.......
ประสบการณ์ถูกจับคดีลิขสิทธิ์การ์ตูน.......
ขึ้นศาล ยกฟ้อง จร๊าา......
***……เป็นเหตุการณ์จริงของผู้เขียน....เขียนเพื่อเป็นความรู้ให้แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านทุกคน....ผู้เขียนไม่มีเจตนากล่าวพาดพิงถึงผู้ใดในทางที่ไม่ดี....
และไม่สนับสนุนการทำผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น..... ไม่ให้นำข้อความนี้ไปใช้ในทางเสียหาย....***
….6/5/62… “..…ตอนที่ 1 ถูกจับ.....”
เวลา 16.00 น. ....เราอยู่ร้านค้าขายสินค้าทั่วไป สิ้นค้าส่วนมากเป็นกิ๊ฟช็อป.....
มีรถตำรวจ มาจอดหน้าร้าน พร้อมกับตัวแทนลิขสิทธิ์การ์ตูน มีตำรวจ 5 คน ตัวแทนลิขสิทธิ์ผู้ชาย 2 คน พอมาถึงร้าน ตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกว่าที่ร้านมีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์...แล้วก็เดินเข้าไปในร้านหยิบสินค้าลายการ์ตูน ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ในร้าน มารวบรวมไว้ที่หน้าร้าน ....ตอนนั้นความรู้สึกคือ งงมาก555...อยู่ร้านคนเดียว...และที่สำคัญคือไม่รู้กฎหมายเกี่ยวกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เลย
ตำรวจเชิญไปคุยที่โรงพัก....เราถามตำรวจว่า “ทำไมต้องไปคุยที่โรงพัก คุยกันที่ร้านให้จบเลยไม่ได้หรอ” เพราะตอนนั้นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ น่าจะเคลียจบที่ร้านเพราะสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไม่เยอะ......ตำรวจบอกว่าควรไปคุยที่โรงพัก….
ทันใดนั้นแม่ก็ขับรถมาจอดหน้าร้านพอดี มีคุณยายที่รู้จักกันข้างร้านค้าโทรไปบอกแม่ทันที ที่เห็นตำรวจเข้าร้านและวิ่งมาบอกว่าถ้าเค้าให้เซ็นอะไรห้ามเซ็นเด็ดขาด เราก็ได้แต่ตอบว่า ค่ะๆ (ต้องขอบคุณ คุณยายที่เป็นห่วงและหวังดี คุณยายน่ารักที่สุด 555)
เราจึงให้แม่ไปโรงพักกับตำรวจ และตัวแทนลิขสิทธิ์ ส่วนตัวเราปิดร้านและโทรให้พ่อมารับ ขณะที่รอพ่อมารับ เราได้เข้าหาข้อมูลใน Internet ถาม อาจารย์ Goo... ผู้รอบรู้ทุกอย่าง โดยพิมพ์คำว่า “ถูกจับลิขสิทธิ์การ์ตูน” ได้ข้อมูลประมาณว่า ไม่ต้องยอมจ่ายเงิน ให้ขึ้นศาล แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นศาลหรือ การประกันตัว.....
