมีสีน้ำตาล จากนั้นเมื่อเมล็ดร่วง ต้นของมันก็จะงอกจากเมล็ดของมันเอง
นอกจากความสวยหวาน โรแมนติกของดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ดอกไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกว่า Devil in the Brush หรือปีศาจ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่าดอกไม้สวยๆ จะได้ฉายาที่แอบซ่อนความน่ากลัวไว้ด้วย (ดอก Love in the Mist ถูกพูดถึงในละคร “แอบรักออนไลน์”)
Cr.sanook.com/
ดอกไม้แห่งความตาย
ฮิกังบานะ เป็นชื่อของดอกไม้สีแดงสดที่จะบานในช่วงวันวสันตวิษุวัตเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงวันก่อนเข้าฤดูใบไม้ร่วงที่เวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน ก่อนที่กลางวันจะเริ่มยาวนานกว่า โดยชาวญี่ปุ่นจะเรียกช่วงเวลานี้ว่า “ฮิกัง” ดอกฮิกังบานะจึงหมายถึงดอกไม้แห่งวันวสันตวิษุวัต มีชื่อภาษาไทยว่า “ พลับพลึงสีแดง ” ( Red Spider Lily) อีกชื่อคือ มันจูชาเกะ แปลว่า ดอกไม้ที่มาจากสวรรค์
คำเรียกของไม้สีแดงหน้าตาน่าพิศวงนี้ก็เป็นชื่อที่ให้ความหมายในแง่ร้ายทั้งหมด เช่น “ดอกไม้แห่งความตาย” “ดอกไม้คนตาย” “ดอกไม้นรก” และ “ดอกไม้ผี” โดยชื่อเรียกของดอกพลับพลึงสีแดงนี้มีมากกว่าหนึ่งพันชื่อ เหตุผลที่ทำให้ดอกฮิบังกานะมีชื่อที่ฟังดูเป็นลางร้ายมากมายนั้น เป็นเพราะสถานที่ที่มันถูกปลูก และการใช้ประโยชน์ของมัน
ในสมัยโบราณที่คนญี่ปุ่นยังไม่เผาศพแล้วฝัง การทำพิธีจะเป็นการฝังศพลงในดินแล้วปล่อยให้เกิดการย่อยสลายของซากศพไปเอง แต่เมื่อมีสัตว์มารบ
กวน ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า แรคคูน หรือราที่อยู่ใต้ดินก็ทำให้การย่อยสลายศพเชื่องช้าลงไป จึงได้มีการปลูกต้นฮิกังบานะไว้รอบหลุมศพ เพื่อกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาใกล้ เพราะทุกส่วนของต้นฮิกังบานะนั้นมีพิษทั้งหมด ปัจจุบันถึงแม้จะไม่ต้องการการย่อยสลายศพในหลุมแล้ว แต่ก็ยังคงมีการปลูกดอกไม้นี้เอาไว้อยู่
พิษของฮิกังบานะนั้นรุนแรงมาก หากมนุษย์กินดอกไม้นี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างหนัก สามารถเป็นอัมพาตและตายได้ จึงถูกใช้เพื่อไล่ศัตรูพืชและสัตว์อื่น ๆ ที่มารบกวน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าห้ามนำดอกฮิกังบานะกลับบ้านด้วย เพราะจะทำให้บ้านไฟไหม้
ส่วนมันจูชาเกะ หมายถึงดอกสีขาวที่ปลูกในวัดหรือศาลเจ้า ชื่อนี้มีที่มาจากพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธ ในตอนที่มีดอกไม้สีขาวหล่นลงมาจากเทวโลก
ความแปลกอีกหนึ่งอย่างของดอกฮิกังบานะก็คือ ดอกและใบของมันจะไม่ขึ้นพร้อมกัน ในจีนและเกาหลีจึงถือดอกไม้นี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแยกจาก การจากลาของคนรักที่จะไม่มีวันได้พบกันอีก
Cr.pkgjourney.com/
กลิ่นหอมแห่งความพิศวง
