คนไทยต้องบริโภคอาหารภายใต้มาตรฐานฮาลาล จริงหรือไม่?

มีความจำเป็นมากน้อยขนาดใหน ที่คนไทยทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาในประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานอาหารฮาลาล 

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
กฎหมายชาริอะห์ คือ กฎหมายที่มีที่มาจาก คัมภีร์อัลกรุอ่าน และ ซุนนะฮฺ ของนบีมูฮัมมัด

กฎหมายชาริอะห์ คือกฎหมายที่ใช้ปกครองประเทศที่ปกครองแบบ "รัฐอิสลาม" ซึ่งมีอัลกรุอ่าน เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยที่ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียงไปร่างรัฐธรรมนูญมาปกครองตนเอง เพราะโองการของอัลเลาะห์คือกฎหมายสูงสุด

การใช้กฎหมายชาริอะห์ปกครองนั้น มีทั้งใช้เต็มรูปแบบในประเทศที่เป็น "รัฐอิสลาม" อย่างเช่น ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน อิรัก เยเมน  ซูดาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน โซมาเลีย เป็นต้น

บางประเทศใช้กฎหมายชาริอะห์บางส่วน อย่างเช่นมาเลเซียใช้กฎหมายชาริอะห์ ควบคู่ไปกับ common law แบบอังกฤษ โดยที่มาเลเซียมีเป้าหมายค่อย ๆ ออกกฎหมายชาริอะฮฺ มาบังคับใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนที่สุดแล้วมีแต่กฎหมายชาริอะห์ เท่านั้นที่ถุกบังคับใช้ในมาเลเซีย เหมือนอย่างที่เป็นในซาอุดิอารเบีย และประเทศตะวันออกกลางอื่น ๆ

"ฮาลาล" นั้นแปลว่า อนุมัติ หรือ อนุญาติ ให้ทำได้ตามกฎหมาายชาริอะฮฺ

ดังนั้นคำว่า "ฮาลาล" นั้นมีความหมายกว้างมาก เพราะหมายถึงการปฎิบัติตามกฎหมายชาริอะห์ ........... ซึ่งมันไม่ไช่มีแค่ อะไรที่กินได้ หรือกินไม่ได้ อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ

ประเทศที่ "ฮาลาล" จริง ๆ ก็ต้องเป็นประเทศที่ใช้กฎหมายชาริอะฮฺ ปกครองเต็มรูปแบบ อย่างเช่น ซาอุดิอารเบีย เป็นต้น

กฎหมายที่เจ้าของกระทู้ยกมานั้น ทั้งหมด จัดว่าเป็นกฎหมายชาริอะฮฺ ทั้งสิ้น มันเป็นกระบวนการสร้าง "รัฐอิสลาม" ในประเทศไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่คนศาสนาอื่น ๆ ไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองถุกปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม

แนวทางในการค่อย ๆ เปลี่ยนสถาบันต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายชาริอะห์นั้น เป็นอุดมการณ์การต่อสู้ของพวก "อิควาน"

ซึ่งพวก "อิควาน" เคลื่อนไหวต่อสู้ในไทยนานแล้ว การต่อสู้ของพวก "อิควาน" ที่เห็นผลชัดเจนครั้งแรกในไทยคือ การประท้วงของสวมฮิญาบของวิทยาลัยครูยะลา เมื่อ พ.ศ. 2531  (หลังจากที่มาเลเซียโดย อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มองค์การเยาวชนอิสลามที่ชื่อ  ABIM ได้รณรงค์ให้สวบฮิยาบในมาเลเซียตามอิยิปต์ตั้งแต่ทศวรรษ 1970s เป็นต้นมา

แล้วหลังจากนั้น พวก "อิควาน" ในไทยก็เคลื่อนไหวผลักดันกฎหมายชาริอะฮฺ ผ่านมาได้อีกหลายฉบับ อย่างที่ที่เจ้าของกระทู้ยกมาให้เห็น โดยมีมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านติด ๆ กันนี่เอง ที่ทำเป็นตัวอย่างให้ดูตั้งแต่ทศวรรษ   1980s  เป็นต้นมา

การสร้างรัฐอิสลามในมาเลเซียนั้น มูลเหตุเกิดจากการขับเคี่ยวเพื่อชิงคะแนนนิยมประชาชน ระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ ๒ พรรค คือ พรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคพรรครัฐบาล นำโดย มหาธีร์ มูฮัมมัด และ อันวาร์ อิบราฮิม กับอีกฝ่ายที่เป็นพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพรรคปาส  ซึ่งพรรคปาสนั้นจัดเป็นพวก "อิควาน" เต็มตัว มาแข่งขันกับ อันวาร์ อิบราฮิม ฝ่ายรัฐบาลซึ่งก็เป็น "อิควาน" เต็มตัวเช่นกัน

การแข่งขันกันว่าใครจะเป็นอิสลามมากกว่ากันนั้น ทำให้มาเลเซียกลายเป็นรัฐที่เคร่งศาสนาอิสลามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมส่งผลกระทบต่อไทยโดยเฉพาะในชายแดน ๓ จังหวัดภาคใต้ ซึ่งอยู่ติดกับรัฐกลันตัน ที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย

กระบวนการออกกฎหมายชาริอะฮในประเทศไทยนั้นส่วนมากถูกผลักดันมาจากมาเลเซียนั่นเอง ผ่านความโง่เขลาเบาปัญญาของรัฐบาลไทยในหลายยุคสมัยที่รู้ไม่เท่าทัน ไม่รู้ว่ากินขี้ของมาเลย์เป็นอาหารหรือเปล่า ถึงปล่อยให้มาเลย์จูงจมูกได้ทุกเรื่อง มันเป็นกระบวนการสร้าง"รัฐอิสลาม" ที่มีการวงแผนมาเป็นอย่างดี โดยอาศัยควาโง่เขลาเบาปัญญาของคนศาสนาอื่น  ๆ ทีเป็นคนส่วนใหญ่

คนไทยส่วนใหญ่อาจจะรู้จักกฎหมายชาริอะห์ แค่เรื่อง มีชู้ต้องปาหิน เป็นเกย์ต้องประหาร ขโมยต้องตัดมือ ........ แต่ว่าคนไทยไม่เเคยตระหนักกฎหมายชาริอะห์ ที่ค่อย ๆ ออกมาบังคับใช้เรื่อย ๆ ในประเทศไทยเลย

ซักวันคงจะมีผู้ผลักดัน " hudud law " เหมือนที่เพื่อนบ้านของไทยอย่าง พรรคอิสลามมาเลเซีย กำลังผลักดันอยู่ หรือ สุลต่านบรูไน เคยประกาศ บังคับใช้ แต่ว่าต้องถอยพราะต่างชาติบอยคอต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่