…6/5/62…“..…ตอนที่ 2 รอบันทึกการจับกุม ”
เวลา 17.00 น..........เราและพ่อ ถึงโรงพัก เดินเข้าไปหาแม่ในห้องสอบสวน มีตัวแทนลิขสิทธิ์ทั้งหมด 3 คน
- ผู้ชาย เป็นทนายความ 1 คน จะถือปึกกระดาษหนาๆ ซึ่งเป็นภาพการ์ตูนลิขสิทธิ์ ต่างๆ
- ผู้ชาย แต่งตัวภูมิฐาน 1 คน ขับรถยี้ห้อแพงมากๆ (จากการสังเกต)
- ผู้หญิง 1 คน เป็นคนพิมพ์รายการแจ้งความ + เป็นผู้ล่อซื้อสินค้า ตอนเช้าที่แม่ อยู่ร้าน ...เข้าไปในร้านเดินรอบร้านหลายรอบ และซื้อของ พร้อมแอบถ่ายรูป แม่ตอนขาย (เราไปเห็นภาพตอนตำรวจทำสำนวนคดี บันทึกการจับกุม)
ขณะที่ตำรวจเขียนบันทึกการจับกุม เราก็ได้ถามตัวแทนลิขสิทธิ์ หลายคำถาม จะมีแค่ตัวแทนลิขสิทธิ์ ที่เป็นทนายคนเดียวเท่านั้นที่ตอบ ระหว่างที่เราถามคำถาม เราจะสบตาตลอดเวลาไม่หลบตา …. เราถามคำถามว่า
1. “จะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวการ์ตูนที่ถูกลิขสิทธิ์ ต้องดูตรงไหน ของสินค้า มีแบบการ์ตูนให้ดูไหม”
- ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ตอบว่า ให้ดูสัญลักษณ์ แต่ไม่บอกรายละเอียดว่าสัญลักษณ์แบบไหนที่ถูกต้อง
2.“มีตัวการ์ตูนไหนบ้าง ที่มีลิขสิทธิ์ ของบริษัท”
- ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ไม่ตอบคำถาม
………..ระหว่างรอ เราจะขอถ่ายรูปสินค้า ที่ถูกยึดมาจากร้าน แต่ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายความไม่ยอมให้ถ่ายรูป ตรงนี้เรา งง มาก
เราถามว่า “ทำไมไม่ให้ถ่ายรูป ? "
ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายตอบว่า " เวลานี้คุณไม่มีสิทธิ์ถ่ายภาพแล้ว ” ……อือ......
สักพัก ตำรวจที่ทำคดี ก็เดินออกมาเช็คสินค้าที่ถูกยึดตามบันทึกการจับกุม รายการสินค้า
โดยฉีก ถุงที่ ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายห่อแพ็คแบบปิดตาย หรือ เปิดไม่ได้ ออก ( เรามีความสะใจนิดๆ 555 )
…………เรารู้สึกว่า ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย จะไม่ชอบเราเท่าไหร่
เพราะเราโทรหาแม่ก่อนมาถึงโรงพัก ว่า " อย่าเซ็นอะไรทั้งนั้น เราจะไม่จ่ายเงิน เราจะ ขึ้นศาล "
(จากการอ่านข้อมูลใน Internet มั่นใจในความคิดตัวเองมาก 555) ซึ่งตอนแม่รับสาย แม่นั่งอยู่หน้าตำรวจ และตัวแทนลิขสิทธิ์ พร้อมเปิดลำโพง
(คุณแม่เริดมาก...อยากหัวเราะพร้อมน้ำตา555) พอเรามาถึงห้องสอบสวน ตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกว่า “จะดำเนินตามกฎหมายแน่นอน”
เราก็ตอบไปว่า “มีกฎหมายก็ต้องดำเนินตามกฎหมายก็ถูกต้องแล้วค่ะ” แล้วเราก็จ้องตากัน 555 ( อันนี้คือเรื่องจริง ไม่ได้แต่งเติม )
...............จากการจ้องตากัน... เราถูกฟ้อง 2 คดี เหตุผลเพราะตัวการ์ตูนมีลิขสิทธิ์ คนละบริษัท… เราก็ไม่ได้แย้ง เพราะเราไม่รู้กฎหมาย...
แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องแยก 2 คดี เพราะ จับสินค้าร้านเดียวกัน เวลาเดียวกัน บริษัทเดียวกันจับ...
( ในความคิดเราที่แยกเป็น 2 คดี อาจจะเพราะความหมั่นไส้เรารึเปล่า...ไม่รู้555...แต่อาจจะอยากเพิ่มเงินประกันตัวให้สูงขึ้น เพื่อจะให้เรายอมไกล่เกลี่ย...ไม่ให้เรื่องถึงศาล)
***ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย.. เค้าบอกว่า ตัวเองเป็นทนายให้หลายบริษัทของตัวการ์ตูน ตามเอกสารที่เค้าถือปึกใหญ่...(แต่ไม่ยอมให้เราดู....)
……รายการสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์.... จะไม่เขียนชื่อการ์ตูนกลัวโดนฟ้องเด้อ (หลายคนอาจจะอยากรู้ว่ามีสินค้า อะไรบ้าง).......
....คดี ที่ 1 สินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์.....
1. กระเป๋าสะพาย การ์ตูน B..10 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
2. สติ๊กเกอร์ การ์ตูน B..10 2 ชิ่น * 15 บาท = 30 บาท
3. สมุดระบายสี การ์ตูน B..10 1 ชิ่น * 20 บาท = 20 บาท
4. กระเป๋าใส่นามบัตร การ์ตูน B..10 2 ชิ่น * 25 บาท = 50 บาท
5. กระจก การ์ตูนหมี พวกเราชาวหมี WBB 5 ชิ้น * 5 บาท = 25 บาท
6. สติ๊กเกอร์การ์ตูน Hero กางเกงในแดง 2 ชิ้น * 10 บาท = 20 บาท
7. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูนHero กางเกงในแดง 3 ชิ้น * 35 บาท = 105 บาท
8. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูน Hero ค้างคาวดำ 2 ชิ้น * 35 บาท = 70 บาท
รวมเงิน 420 บาท
....คดี ที่ 2 สินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์......
1. กระเป๋าสะสตางค์ การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
2. กระเป๋าหูรูด การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
3. กระเป๋าใส่เหรียญ การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 20 บาท = 20 บาท
4. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูน หมีเหลือง Ri 2 ชิ่น * 35 บาท = 70 บาท
รวมเงิน 290 บาท
…6/5/62…“..…ตอนที่ 3 เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา....และ ไกล่เกลี่ย...”
***เจ้าของร้านค้า คือ แม่ เพราะ ตอนจดทะเบียนร้านค้า เพื่อเสียภาษี เป็นชื่อของแม่****
......เวลา 18.00 น. .....
เมื่อตำรวจเขียนสำนวนคดีการจับกุมเสร็จ ก็ส่งมาให้เราเพื่อเซ็น เราอ่านทวนหลายรอบ เพื่อให้แน่ใจว่า เราเป็นแค่ผู้เสนอขายสินค้า ไม่ใช้ผู้ผลิตสินค้า และ ดูรายการสินค้าว่าตรงตามที่ถูกจับไหม
ก่อนอ่านเอกสาร ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ได้พูดเชิงขมขู่ว่าเราอาจจะละเมิดเครื่องหมายการค้า ( แบรนด์ หรือ โลโก้)
ของการ์ตูน B…10 โดยให้ดูเครื่องหมายการค้าในเอกสารของเค้า กับกระเป๋า B…10 ที่เอามาจากร้าน ซึ่งเราดูยังไงมันก็ไม่เหมือน
ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย พยายามทำให้เรากลัว เพราะ คดีละเมิดเครื่องหมายการค้า จะมีโทษที่รุนแรง มากกว่า คดีละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูน
** ......คดีละเมิดเครื่องหมายการค้า……ก็จะมีโทษ ประมาณนี้....
1. ถ้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น มีโทษ จำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ถ้าเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น มีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หลังจากเราอ่านทบทวนสำนวนคดีหลายรอบ เราก็ให้แม่เซ็นรับสารภาพในสำนวนคดี เขียนว่า
“ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจยึดของกลาง แล้วการจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหา ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น เพื่อการค้าา
โดยการขาย เสนอขาย มีไว้เพื่อขาย ซึ่งงานศิลปกรรม ประเภท งานจิตกรรม ศิลปกรรมประยุกต์ ซึ่งได้รับการคุ้มครอง
ตามกฎหมาย พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 (1). 70 วรรคสอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมยึดสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์...