ดอกเหมยเป็นดอกไม้ของจีนที่ค่อนข้างจะคุ้นหูมานาน ซึ่งปัจจุบันดอกเหมยเป็นดอกไม้ที่รัฐบาลและประชาชนชาวจีนยกย่องให้เป็นกว๋อฮว้า หรือดอกไม้ประจำชาติจีน เป็นดอกไม้ที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โดยเฉพาะในเทศกาล ชิงหมิง ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชาวจีนไปเยี่ยมคำนับศพบรรพบุรุษ มักจะเก็บดอกเหมยไปวางที่ฮวงซุ้ย และยังเก็บเอาไปแขวนไว้ในบ้าน เชื่อกันว่าดอกเหมยมีอำนาจที่จะขับไล่วิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่จะมารบกวนได้ด้วย
ดอกเหมยมีดอกแย้มบานในระหว่างปลายฤดูหนาวติดกับต้นฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่อากาศกำลังหนาวจัด มีหลายสีหลายชนิด หากเป็นดอกสีขาวแกมเขียวน้อยๆ เรียกว่า ชี้งเอ้อเหมย (Plum flower) ซึ่งได้รับรองกันในวงจินตกวีทั้งหลายว่าเป็นดอกเหมยที่เกิดจากพันธุ์แท้ ทำให้ผู้ที่พบเห็นถึงกับหลงใหลในความงามของดอกมหาเสน่ห์แห่งเมืองจีนนี้ยิ่งนัก ด้วยกลิ่นอายของดอกเหมยที่บานพร้อมกันสะพรั่งทำให้ผู้ที่ได้มาสัมผัสรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ท่ามกลางกลิ่นอายของดอกเหมยที่บานเต็มต้นไปทั้งแถบ ราวกับว่าได้อยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
กลิ่นหอมของดอกเหมยมีลักษณะค่อนข้างประหลาดพิสดารมาก กล่าวคือมีกลิ่นหอมระรวย ระรื่น ราวกับว่าได้อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมๆ คละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ยิ่งเมื่อยืนอยู่ทางปลายลมอาจไม่รู้ว่ากลิ่นหอมๆ นั้นแอบแฝงอยู่ที่ไหน แต่ในเวลาเดียวกัน กลับทำให้รู้ได้ว่ากลิ่นหอมนี้กำลังล่องลอยไปตามลมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่น่าแปลก หากลองเอาจมูกไปดมที่ดอกเหมยอย่างใกล้ชิด จะไม่มีกลิ่นหอมเลย
สรุปก็คือกลิ่นของดอกเหมยไม่ได้อยู่ที่ในตัวของดอกเหมยโดยตรง หากแต่อยู่ในอากาศรอบๆ ตัวของดอกเหมย ดอกเหมยจึงเป็นดอกไม้ชนิดที่ได้ยืนชมดมกลิ่นอยู่ห่างๆ หากจะเอื้อมไปเด็ดมาดอมดมนั้น คงจะไม่ได้กลิ่นหอมๆ อย่างแน่นอน
Cr.idofragrance.com/
ดอกโครงกระดูก โดนน้ำแล้วใส
(Cr.ภาพจาก : interflora.com.au)
มหัศจรรย์ธรรมชาติสร้าง ดอกไม้พิศวงโดนน้ำแล้วกลีบบางใส งดงามดุจคริสตัล แถมเมื่อแห้งยังกลับเป็นสีขาวได้ดังเดิม
ดอกโครงกระดูก (Skeleton flower) หรือดอก Diphylleia grayi พบเห็นได้ตามป่าเขาในแถบหนาวเย็นของประเทศจีนและญี่ปุ่น ดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ เหล่านี้ ซุกซ่อนความอัศจรรย์ไว้ที่กลีบอันบอบบาง ยามถูกหยาดน้ำประพรมชุ่มฉ่ำเม็ด สีขาวในกลีบดอกจะสลายตัวไป เปลี่ยนกลีบดอกเล็ก ๆ น่ารักให้กลายเป็นเยื่อบางใส แลคล้ายดอกไม้คริสตัล และการที่มันโปร่งบางจนเห็นเส้นใยโครงร่างของกลีบชัดแจ๋ว ก็เป็นที่มาของชื่อเรียกว่าโครงกระดูก และเมื่อหยาดน้ำระเหยแห้งไป กลีบดอกน้อย ๆ นี้ก็ค่อย ๆ ซับสีขาวกลับขึ้นมาตามเดิม
Skeleton flower นี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงเพียง 0.4 เมตร เติบโตได้ดีในแดดรำไร ส่วนดอกของมันจะผลิบานในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงหน้าร้อน
