จะว่าเกาะกระแสก็ใช่! แต่เราทำจริง

เกาะกระแสงานบุญ "ทอดกฐิน"กฐิน คืออะไร?

อยากเชิญชวนชาวพุทธทุกท่านได้สัมผัสกับเทศกาล"ทอดกฐิน"

การทอดกฐิน

เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง
นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือน 11 ไปจนถึงกลางเดือน 12
บุญจากการทอดกฐิน ถือเป็นบุญใหญ่ที่มีอานิสงส์มากเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยากและมีข้อจำกัดหลายประการ
อีกทั้งการทำบุญทอดกฐินจะมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
       “การทอดกฐิน” เป็นอริยะประเพณี ที่สืบทอดมานับตั้งแต่ครั้งที่พระพุทธองค์
ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ มีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถือเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
มีความศรัทธาเลื่อมใสว่า เป็น “ยอดของมหากุศล” 
ผู้ที่ได้มีส่วนร่วมในการทอดกฐินนั้น จะได้มหานิสงค์อันยิ่งใหญ่สุดประมาณ 
การทำบุญทอดกฐิน จึงเป็นบุญในหนึ่งปีที่จะพลาดไม่ได้
หากการทำบุญทอดกฐินของท่านดำเนินอยู่บนรากฐานของความมีศรัทธา เต็มใจ และ สุขใจ
ที่ได้ทำบุญ มิใช่สักแต่ว่าทำบุญ ด้วยความหน้าที่และความเกรงใจ
การทำบุญทอดกฐินนั้น เป็นการทำบุญตามพุทธประสงค์ คือ ทำบุญอย่างผู้รู้ ผู้ที่เข้าใจคุณค่า
และ ความหมายของบุญที่กระทำ นั้นๆด้วย
การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป
และพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

กฐิน นัยหนึ่ง หมายถึง ชื่อของกรอบไม้ อันเป็นแม่แบบสำหรับทำจีวรที่อาจเรียกว่า " สะดึง "
 เนื่องจากสมัยพุทธกาลการทำจีวรให้มีลักษณะตามกำหนดกระทำได้โดยยาก
จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ให้เป็นอุปกรณ์ในการทำผ้านุ่ง / ผ้าห่ม / ผ้าห่มซ้อน
ที่รวมเรียกว่า จีวร ( ผ้านุ่งพระ เรียกสบง / ผ้าห่ม เรียกจีวร / ผ้าห่มซ้อน เรียกสังฆาฎิ )
เมื่อทำเสร็จและพ้นกำหนดกาลแล้วก็จะรื้อไม้แม่แบบที่เรียกว่า"สะดึง"นี้เก็บไว้ใช้ในปีต่อ ๆ ไป
การรื้อไม้แม่แบบหรือ "สะดึง" เพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสหน้านี้เรียกว่า " เดาะ " หรือ " กฐินเดาะ " 

        กฐิน นัยหนึ่ง หมายถึง ชื่อของผ้า ที่ถวายแก่สงฆ์เพื่อทำจีวรตามแบบหรือกรอบไม้นั้น
และต้องถวายตามกำหนดเวลา 1 เดือนดังกล่าว ซึ่งผ้านี้จะเป็นผ้าใหม่ หรือ ผ้าเก่าฟอกสะอาด
หรือผ้าบังสุกุล ( ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ) ก็ได้
ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์หรือภิกษุสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วเป็นอันใช้ได้

      กฐิน นัยหนึ่ง หมายถึง ชื่อของบุญกิริยา คือ การทำบุญถวายผ้ากฐินเพื่อให้สงฆ์ทำเป็นจีวร
ซึ่งต้องเป็นพระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ 3 เดือน
 เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าใหม่ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด
การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกกันติดปากว่า " ทอดกฐิน "
 ก็คือการทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์ และต้องทำในเวลาที่กำหนด  1 เดือน 

          กฐิน นัยหนึ่ง หมายถึง ชื่อของสังฆกรรม คือ กิจกรรมของสงฆ์ที่จะต้องมีการ
สวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง

"ไม้สะดึง" หรือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ
ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อนแล้วจึงเย็บ
เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบัน 
เครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอ เหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน
การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็น"ผ้ากฐิน"หรือแม้แต่จีวรอันมิใช่"ผ้ากฐิน" ถ้าภิกษุทำเอง 

ตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า
พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย
ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์
อันมีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน
โดยสนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้ หลายองค์
เพียงแต่ปัจจุบัน มีจีวรสำเร็จรูปแล้ว จึงง่ายขึ้น


การนำกฐินไปทอด
ทำได้ 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือนำผ้ากฐินทานกับเครื่องบริวารที่จะถวายไปตั้งไว้ ณ วัดที่จะทอดก่อน
เรียกว่าวันลงบุญ พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐินซึ่งก็จะเป็นเช้าในวันต่อมา จึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย 
อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐินเป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส นับว่าได้กุศลแรง
 จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัดเป็นงานใหญ่ มีการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน และเลี้ยงผู้คน มีมหรสพสมโภช 
และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วยเช่น ในกรณีกฐินสามัคคี
 พอถึงกำหนดวันทอดก็จะมีการแห่แหนเป็นกระบวนไปยังวัดที่จะทอด
 มีเครื่องบรรเลงกลองยาวมีการฟ้อนรำแห่นำขบวนเป็นที่สนุกสนาน

