Immortal regiment march.
การเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย
สนามรบสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ ในหมู่ชาวรัสเซียเรียกว่ามหาสงครามของผู้รักชาตินั้น
ทุกวันที่ 9 พ.ค. ของทุกปี ที่รัสเซีย จะเป็นวันสำคัญของชาติ (จริงๆละไม่ใช่แค่รัสเซียนะครับ ประเทศที่เคยเป็นประเทศบริวารของโซเวียตก็ถือวันนี้เป็นวันสำคัญ) เพราะวันนี้เป็นวันที่เมื่อปี 1945 เยอรมันยอมแพ้ต่อกองทัพโซเวียตที่กรุงเบอร์ลิน
เกร็ดความรู้นิดหน่อย ทางโลกตะวันตกสหรัฐอังกฤษ จะถือว่าวันที่ 8 พ.ค. เป็นวัน V.E. day หรือ Victory in Europe day หรือวันแห่งชัยชนะในสมรภูมิยุโรป ทำไมรัสเซียจึงถือว่าวันที่ 9 พ.ค. ก็เพราะว่าในตอนที่ จอมพลไคเทล ลงนามในหนังสือยอมแพ้ต่อกองทัพโซเวียตที่กรุงเบอร์ลินนั้น เวลาที่กรุงมอสโควก็ผ่านเที่ยงคืนไปเป็นวันที่9 พ.ค. แล้ว ทางรัสเซียจึงยึดถือวันที่ 9 พ.ค. เป็นวันแห่งชัยชนะในมหาสงครามผู้รักชาติ
เข้าเรื่องต่อ นอกจากการเดินสวนสนามที่เป็นรัฐพิธีแล้ว ยังมีกิจกรรมของประชาชนเอง นั้นคือ กิจกรรม Immortal regiment march หรือการเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย
เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2012 จากนักข่าวท้องถิ่น 3 คน ในเมืองแถบไซบีเรีย ได้ร่วมกันทำกิจกรรมนำป้ายติดภาพของบุคคลในครอบครัวที่ได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำกิจกรรมขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลเหล่านั้น
ในปีต่อๆมา ได้รับความนิยมจากคนรัสเซียเป็นจำนวนมาก เข้าร่วมกิจกรรมนี้ทั่วประเทศ ครอบครัวลูกหลานของบรรดาทหารโซเวียตที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง (ลูกหลานทั้งทหารที่เสียชีวิตและทหารที่รอดชีวิตจาหกสงครามต่างร่วมงาน) จะออกมาบนถนนในเมืองต่างๆทั่วรัสเซีย และประเทศในบริวารโซเวียตเก่า แม้กระทั่งในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันก็มี พร้อมใจกันนำเอารูปของ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ของตนเองที่ร่วมรบ ร่วมต่อสู้ในมหาสงครามของผู้รักชาติ มาเดินบนท้องถนน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคนในครอบครัวและประวัติศาสตร์ภายในครอบครัวว่าครั้งหนึ่ง บรรพบุรุษของพวกเขาเคยร่วมรบในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ จนได้รับชัยชนะ
ในระหว่างการเดิน อาจจะมีคนเปล่งเสียงร้อง Urah หรือ (ฮูเร บ้านเรา) ออกมา
เป็นการร้อง ถึงความปิติยินดีในวันแห่งชัยชนะ แต่บางคนก็ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อมีนักข่าวมาสัมภาษย์เกี่ยวกับบุคคลที่อยู่ในภาพที่ถือ