Cr.hilight.kapook.com/
ดอกไม้ประหลาดมีอายุแค่วันเดียว
ต้นไม้ที่มีดอกเหลืองอร่าม ต้นนี้ ชื่อต้นดอกเหลืองอินเดีย (Golden Tree) อายุของต้นเหลืองอินเดียขณะนี้อายุ ประมาณ 10 ปี ซึ่งดอกเหลืองอินเดียจะบานปีละครั้ง ดอกจะบานวันเดียวแล้วร่วงหมดต้น ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนั้น ดอกเหลืองอินเดีย ยังเป็นไม้มงคล เหมาะแก่การปลูกเป็นไม้ดอก และไม้ประดับไว้บริเวณบ้านเรือน
จะออกดอกเดือนมีนาคม-เมษายน ดอกจะบานเพียง 1-2 วันเท่านั้น ในช่วงเวลาแดดเต็มวัน ชอบขึ้นบริเวณดินปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกตอนเหนือถึงเวเนซูเอล่า
ในไทยพบต้นไม้นี้ ภายในโรงงาน บริษัท ไทยสากลการพิมพ์ หน้าหมู่บ้านเมืองทอง ริมถนนนาตาล่วง-บ้านโพธิ์ หมู่ที่ 5 ต.นาตาล่วง อ.เมืองตรัง กำลังออกดอกบานเหลืองอร่ามทั้งต้น อย่างสวยงาม ชาวบ้านและพนักงานโรงงานต่างได้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก เพราะดอกไม้ชนิดนี้ดอกจะบานและอายุสั้นมาก และหากมีฝนตกดอกก็จะร่วงเร็วมากขึ้น
Cr.77jowo.com/
ดอกไม้แห่งสวรรค์ ความเชื่อระลึกชาติได้
ปาริชาต หรือ ปาริฉัตร เป็นที่นิยมนำมาตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งแท้จริงแล้ว ปาริชาต เป็นชื่อของ หลาง โดยมีความเชื่อกันว่า เป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ หากใครได้ดมจะระลึกชาติได้ ได้รู้เห็นอดีตชาติของตนเอง
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามเรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร รูปดอกถั่ว สีแดงเข้ม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ผลเป็นฝักยาว 15-30 เซนติเมตร
พบทั่วไปในเอเชียเขตอบอุ่น และเขตร้อน เช่น อินเดีย ชอบขึ้นริมน้ำ ต้นปาริชาต เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดปทุมธานี
ในวรรณคดีทางพุทธศาสนา เช่น เตภูมิกถา และ กามนิตวาสิฏฐี กล่าวว่า ต้นปาริชาต คือ ต้นทองหลาง อยู่ในปุณฑริกวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ มีดอกสีแดงฉาน ร้อยปีจึงจะบานสักครั้ง ทุกครั้งที่บานจะส่งกลิ่นหอมและมีแสงสว่างไปทั่ว เหล่าเทพบุตรเทพธิดาจะมาฉลองร่วมกันใต้ต้นปาริชาต
ผู้ใดที่ต้องการดอกไม้ไปทัดหูเพียงยื่นมือออกไปดอกไม้นั้นก็หล่นลงมาเอง หากรับไม่ทันจะมีลมหมุนวนประคองไว้จนกว่าจะรับได้ กลิ่นของดอกปาริชาตจะทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปเกิดอาการวิงเวียนและสามารถระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติที่ใกล้ที่สุดจนถึงชาติที่ไกลโพ้นออกไป ในขณะที่ดอกปาริชาตในอินเดีย คือ ดอกกรรณิการ์ ของไทยเราซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีของหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ และเป็นดอกไม้สำหรับบูชาพระกฤษณะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก janicha.net , biogang.net