ในชั้นการจับกุม ผู้ถูกจับกุมได้ทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขอให้การ.......รับสารภาพ........ ( ลงชื่อ – สกุล)”
***ให้แม่เซ็น.....รับสารภาพ...... เนื่องจากว่า เรามีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จริง เราจึงให้แม่เซ็น เพราะเราผิดจริง ***
( แต่เราไม่รู้ว่า ถ้าไม่เซ็นรับสารภาพได้ไหม / ถ้าไม่เซ็นจะต่อสู้แบบไหนต่อไป )
..........ถ้าใครมีความรู้ สามารถมาเขียนอธิบาย เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อไปได้ค่ะ..........
เมื่อ แม่ของเราเซ็นรับสารภาพแล้ว ตำรวจบอกให้เราไกล่เกลี่ย ลองคุย ลองต่อรองราคาดูก่อน
เราถาม ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ว่า " ถ้าเราจะจ่ายโดยที่ไม่ต้องขึ้นศาล จะต้องจ่ายเท่าไหร่ "
ทนายตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกให้ไปคุยกับ ทีมงานอีกคน คือ ผู้ชายผิวขาวแต่งตัวดี ดูสุภาพ จะเป็นคนมาพูดต่อรองการจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้คดีถึงศาล
เราก็ถามในห้องสอบสวน ต่อหน้าตำรวจและทุกคน ว่า “ จะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ คะ “
แต่ ตัวแทนลิขสิทธิ์คนที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ไม่ตอบ แต่ทำท่าทางให้เราออกไปคุยนอกห้องสอบสวน ให้ไปคุยกันสองคน
เราบอกว่า “จะไปคุยข้างนอกห้องสอบสวนทำไม คุยในห้องนี่แหละคะ คือ ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ คะ ”
เค้าตอบกลับมาว่า 60,000 บาท คดีละ 30,000 บาท ( เราถูกแจ้ง 2 คดี )
ในความคิดของเรา คือ แพงแท้ แพงว่า แพงเกิน ... เราขายของที่ร้านทั้งเดือนยังไม่ถึง 30,000 บาทเลย เพราะ ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ เปิดแค่ตอนเย็น กับ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้เปิดทั้งวัน
เราเลยบอกว่า “งั้น...ส่งฟ้องศาลเลยค่ะ” ทางตัวแทนลิขสิทธิ์มีท่าทาง อึกอักๆ จะพูดก็ไม่พูด เพราะเราไม่ต่อรองเรื่องเงิน เราจะขึ้นศาลอย่างเดียว ( ใจแน่วแน่ ปักธง ไปให้ถึงศาล 555 )
ตำรวจเลยบอกให้เรา ไกล่เกลี่ยก่อน เรื่องจะได้จบ ลองเสนอราคาที่เราพอจ่ายไหวก่อน
เราเสนอราคา “ 5,000 บาท ” ตัวแทนลิขสิทธิ์ทำหน้าแบบ เห้ย....แล้ว ตอบว่า “ไม่ได้”
เราเลยบอกว่า “เราไม่มีเงินจ่าย เรามีแค่ 5,000 บาท ถ้าไม่เอา ก็ส่งฟ้องศาลเลยค่ะ”
........มันไม่เอาเงิน 5,000 บาท มันส่งคดีขึ้นศาล ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องทำเอกสาร ......
***
" เราเป็นคนแรกใน อำเภอ ที่ ไม่ไกล่เกลี่ย ให้จบ แต่ให้ฟ้องเพื่อไปต่อสู้ในชั้นศาล " รู้สึกภูมิใจไปอีก...
( ตำรวจบอกเราว่า ถ้าไปสู้คดีผลเป็นยังไงมาบอกด้วย เค้าจะเอามาเป็นคดีตัวอย่าง 555555 )
........ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ที่มาจับเรา ก็คือ คนที่มีข่าว ว่าไปล่อซื้อกระทง น้องอายุ 15 ปี ตอนนี้........
.......ประสบการณ์ถูกจับคดีลิขสิทธิ์การ์ตูน.......