ผู้ประสงค์จะทอดกฐินจะทอดจะทำอย่างไร

ส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชน ถือกันว่า การทำบุญทอดกฐินเป็นกุศลแรง เพราะเป็น"กาลทาน"
ทำได้เพียงปีละ 1 ครั้ง และต้องทำในกำหนดเวลาที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้


ดังนั้นถ้ามีความเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐินบ้างแล้ว พึ่งปฏิบัติดังต่อไปนี้

จองกฐิน เมื่อจะไปจองกฐิน ณ วัดใด พอเข้าพรรษาแล้ว พึงไปมนัสการสมภารเจ้าวัดนั้น
กราบเรียนแก่ท่านว่าตนมีความประสงค์จะขอทอดกฐิน แล้วเขียนหนังสือปิดประกาศไว้ ณ วัดนั้น เพื่อให้รู้ทั่ว ๆ กัน 
การที่ต้องไปจองก่อนแต่เนิ่นนานพอสมควรเพื่อจะได้ไม่มีการจองซ้อนกัน  ซึ่งราษฎรมีสิทธิจองได้ทุกวัด
 แต่ถ้าวัดนั้นเป็นวัดหลวง อันมีธรรมเนียมว่าต้องได้รับกฐินหลวงแล้ว ทายกนั้น ครั้นกราบเรียนเจ้าอาวาสท่านแล้ว 
ต้องทำหนังสือยื่นต่อกองสัมฆการีกรมการศาสนา  ครั้นคำอนุญาตตกไปถึงแล้ว จึงจะจองได้

พิธีทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ ดังนั้น จึงจัดเป็น 2 วัน ดังได้กล่าวมา
วันต้นตั้งองค์พระกฐินที่บ้านของเจ้าภาพก็ได้ จะไปตั้งที่วัดก็ได้
กลางคืนมีการมหรสพครึกครื้นสนุกสนาน ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็มักจะมาร่วมอนุโมทนา
รุ่งขึ้นเป็นที่วัดทอด  เป็นการครึกครื้น โดยมากมักแห่ไปตอนเช้า และเลี้ยงพระเพลต่อ
" การทอดกฐิน " จะทอดในตอนเช้านั้นก็ได้ ทอดเพลแล้วก็ได้ สุดแล้วแต่สะดวก
การเลี้ยงพระ ถ้าเป็นอย่างในชนบท ชาวบ้านจัดภัตตาหารเลี้ยงด้วย เจ้าของงานกฐินก็จัดไปด้วย
ปัจจุบันง่ายหน่อยก็จะเป็ยโต๊ะจีน เลี้ยงทั้งพระ และผู้มาร่วมบุญ



การถวายผ้ากฐิน 
เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าภาพอุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน

ตั้งนะโม 3 จบ
แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ
**หากเป็นกฐินสามัคคีก็มักนำสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน
เพื่อจับได้ทั่วถึงกันถือเป็นการถวานร่วมกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย
ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า "สาธุ"
เจ้าภาพก็ประเคนผาไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ และประเคนเครื่องบริขารทั้งหลายตามลำดับ
จนเสร็จสิ้น แล้วพระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ซึ่งเป็นพระเถระ อันมีจีวรเก่าและรู้ธรรมวินัย
ครั้นเสร็จสิ้น พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ลำดับนี้คือ
"พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์"

มิใช่เป็นที่สำคัญแต่ประการใดในการทอด"กฐิน" แต่ พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ หรือ สั้นๆที่เราๆท่านๆเรียกว่า”น้ำมนต์”
น้ำมนต์ คือ นํ้าสะอาดที่เข้าพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้อาบ กิน แต่โดยส่วนใหญ่นิยมประพรม
แก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน ถือกันว่าเป็นมงคล #น้ำพระพุทธมนต์  #มหากฐิน#จุลกฐิน

 
อนิสงส์กฐิน
 
การทอดกฐินเป็น"กาลทาน" ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว วัดหนึ่งรับ"กฐิน" ได้ครั้งเดียว
จักต้องทำภายในระยะกำหนดเวลา และผู้ทอดก็ต้องตระเตรียมจัดทำเป็นงานใหญ่
ต้องมีผู้ช่วยเหลือร่วมมือร่วมใจ ร่วมศัทธาหลายคนต่อหลายคน จึงเรียกได้ว่าเป็นพิธีบุญ
ที่อานิสงส์แรง และส่วนสมคัญนอกเหนือจากนี้ อีกทางหนึ่งว่าได้ว่า พิธีเช่นนี้ได้ทั้งโภคสมบัติ
เพราะเราเองบริจาค ได้ทั้งบริวารสมบัติ เพราะได้บอกบุญแก่ญาติมิตร
เพื่อให้ได้มีโอกาสมาร่วมการทำกุศล "กาลทาน" เช่นนี้
เรียกว่า ทานทางพระวินัย มิผิดแน่

ขอให้ท่านทราบถึงอานิสงส์ และความตั้งใจในการทอดกฐิน 
คนที่เคยตั้งใจทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง  
ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพาน
" คำว่า ยากจนเข็ญใจจะไม่มีแก่ท่านต่อไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่