ดอกไม้สื่อความรัก
ดอกป๊อปปี้ เป็นพืชในวงศ์ Papaveraceae ที่ออกดอก ดอกป๊อปปี้จะประกอบด้วย 4-6 ใบ มีสีสันแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุ์ บางพันธุ์อาจมีลวดลาย ซึ่งดอกฝิ่นถือว่าเป็นดอกป๊อปปี้พันธุ์หนึ่ง ดอกป๊อปปี้แดง จัดอยู่ในพันธุ์ Papaver rhoeas เป็นวัชพืชพันธุ์หนึ่งในยุโรป
และเป็นสัญลักษณ์แทน ทหารผ่านศึก ผู้พิทักษ์รักษาประเทศชาติให้มีเอกราชอธิปไตย สีแดงของดอกป๊อปปี้ คือ เลือดของทหารหาญที่ได้หลั่งชโลมแผ่นดินไว้ด้วยความกล้าหาญ เสียสละอันสูงสุด
มีประวัติเกี่ยวโยงถึงสมรภูมิฟลานเดอร์ส สมรภูมิเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ระหว่างสัมพันธมิตรและเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ ทหารพันธมิตรได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากสมรภูมินี้มากที่สุด จอมพลเอิร์ล ออฟ เฮก ผู้บัญชาการรบที่นั่นได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าพิศวง และน่าพิศมัยเกิดขึ้น ณ สมรภูมิดังกล่าวในบริเวณหลุมฝังศพทหาร โดยมีดอกป๊อปปี้ป่าขึ้นอยู่เดียรดาษทั่วไป ทำให้เกิดเป็นลานสีแดงฉานสวยงาม ตั้งแต่นั้นมาดอกป๊อปปี้จึงกลายเป็นดอกไม้อนุสรณ์แห่งวีรกรรมของทหารผ่านศึก เตือนใจให้ระลึกถึงเลือดสีแดงของทหารที่ได้เสียสละเพื่อประเทศชาติ
Cr.siraprapa17.blogspot.com/
ชีวิตลึกลับในพงไพร
"ต้นพิศวง" เป็นพืชเฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะในผืนป่าดงพญาเย็น และเป็นพืช 1 ใน 16 ชนิด ที่มีเฉพาะถิ่น ซึ่งเป็นความโดดเด่นด้านความหลากหลายทางชีววิทยาในผืนป่าดงพญาเย็น ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ นำเสนอคณะกรรมการมรดกโลก จนกระทั่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ในนามกลุ่มป่า "ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่" เมื่อปี 2548 อีกชื่อหนึ่งเขาเรียกว่า "ดอกพิศวงรยางค์" Thismia javanica (J.J. Smith)
สำหรับพรรณพฤกษชาตินี้พบได้เฉพาะช่วงฝนเท่านั้น มีชื่อในภาษาไทยคือ พิศวง เป็นพืชมีดอกในกลุ่ม พืชใบเลี้ยงเดี่ยว อดีตเคยถูกจัดไว้ในวงศ์หญ้าข้าวก่ำ (Family Burmaniaceae) ทว่าปัจจุบันแยกออกมาเป็น วงศ์พิศวง (Family Thismiaceae) ซึ่งทุกชนิดในวงศ์นี้เป็นพืชกินซากขนาดเล็ก พืชในวงศ์นี้ทั่วโลกมีอยู่ 10 สกุล ราว 25 ชนิด โดยส่วนใหญ่พบเฉพาะป่าฝนเขตร้อน ยกเว้นทวีปแอฟริกาและยุโรปที่ยังไม่มีรายงานการค้นพบ (ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.rakpangsida.net/)
ขอบคุณข้อมูลจากเวปบอร์ดของ กลุ่มเรารักษ์ป่า
เป็นหนังสยองขวัญตำนานพื้นบ้าน ที่ว่าด้วยคนจากที่หนึ่งหลุดเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันแปลกประหลาด ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ อาริ แอสเตอร์ ที่เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์ทั่วโลก ให้เป็นหนึ่งในหนังเยี่ยมแห่งปี 2018
Cr.THE STANDARD