***……เป็นเหตุการณ์จริงของผู้เขียน....เขียนเพื่อเป็นความรู้ให้แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านทุกคน....ผู้เขียนไม่มีเจตนากล่าวพาดพิงถึงผู้ใดในทางที่ไม่ดี....
และไม่สนับสนุนการทำผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น..... ไม่ให้นำข้อความนี้ไปใช้ในทางเสียหาย....***
….6/5/62… “..…ตอนที่ 1 ถูกจับ.....”
เวลา 16.00 น. ....เราอยู่ร้านค้าขายสินค้าทั่วไป สิ้นค้าส่วนมากเป็นกิ๊ฟช็อป.....
มีรถตำรวจ มาจอดหน้าร้าน พร้อมกับตัวแทนลิขสิทธิ์การ์ตูน มีตำรวจ 5 คน ตัวแทนลิขสิทธิ์ผู้ชาย 2 คน พอมาถึงร้าน ตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกว่าที่ร้านมีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์...แล้วก็เดินเข้าไปในร้านหยิบสินค้าลายการ์ตูน ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ในร้าน มารวบรวมไว้ที่หน้าร้าน ....ตอนนั้นความรู้สึกคือ งงมาก555...อยู่ร้านคนเดียว...และที่สำคัญคือไม่รู้กฎหมายเกี่ยวกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เลย
ตำรวจเชิญไปคุยที่โรงพัก....เราถามตำรวจว่า “ทำไมต้องไปคุยที่โรงพัก คุยกันที่ร้านให้จบเลยไม่ได้หรอ” เพราะตอนนั้นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ น่าจะเคลียจบที่ร้านเพราะสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไม่เยอะ......ตำรวจบอกว่าควรไปคุยที่โรงพัก….
ทันใดนั้นแม่ก็ขับรถมาจอดหน้าร้านพอดี มีคุณยายที่รู้จักกันข้างร้านค้าโทรไปบอกแม่ทันที ที่เห็นตำรวจเข้าร้านและวิ่งมาบอกว่าถ้าเค้าให้เซ็นอะไรห้ามเซ็นเด็ดขาด เราก็ได้แต่ตอบว่า ค่ะๆ (ต้องขอบคุณ คุณยายที่เป็นห่วงและหวังดี คุณยายน่ารักที่สุด 555)
เราจึงให้แม่ไปโรงพักกับตำรวจ และตัวแทนลิขสิทธิ์ ส่วนตัวเราปิดร้านและโทรให้พ่อมารับ ขณะที่รอพ่อมารับ เราได้เข้าหาข้อมูลใน Internet ถาม อาจารย์ Goo... ผู้รอบรู้ทุกอย่าง โดยพิมพ์คำว่า “ถูกจับลิขสิทธิ์การ์ตูน” ได้ข้อมูลประมาณว่า ไม่ต้องยอมจ่ายเงิน ให้ขึ้นศาล แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นศาลหรือ การประกันตัว.....