ชัยชนะที่ได้รับมานั้นเป็นชัยชนะที่ราคาแพงมาก จำนวนประชากรประมาณ 26 ล้านคน ต้องแลกกับชัยชนะในครั้งนี้ มันเป็นชัยชนะที่แสนเจ็บปวดสำหรับครอบครัวชาวรัสเซียและประเทศบริวารโซเวียตเก่าหลายครอบครัว เพราะ 60% ของครอบครัวชาวโซเวียตในช่วงสงครามโลก จะต้องมีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 คนเสียชีวิตจากสงครามกับเยอรมัน ยังไม่รวมที่บาดเจ็บพิการอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ผมเชื่อว่า หากพวกเขาที่จากไปได้รับรู้และเห็นสภาพในปัจจุบัน คงคิดว่าการเสียสละของพวกเขานั้นคุ้มค่า เพราะทุกวันนี้ชาวรัสเซียก็ไม่ได้ตก ระกำลำบากอย่างเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ต้องโดนถูกบังคับใช้แรงงานทาส หรือถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมเหมือนชาวรัสเซียในอดีต
ลูกหลานชาวสลาฟได้มีที่อยู่อาศัยอยู่อย่างอิสระ และปลอดภัย (ถ้าใครเคยอ่านเรื่องราวแนวคิดของฮิตเลอร์ได้ตั้งใจว่าจะยึดดินแดนทั้งหมดไปจนถึงเทือกเขายูราล ของผมที่เคยเขียนไว้จะเข้าใจดีว่า เยอรมันต้องการให้ประชาชนของตนขยายเผ่าพันธ์อารยันและมาอาศัยในบริเวณที่เป็นรัสเซียในปัจจุบัน และในขณะเดียวกัน ต้องกำจัดประชากรดั้งเดิม ด้วยการฆ่า หรือเอาไปใช้แรงงานทาส)
พอดีมีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งพูดถึงเรื่องว่าเขาได้คุยกับชาวรัสเซียเรื่องสงครามโลก คนรัสเซียที่คุยด้วยถึงกับน้ำตาไหล ถ้าพูดถึงความสูญเสียของพวกเขา ผมเลยคิดขึ้นได้ว่า จะต้องเขียนเรื่องนี้ เพราะถ้าผมคิดละไม่เขียน ผมจะลืมและจะไม่ได้เขียนมัน ผมจึงต้องรีบเขียนลงโพสไว้ก่อนครับ
ปล.รูปจริงจากสำนักข่าว CNN นะครับ
Immortal regiment march. การเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย ที่รัสเซีย
การเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย
สนามรบสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ ในหมู่ชาวรัสเซียเรียกว่ามหาสงครามของผู้รักชาตินั้น
ทุกวันที่ 9 พ.ค. ของทุกปี ที่รัสเซีย จะเป็นวันสำคัญของชาติ (จริงๆละไม่ใช่แค่รัสเซียนะครับ ประเทศที่เคยเป็นประเทศบริวารของโซเวียตก็ถือวันนี้เป็นวันสำคัญ) เพราะวันนี้เป็นวันที่เมื่อปี 1945 เยอรมันยอมแพ้ต่อกองทัพโซเวียตที่กรุงเบอร์ลิน
เกร็ดความรู้นิดหน่อย ทางโลกตะวันตกสหรัฐอังกฤษ จะถือว่าวันที่ 8 พ.ค. เป็นวัน V.E. day หรือ Victory in Europe day หรือวันแห่งชัยชนะในสมรภูมิยุโรป ทำไมรัสเซียจึงถือว่าวันที่ 9 พ.ค. ก็เพราะว่าในตอนที่ จอมพลไคเทล ลงนามในหนังสือยอมแพ้ต่อกองทัพโซเวียตที่กรุงเบอร์ลินนั้น เวลาที่กรุงมอสโควก็ผ่านเที่ยงคืนไปเป็นวันที่9 พ.ค. แล้ว ทางรัสเซียจึงยึดถือวันที่ 9 พ.ค. เป็นวันแห่งชัยชนะในมหาสงครามผู้รักชาติ
เข้าเรื่องต่อ นอกจากการเดินสวนสนามที่เป็นรัฐพิธีแล้ว ยังมีกิจกรรมของประชาชนเอง นั้นคือ กิจกรรม Immortal regiment march หรือการเดินสวนสนามของกรมทหารที่ไม่มีวันตาย
เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2012 จากนักข่าวท้องถิ่น 3 คน ในเมืองแถบไซบีเรีย ได้ร่วมกันทำกิจกรรมนำป้ายติดภาพของบุคคลในครอบครัวที่ได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำกิจกรรมขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลเหล่านั้น
