'คลัง' เดินหน้า 'บล็อกเชน' เปิด 3 โครงการนำร่องศก.ดิจิทัล
สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
สถาบันการเงินไทย เดินหน้าใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน 4 หน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง ผนึก ธนาคารกรุงไทย ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานนำร่อง 3 โครงการ "กรมสรรพากร-กรมศุลกากร" จับมือพัฒนาระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว เริ่ม 28 พ.ย.นี้ กรมบัญชีกลาง ยกระดับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพัฒนาการออมผ่านพันธบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หนุนคนไทยเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ที่ได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ดังนั้นการลงนามความร่วมมือสำหรับแต่ละโครงการในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ Execution โครงการใช้เทคโนโลยี Blockchain ประกอบด้วย 3 โครงการ ซึ่งจะนำกระทรวงการคลังไปสู่ Digital Platform อย่างเต็มรูปแบบ
โครงการแรก การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists) เป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมสรรพากร กรมศุลกากรและธนาคารกรุงไทย ในการนำระบบบล็อกเชนมาใช้ในการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application โดยในระยะที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มปีละ
ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ยอดมูลค่าการซื้อสินค้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีเฉลี่ย 2 แสนรายต่อเดือน จากสถิติส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสูงสุด ประมาณร้อยละ 70 และชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้เงินสด เพราะเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless society) ทำให้ภาครัฐต้องยกระดับการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการและต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มความโปร่งใส มีความปลอดภัยสูง ปลอมแปลงได้ยากและสามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการของภาครัฐ โดยช่วยลดเรื่องการตรวจเอกสาร ลดการใช้กระดาษได้สูงสุด 10 ล้านใบต่อปี ลดต้นทุนในการจัดการ ลดความหนาแน่นของคิวที่สนามบิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสด และสามารถคัดแบบข้อมูลการเดินทางเข้าออกได้ทันที จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศ การกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อย การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งขณะนี้โครงการได้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบเรียบร้อยแล้ว และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้
โครงการที่สอง ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Govern ment Procurement : e-GP) ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการย่อย คือ 1) e-LG การออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการในระบบ e-GP ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและการตรวจสอบหลักประกันของผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของหลักประกันที่นำมาใช้ โดยผู้ประกอบการสามารถขอ e-LG จากทุกธนาคารและผ่านระบบบล็อกเชนที่พัฒนา
2) e-Credit Confirmation โดยบล็อก เชนของ e-GP มีการรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทำงานกับภาครัฐ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลาและภาระของผู้ประกอบการในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา โดยจากข้อมูลปี 2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้าง ความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งช่วยผลักดันการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบของสถาบันการเงินและระบบการประเมินคุณภาพแบบบูรณาการของผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับภาครัฐได้อีกด้วย โดยในเดือนธันวาคม 2562 ผู้ประกอบการสามารถขอหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่ออิเล็กทรอ นิกส์ (e-Credit Confirmation) ของธนาคารกรุงไทยผ่านระบบ e-GP ได้ทันที โดยธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารแห่งแรกที่สามารถให้บริการดังกล่าวได้
โครงการที่สาม การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (DLT Scripless Bond) จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล การจำหน่าย รวมถึงการรับฝากหลักทรัพย์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดความคล่องตัวทั้งในตลาดแรกและขยายตัวสู่ตลาดรองในอนาคต เสริมสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วยระบบจองก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) ในการจัดจำหน่ายและช่วยลดขั้นตอนในกระบวนการต่างๆ ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ระบบบล็อกเชนยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการจองซื้อพันธบัตร เพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของตนเอง และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยลดระยะเวลา ในกระบวนการออกใบพันธบัตรทั้งหมด จากเดิม 15 วันเหลือไม่ถึง 2 วัน โดยรัฐบาลจะเริ่มออกพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลผ่านระบบบล็อกเชนในช่วงเดือน พ.ค.2563
นับเป็นก้าวแรกที่กระทรวงการคลังนำดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน และก้าวที่สำคัญในการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง และองค์กรชั้นนำที่สำคัญของประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีบล็อกเชนมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติเข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ
กระทรวงการคลัง ผนึก ธนาคารกรุงไทย เดินหน้าบล็อกเชน
สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
สถาบันการเงินไทย เดินหน้าใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน 4 หน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง ผนึก ธนาคารกรุงไทย ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานนำร่อง 3 โครงการ "กรมสรรพากร-กรมศุลกากร" จับมือพัฒนาระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว เริ่ม 28 พ.ย.นี้ กรมบัญชีกลาง ยกระดับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพัฒนาการออมผ่านพันธบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หนุนคนไทยเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ที่ได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ดังนั้นการลงนามความร่วมมือสำหรับแต่ละโครงการในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ Execution โครงการใช้เทคโนโลยี Blockchain ประกอบด้วย 3 โครงการ ซึ่งจะนำกระทรวงการคลังไปสู่ Digital Platform อย่างเต็มรูปแบบ
โครงการแรก การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists) เป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมสรรพากร กรมศุลกากรและธนาคารกรุงไทย ในการนำระบบบล็อกเชนมาใช้ในการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application โดยในระยะที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มปีละ
ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ยอดมูลค่าการซื้อสินค้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีเฉลี่ย 2 แสนรายต่อเดือน จากสถิติส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสูงสุด ประมาณร้อยละ 70 และชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้เงินสด เพราะเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless society) ทำให้ภาครัฐต้องยกระดับการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการและต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มความโปร่งใส มีความปลอดภัยสูง ปลอมแปลงได้ยากและสามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการของภาครัฐ โดยช่วยลดเรื่องการตรวจเอกสาร ลดการใช้กระดาษได้สูงสุด 10 ล้านใบต่อปี ลดต้นทุนในการจัดการ ลดความหนาแน่นของคิวที่สนามบิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสด และสามารถคัดแบบข้อมูลการเดินทางเข้าออกได้ทันที จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศ การกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อย การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งขณะนี้โครงการได้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบเรียบร้อยแล้ว และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้
โครงการที่สอง ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Govern ment Procurement : e-GP) ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการย่อย คือ 1) e-LG การออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการในระบบ e-GP ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและการตรวจสอบหลักประกันของผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของหลักประกันที่นำมาใช้ โดยผู้ประกอบการสามารถขอ e-LG จากทุกธนาคารและผ่านระบบบล็อกเชนที่พัฒนา
2) e-Credit Confirmation โดยบล็อก เชนของ e-GP มีการรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทำงานกับภาครัฐ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลาและภาระของผู้ประกอบการในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา โดยจากข้อมูลปี 2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้าง ความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งช่วยผลักดันการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบของสถาบันการเงินและระบบการประเมินคุณภาพแบบบูรณาการของผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับภาครัฐได้อีกด้วย โดยในเดือนธันวาคม 2562 ผู้ประกอบการสามารถขอหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่ออิเล็กทรอ นิกส์ (e-Credit Confirmation) ของธนาคารกรุงไทยผ่านระบบ e-GP ได้ทันที โดยธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารแห่งแรกที่สามารถให้บริการดังกล่าวได้
โครงการที่สาม การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (DLT Scripless Bond) จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล การจำหน่าย รวมถึงการรับฝากหลักทรัพย์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดความคล่องตัวทั้งในตลาดแรกและขยายตัวสู่ตลาดรองในอนาคต เสริมสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วยระบบจองก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) ในการจัดจำหน่ายและช่วยลดขั้นตอนในกระบวนการต่างๆ ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ระบบบล็อกเชนยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการจองซื้อพันธบัตร เพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของตนเอง และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยลดระยะเวลา ในกระบวนการออกใบพันธบัตรทั้งหมด จากเดิม 15 วันเหลือไม่ถึง 2 วัน โดยรัฐบาลจะเริ่มออกพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลผ่านระบบบล็อกเชนในช่วงเดือน พ.ค.2563
นับเป็นก้าวแรกที่กระทรวงการคลังนำดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน และก้าวที่สำคัญในการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง และองค์กรชั้นนำที่สำคัญของประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีบล็อกเชนมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติเข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