…6/5/62…“..…ตอนที่ 2 รอบันทึกการจับกุม ”
เวลา 17.00 น..........เราและพ่อ ถึงโรงพัก เดินเข้าไปหาแม่ในห้องสอบสวน มีตัวแทนลิขสิทธิ์ทั้งหมด 3 คน
- ผู้ชาย เป็นทนายความ 1 คน จะถือปึกกระดาษหนาๆ ซึ่งเป็นภาพการ์ตูนลิขสิทธิ์ ต่างๆ
- ผู้ชาย แต่งตัวภูมิฐาน 1 คน ขับรถยี้ห้อแพงมากๆ (จากการสังเกต)
- ผู้หญิง 1 คน เป็นคนพิมพ์รายการแจ้งความ + เป็นผู้ล่อซื้อสินค้า ตอนเช้าที่แม่ อยู่ร้าน ...เข้าไปในร้านเดินรอบร้านหลายรอบ และซื้อของ พร้อมแอบถ่ายรูป แม่ตอนขาย (เราไปเห็นภาพตอนตำรวจทำสำนวนคดี บันทึกการจับกุม)
ขณะที่ตำรวจเขียนบันทึกการจับกุม เราก็ได้ถามตัวแทนลิขสิทธิ์ หลายคำถาม จะมีแค่ตัวแทนลิขสิทธิ์ ที่เป็นทนายคนเดียวเท่านั้นที่ตอบ ระหว่างที่เราถามคำถาม เราจะสบตาตลอดเวลาไม่หลบตา …. เราถามคำถามว่า
1. “จะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวการ์ตูนที่ถูกลิขสิทธิ์ ต้องดูตรงไหน ของสินค้า มีแบบการ์ตูนให้ดูไหม”
- ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ตอบว่า ให้ดูสัญลักษณ์ แต่ไม่บอกรายละเอียดว่าสัญลักษณ์แบบไหนที่ถูกต้อง
2.“มีตัวการ์ตูนไหนบ้าง ที่มีลิขสิทธิ์ ของบริษัท”
- ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ไม่ตอบคำถาม
………..ระหว่างรอ เราจะขอถ่ายรูปสินค้า ที่ถูกยึดมาจากร้าน แต่ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายความไม่ยอมให้ถ่ายรูป ตรงนี้เรา งง มาก
เราถามว่า “ทำไมไม่ให้ถ่ายรูป ? "
ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายตอบว่า " เวลานี้คุณไม่มีสิทธิ์ถ่ายภาพแล้ว ” ……อือ......
สักพัก ตำรวจที่ทำคดี ก็เดินออกมาเช็คสินค้าที่ถูกยึดตามบันทึกการจับกุม รายการสินค้า
โดยฉีก ถุงที่ ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนายห่อแพ็คแบบปิดตาย หรือ เปิดไม่ได้ ออก ( เรามีความสะใจนิดๆ 555 )
…………เรารู้สึกว่า ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย จะไม่ชอบเราเท่าไหร่
เพราะเราโทรหาแม่ก่อนมาถึงโรงพัก ว่า " อย่าเซ็นอะไรทั้งนั้น เราจะไม่จ่ายเงิน เราจะ ขึ้นศาล "
(จากการอ่านข้อมูลใน Internet มั่นใจในความคิดตัวเองมาก 555) ซึ่งตอนแม่รับสาย แม่นั่งอยู่หน้าตำรวจ และตัวแทนลิขสิทธิ์ พร้อมเปิดลำโพง
(คุณแม่เริดมาก...อยากหัวเราะพร้อมน้ำตา555) พอเรามาถึงห้องสอบสวน ตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกว่า “จะดำเนินตามกฎหมายแน่นอน”
เราก็ตอบไปว่า “มีกฎหมายก็ต้องดำเนินตามกฎหมายก็ถูกต้องแล้วค่ะ” แล้วเราก็จ้องตากัน 555 ( อันนี้คือเรื่องจริง ไม่ได้แต่งเติม )
...............จากการจ้องตากัน... เราถูกฟ้อง 2 คดี เหตุผลเพราะตัวการ์ตูนมีลิขสิทธิ์ คนละบริษัท… เราก็ไม่ได้แย้ง เพราะเราไม่รู้กฎหมาย...
แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องแยก 2 คดี เพราะ จับสินค้าร้านเดียวกัน เวลาเดียวกัน บริษัทเดียวกันจับ...
( ในความคิดเราที่แยกเป็น 2 คดี อาจจะเพราะความหมั่นไส้เรารึเปล่า...ไม่รู้555...แต่อาจจะอยากเพิ่มเงินประกันตัวให้สูงขึ้น เพื่อจะให้เรายอมไกล่เกลี่ย...ไม่ให้เรื่องถึงศาล)
***ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย.. เค้าบอกว่า ตัวเองเป็นทนายให้หลายบริษัทของตัวการ์ตูน ตามเอกสารที่เค้าถือปึกใหญ่...(แต่ไม่ยอมให้เราดู....)
……รายการสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์.... จะไม่เขียนชื่อการ์ตูนกลัวโดนฟ้องเด้อ (หลายคนอาจจะอยากรู้ว่ามีสินค้า อะไรบ้าง).......
....คดี ที่ 1 สินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์.....
1. กระเป๋าสะพาย การ์ตูน B..10 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
2. สติ๊กเกอร์ การ์ตูน B..10 2 ชิ่น * 15 บาท = 30 บาท
3. สมุดระบายสี การ์ตูน B..10 1 ชิ่น * 20 บาท = 20 บาท
4. กระเป๋าใส่นามบัตร การ์ตูน B..10 2 ชิ่น * 25 บาท = 50 บาท
5. กระจก การ์ตูนหมี พวกเราชาวหมี WBB 5 ชิ้น * 5 บาท = 25 บาท
6. สติ๊กเกอร์การ์ตูน Hero กางเกงในแดง 2 ชิ้น * 10 บาท = 20 บาท
7. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูนHero กางเกงในแดง 3 ชิ้น * 35 บาท = 105 บาท
8. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูน Hero ค้างคาวดำ 2 ชิ้น * 35 บาท = 70 บาท
รวมเงิน 420 บาท
....คดี ที่ 2 สินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์......
1. กระเป๋าสะสตางค์ การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
2. กระเป๋าหูรูด การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 100 บาท = 100 บาท
3. กระเป๋าใส่เหรียญ การ์ตูน หมีเหลือง Ri 1 ชิ่น * 20 บาท = 20 บาท
4. แผ่นติดหลัง Tel การ์ตูน หมีเหลือง Ri 2 ชิ่น * 35 บาท = 70 บาท
รวมเงิน 290 บาท
…6/5/62…“..…ตอนที่ 3 เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา....และ ไกล่เกลี่ย...”
***เจ้าของร้านค้า คือ แม่ เพราะ ตอนจดทะเบียนร้านค้า เพื่อเสียภาษี เป็นชื่อของแม่****
......เวลา 18.00 น. .....
เมื่อตำรวจเขียนสำนวนคดีการจับกุมเสร็จ ก็ส่งมาให้เราเพื่อเซ็น เราอ่านทวนหลายรอบ เพื่อให้แน่ใจว่า เราเป็นแค่ผู้เสนอขายสินค้า ไม่ใช้ผู้ผลิตสินค้า และ ดูรายการสินค้าว่าตรงตามที่ถูกจับไหม
ก่อนอ่านเอกสาร ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ได้พูดเชิงขมขู่ว่าเราอาจจะละเมิดเครื่องหมายการค้า ( แบรนด์ หรือ โลโก้)
ของการ์ตูน B…10 โดยให้ดูเครื่องหมายการค้าในเอกสารของเค้า กับกระเป๋า B…10 ที่เอามาจากร้าน ซึ่งเราดูยังไงมันก็ไม่เหมือน
ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย พยายามทำให้เรากลัว เพราะ คดีละเมิดเครื่องหมายการค้า จะมีโทษที่รุนแรง มากกว่า คดีละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูน
** ......คดีละเมิดเครื่องหมายการค้า……ก็จะมีโทษ ประมาณนี้....
1. ถ้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น มีโทษ จำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ถ้าเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น มีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หลังจากเราอ่านทบทวนสำนวนคดีหลายรอบ เราก็ให้แม่เซ็นรับสารภาพในสำนวนคดี เขียนว่า
“ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจยึดของกลาง แล้วการจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหา ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น เพื่อการค้าา
โดยการขาย เสนอขาย มีไว้เพื่อขาย ซึ่งงานศิลปกรรม ประเภท งานจิตกรรม ศิลปกรรมประยุกต์ ซึ่งได้รับการคุ้มครอง
ตามกฎหมาย พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 (1). 70 วรรคสอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมยึดสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์...