ในปีต่อๆมา ได้รับความนิยมจากคนรัสเซียเป็นจำนวนมาก เข้าร่วมกิจกรรมนี้ทั่วประเทศ ครอบครัวลูกหลานของบรรดาทหารโซเวียตที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง (ลูกหลานทั้งทหารที่เสียชีวิตและทหารที่รอดชีวิตจาหกสงครามต่างร่วมงาน) จะออกมาบนถนนในเมืองต่างๆทั่วรัสเซีย และประเทศในบริวารโซเวียตเก่า แม้กระทั่งในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันก็มี พร้อมใจกันนำเอารูปของ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ของตนเองที่ร่วมรบ ร่วมต่อสู้ในมหาสงครามของผู้รักชาติ มาเดินบนท้องถนน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคนในครอบครัวและประวัติศาสตร์ภายในครอบครัวว่าครั้งหนึ่ง บรรพบุรุษของพวกเขาเคยร่วมรบในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ จนได้รับชัยชนะ
ในระหว่างการเดิน อาจจะมีคนเปล่งเสียงร้อง Urah หรือ (ฮูเร บ้านเรา) ออกมา
เป็นการร้อง ถึงความปิติยินดีในวันแห่งชัยชนะ แต่บางคนก็ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อมีนักข่าวมาสัมภาษย์เกี่ยวกับบุคคลที่อยู่ในภาพที่ถือ
ชัยชนะที่ได้รับมานั้นเป็นชัยชนะที่ราคาแพงมาก จำนวนประชากรประมาณ 26 ล้านคน ต้องแลกกับชัยชนะในครั้งนี้ มันเป็นชัยชนะที่แสนเจ็บปวดสำหรับครอบครัวชาวรัสเซียและประเทศบริวารโซเวียตเก่าหลายครอบครัว เพราะ 60% ของครอบครัวชาวโซเวียตในช่วงสงครามโลก จะต้องมีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 คนเสียชีวิตจากสงครามกับเยอรมัน ยังไม่รวมที่บาดเจ็บพิการอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ผมเชื่อว่า หากพวกเขาที่จากไปได้รับรู้และเห็นสภาพในปัจจุบัน คงคิดว่าการเสียสละของพวกเขานั้นคุ้มค่า เพราะทุกวันนี้ชาวรัสเซียก็ไม่ได้ตก ระกำลำบากอย่างเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ต้องโดนถูกบังคับใช้แรงงานทาส หรือถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมเหมือนชาวรัสเซียในอดีต
ลูกหลานชาวสลาฟได้มีที่อยู่อาศัยอยู่อย่างอิสระ และปลอดภัย (ถ้าใครเคยอ่านเรื่องราวแนวคิดของฮิตเลอร์ได้ตั้งใจว่าจะยึดดินแดนทั้งหมดไปจนถึงเทือกเขายูราล ของผมที่เคยเขียนไว้จะเข้าใจดีว่า เยอรมันต้องการให้ประชาชนของตนขยายเผ่าพันธ์อารยันและมาอาศัยในบริเวณที่เป็นรัสเซียในปัจจุบัน และในขณะเดียวกัน ต้องกำจัดประชากรดั้งเดิม ด้วยการฆ่า หรือเอาไปใช้แรงงานทาส)
พอดีมีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งพูดถึงเรื่องว่าเขาได้คุยกับชาวรัสเซียเรื่องสงครามโลก คนรัสเซียที่คุยด้วยถึงกับน้ำตาไหล ถ้าพูดถึงความสูญเสียของพวกเขา ผมเลยคิดขึ้นได้ว่า จะต้องเขียนเรื่องนี้ เพราะถ้าผมคิดละไม่เขียน ผมจะลืมและจะไม่ได้เขียนมัน ผมจึงต้องรีบเขียนลงโพสไว้ก่อนครับ
ปล.รูปจริงจากสำนักข่าว CNN นะครับ