ในชั้นการจับกุม ผู้ถูกจับกุมได้ทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขอให้การ.......รับสารภาพ........ ( ลงชื่อ – สกุล)”
***ให้แม่เซ็น.....รับสารภาพ...... เนื่องจากว่า เรามีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จริง เราจึงให้แม่เซ็น เพราะเราผิดจริง ***
( แต่เราไม่รู้ว่า ถ้าไม่เซ็นรับสารภาพได้ไหม / ถ้าไม่เซ็นจะต่อสู้แบบไหนต่อไป )
..........ถ้าใครมีความรู้ สามารถมาเขียนอธิบาย เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อไปได้ค่ะ..........
เมื่อ แม่ของเราเซ็นรับสารภาพแล้ว ตำรวจบอกให้เราไกล่เกลี่ย ลองคุย ลองต่อรองราคาดูก่อน
เราถาม ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ว่า " ถ้าเราจะจ่ายโดยที่ไม่ต้องขึ้นศาล จะต้องจ่ายเท่าไหร่ "
ทนายตัวแทนลิขสิทธิ์ บอกให้ไปคุยกับ ทีมงานอีกคน คือ ผู้ชายผิวขาวแต่งตัวดี ดูสุภาพ จะเป็นคนมาพูดต่อรองการจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้คดีถึงศาล
เราก็ถามในห้องสอบสวน ต่อหน้าตำรวจและทุกคน ว่า “ จะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ คะ “
แต่ ตัวแทนลิขสิทธิ์คนที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ไม่ตอบ แต่ทำท่าทางให้เราออกไปคุยนอกห้องสอบสวน ให้ไปคุยกันสองคน
เราบอกว่า “จะไปคุยข้างนอกห้องสอบสวนทำไม คุยในห้องนี่แหละคะ คือ ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ คะ ”
เค้าตอบกลับมาว่า 60,000 บาท คดีละ 30,000 บาท ( เราถูกแจ้ง 2 คดี )
ในความคิดของเรา คือ แพงแท้ แพงว่า แพงเกิน ... เราขายของที่ร้านทั้งเดือนยังไม่ถึง 30,000 บาทเลย เพราะ ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ เปิดแค่ตอนเย็น กับ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้เปิดทั้งวัน
เราเลยบอกว่า “งั้น...ส่งฟ้องศาลเลยค่ะ” ทางตัวแทนลิขสิทธิ์มีท่าทาง อึกอักๆ จะพูดก็ไม่พูด เพราะเราไม่ต่อรองเรื่องเงิน เราจะขึ้นศาลอย่างเดียว ( ใจแน่วแน่ ปักธง ไปให้ถึงศาล 555 )
ตำรวจเลยบอกให้เรา ไกล่เกลี่ยก่อน เรื่องจะได้จบ ลองเสนอราคาที่เราพอจ่ายไหวก่อน
เราเสนอราคา “ 5,000 บาท ” ตัวแทนลิขสิทธิ์ทำหน้าแบบ เห้ย....แล้ว ตอบว่า “ไม่ได้”
เราเลยบอกว่า “เราไม่มีเงินจ่าย เรามีแค่ 5,000 บาท ถ้าไม่เอา ก็ส่งฟ้องศาลเลยค่ะ”
........มันไม่เอาเงิน 5,000 บาท มันส่งคดีขึ้นศาล ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องทำเอกสาร ......
*** " เราเป็นคนแรกใน อำเภอ ที่ ไม่ไกล่เกลี่ย ให้จบ แต่ให้ฟ้องเพื่อไปต่อสู้ในชั้นศาล " รู้สึกภูมิใจไปอีก...
( ตำรวจบอกเราว่า ถ้าไปสู้คดีผลเป็นยังไงมาบอกด้วย เค้าจะเอามาเป็นคดีตัวอย่าง 555555 )
........ตัวแทนลิขสิทธิ์ที่เป็นทนาย ที่มาจับเรา ก็คือ คนที่มีข่าว ว่าไปล่อซื้อกระทง น้องอายุ 15 ปี ตอนนี้........