หลังที่เกิดเหตุ ผมได้เข้ารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ พอเช้ามาของวันนั้น มีแม่ผมและญาติผมอีกมากมายมาเยี่ยมผม ทุกคนดูเศร้าไปหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คืออันที่จริงตกใจมากๆ กลัวโดนดุมากกว่า เพราะตัวเองไม่ได้คิดเหมือนกันนะว่า อาการจะหนักถึงขนาดรวมญาติ 555 ถ้าไม่เข้าใจว่าความหมายคืออะไร จะขยายความให้ รวมญาตินี่ เรียกง่ายๆว่ามาดูใจ หรือ มาพบกันเหมือนสุดท้ายก่อนที่คนเราจะตายอ่ะ
ผมก็ได้แต่รอหมอบนเตียงเล็กๆ เล็กขนาดไหนดูในภาพด้านบน แบบให้แค่นอนจริงๆ ขยับตัวคือตกแน่ เออแต่โชคดีไป เรื่องนั้นคงไมเกิดขึ้น เพราะผมขยับไม่ได้ และผมได้ยินพยาบาลพูดอีกด้วยว่า หมอยังไม่มานะค่ะ ต้องรอก่อน เมื่อคืนหมอผ่าตัดไปสามสิบกว่าราย WTF!!! ฟังผิดป่าวว่ะ นึกในใจซวยแล้วเรา ผมอยากหัวเราะนะ แต่ผมยังไม่มีแรงจะพูดเลยแล้วจะหัวเราะได้ไง ก็ได้แต่นอนรอต่อไป...............
เวลาผ่านไป นานนะ และแล้วก็มีหมอมา แต่พอหมอมาถึงได้ตรวจอาการ ให้ผมยกแขน ผมก็ยกไม่ได้ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ายกแขนอย่างไร
หมอบอก : ไหน ลองยกแขนซิ
กฤชติณท์ : ยกไงอ่ะ ยกไม่ได้ (คิดในใจนะ พูดไม่ได้) ได้แต่ส่งตาหวาน
ที่นี่หมอเปลี่ยนวิธีใหม่ สุดยอดความ Create ความคิดด้วยความเป็นหมอ หมอเริ่มยกแขนขึ้น แล้วให้เรา Hold ไว้ ยกค้างไว้นั้นแหละอย่าทำแขนล่วง ตั้งไว้ให้ได้ (นึกในใจ ให้กุยกยังไม่รู้ต้องสั่งยังไงเลยให้แขนยก 555) คราวนี้เล่นจากบนลงล่าง เรียบร้อย ร่วงซิจ๊ะ ยังไม่หมดวิธีนะ ต่อมาหมอก็นำของแหลมมาทดสอบความรู้สึกของผม ผมไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่คอลงมา อันที่จริงใบหน้าบางส่วนด้วยนะ ร่างกายผมขยับไม่ได้
ความรู้สึกในตอนนั้น ผมค่อนข้างสับสนและมึนงงว่าผมเป็นอะไรกันแน่ทำไมขยับไม่ได้ อึดอัดมาก แต่ก็คิดในทางที่ดีนะ รอเวลาเดี๋ยวอาการคงดีขึ้นหลังจากนั้นพอเวลาถัดมา เริ่มมีแรงพูดได้ ดีใจมาก จึงเริ่มถามหมอ หมอก็ไม่บอกไม่พูดกับผมอีก ถามแม่ ถามญาติก็ไม่มีใครบอก บอกให้ผมไปถามหมอ สรุปผมไม่ถามใครแล้วก็ได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้า ไม่ช้าได้ไง เล่นนอนนิ่งๆซะแบบนั้น ไม่ต่างจากท่อนไม้เลย ช่วงแรกผมพยายามคิดว่าผมฝันไปหรือเปล่า พยายามหลับเพื่อให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ใช่ความจริง แต่มันไม่ใช่เลย นี่คือความจริง ผมพยายามคิดบวกว่าคงไม่ใช่ผมแน่ๆที่จะต้องมานอนเป็นคนพิการแบบนี้ นอนคิดในใจ ต้องไม่เป็นๆ ตามความเป็นจริงที่น่ากลัวที่สุดคือ ความคิดนี่แหละ เพราะมีเวลาว่างส่วนใหญ่ จะจัดการความคิดได้อย่างไร แต่ยังไม่รู้ตัวนะว่าตัวเองต้องกลายมาเป็นคนพิการแบบถาวรจริงๆ แค่เสียวๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่กับเรื่องนั้น คงเป็นเรื่องของเวลามากกว่า ที่จะเป็นตัวตัดสิน แต่อาทิตย์นึง ผ่านไป สอง สาม อาทิตย์ผ่านไป เห้ย ทำไมร่างกายมันนิ่งว่ะ ไม่ขยับเลย เริ่มกังวลเล็กน้อย พอหนึ่งเดือน ก็เริ่มมีบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้บางเล็กน้อย เช่น แขน อย่างอื่นก็มีบ้างบางๆ พวกเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ
เรื่องที่กังวลมากที่สุดในช่วงๆแรก คงไม่พ้นเรื่องการถูกคนอื่นตำหนิ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ ดีใจและรู้สึกดีมากกว่ากับการที่หลายคนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องต่อมาคือ การเรียน ผมรักการเรียนมากในช่วงนั้น น่าจะเป็นเพราะชอบในการเรียนสิ่งที่ชอบ มันมีงานกลุ่มอยู่หนึ่งงาน ที่อาจารย์สั่งไว้ก่อนปีใหม่ อยากกลับไปทำให้เสร็จเกรงใจเพื่อนๆ และเรื่องงานที่ทำ จริงๆในตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจะหนักถึงขนาดนอนยาว ก็จะเป็นกังวลในเรื่องทั่วไปมากกว่า
ต้องขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยม ถึงจะแอบอายเพื่อนๆและทุกคนอยู่บ้าง ที่ต้องมาเจอเรานอนแบบนี้ หลายคนร้องไห้นะเราก็ยิ้มและช่วยคุยเรื่องตลก แต่อยากบอกว่า มันเป็นสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิต ในช่วงเวลาที่เหลวร้ายที่สุดในชีวิตที่ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกว่านอนแย่อยู่คนเดียว และ ไม่คาดคิดด้วยว่าจะมีคนมาเยี่ยมให้กำลังใจมากมายขนาดนี้ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนานประมาณสี่สัปดาห์ได้ และ อีกประมาณ 1 สัปดาห์ที่ โรงพยาบาล อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ช่วงนั้นมีคนมาเยี่ยมเยอะมากทั้งญาติ เพื่อน อาจารย์ รุ่นน้อง แฟนคนแรกและคนที่สอง ขอบคุณที่เข้าใจไม่ทะเลาะกัน555 มาเยอะไปหมด วันหนึ่งเป็นสิบๆคน แทบทุกวันเลย จนแทบไม่ได้พักเลยช่วงแรกๆ ช่วงนั้นผมพอพูดได้บ้างแล้ว แต่เบามาก แรงไม่ค่อยมี พูดได้สั้นๆก็เหนื่อยไว้มาก แต่ก็พยายามพูดคุยกับทุกคนที่มาเยี่ยมให้หมดทุกคน เพราะทุกคนที่มาเยี่ยมในวันนั้นเป็นกำลังใจที่สำคัญ ทำให้ผมต่อสู้กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ผมนอนอยู่ที่นั้นโดยไม่ได้รักษาอะไรมากมายนอกจากให้ยาฆ่าเชื้อ ยาพาราบรรเทาอาการปวด ให้น้ำเกลือ และ นักกายภาพสอนวิธีการทำกายภาพกันข้อติด และจับนั่ง ครั้งแรกดีใจมากที่ได้กลับมาใช้ชีวิตแนวดิ่ง แบบนั่งตรงๆ เพราะนอนกับเตียงมานานมาก
หลังจากผ่านช่วงแรก คือ ประมาณสัปดาห์แรกมา การฟื้นตัวของระบบประสาทเริ่มรับรู้ดีขึ้น ทรมานมากเลย คันหน้าแต่ก็เกาไม่ได้ อยากตะแครงตัวก็ทำไม่ได้ พอตกเย็นก็เป็นไข้ตลอดทุกวันเป็นประมาณสองเดือน ปวดคอและปวดแผลมาก ผมก็เริ่มยาว แต่ยังดีมีคนมาโกนให้ แต่พอไม่มีผมปัญหาตามมาคือ คัน มด ยุง แบบสุดๆ ส่วนมากจะทะเลาะกับคนที่อยู่ด้วยเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่แหละ มดชอบมากเดินตามคอตามหัว กัดด้วย คันสุดๆ ปัดออกหรือเกาเองไม่ได้ ต้องเรียกคนเฝ้าตลอด 555 คือ แบบแทบไม่ต้องนอนเลย และ ที่ใส่ที่คอน่าจะเรียกว่าคอลล่าคล้ายปลอกคอ กันคอเคลื่อนมันบาดคอโคตรเจ็บเลย ระหว่างนอนรอเวลานั้น แม่ผมก็ได้หาทางรักษาใหม่ หาที่ใหม่คงดีกว่าที่จะนอนอยู่ที่เดิมแน่ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับ และขั้นตอนการรักษาก็ยากมาก เพราะต้นสังกัดจะไม่ยอมให้ส่งตัวไปรักษาที่ไหน จะให้กลับไปนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างเดียว แต่การกลับบ้านมันยังไม่ใช้ทางออกไงครับ ไม่มีอะไรพร้อมเลย กระทั่งความรู้ในดูแลตัวเอง
บางทีความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากร่างกายนั้น ทำให้เกิดปัญญา เห็นความจริงของชีวิต มีอยู่ช่วงนึงเหมือนกัน ตอนที่ผมรักษาตัวในตอนเกิดเหตุขึ้นในช่วงแรก ตอนตะแคงตัว แล้วผมได้บอกคนที่อยู่ด้วยในตอนนั้นให้ช่วยยกแขนมาวางไว้ใกล้ๆหน้าผมที เอาพอที่ริมฝีปากจะสัมผัสกับแขนได้
หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์อย่างมาก ผมได้เริ่มมีคำถามว่านี่คือแขนใคร ทำไมดำจัง แถมมือยังสากด้วย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงาม ที่ได้เริ่มมองร่างกายตัวเอง และได้รู้อย่างชัดแจ้งว่า"ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา อย่างแท้จริง"เพราะถ้าเป็นของเรา มันก็ควรที่จะสั่งใช้งานมันได้
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ช่วงแรกที่สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้ ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน แล้วเริ่มให้ความสำคัญกับการรักษาจิตใจ คงสภาพจิตใจในส่วนที่ดี และ ฝึกพัฒนาจิตให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้นมา
ประสบการณ์ที่ได้ในครั้งนั้น คือ การที่ต้องให้คนอื่นมาทำธุระส่วนตัวแทน ทุกอย่าง ทานอาหาร(เคี้ยวเองนะ)จนถึงขับถ่าย ตอนทานไม่แย่เท่าตอนขับถ่าย เป็นอะไรที่รู้สึกว่า ชีวิตตกต่ำมาก ณ เวลานั้น แต่อดทน ยอมรับ และมองข้ามมันไป มันเลือกไม่ได้ ทุกเช้าเย็นจะมีคนมาทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ เพราะร่างกายไม่สามารถปัสสาวะเองได้ ต้องใส่สายสวนคาไว้ ต้องทำความสะอาดเพราะเรื่องติดเชื้อทางเดินปัสสาวะก็สำคัญมาก โคตรอาย แต่ยอมรับ คิดว่าวันนึงคงผ่านไป ไม่ต้องให้ใครช่วย เดี๋ยวดีขึ้นคงทำเองได้ ความคิดในตอนนั้นคือ ปัจจุบันอย่างเดียว ไม่คิดอะไรมากไปกว่าการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เช่น การป้องกันภาวะแทรกซ้อน แผลกดทับ เรื่องนี้สำคัญมากในการดูแล เพราะร่างกายเราไม่มีความรู้สึกเลย จึงจำเป็นต้องให้คนที่อยู่ด้วย หรือ เจ้าหน้าที่ คอยช่วยพลิกตะแคงตัวให้ ทุก 2 ชั่วโมง มีที่นอนลมเป็นตัวช่วยในการนอน จำเป็นมาก แต่เสียงดังนอนไม่ค่อยหลับเลย ที่นอนลมหลักการคือ การสูบลมเข้าไปในที่นอน ซึ่งจะมีการทำงานสลับกันไป จึงค่อนข้างจะมีเสียงดังตลอด
ห้องที่ผมนอนรักษาตัวอยู่เป็นห้องรวม ผมนอนรักษาตัว เตียงแรกเลย ตรงกับทางเข้าออก ซึ่งห้องนี่จะมีเตียงเยอะมาก คนป่วยเต็มตลอด ส่วนมากจะเป็นคนที่ได้รับอุบัติเหตุ แน่นอนพอเกี่ยวกับอุบัติเหตุก็จะเป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยน่าชมเท่าไร ขนาดผมนอนอย่างเดียว ยังรับรู้ได้ถึงความน่ากลัว เสียงคนร้องเจ็บปวดด้วยความทรมาน เสียงของอุปกรณ์ต่างๆนานาชนิด แต่มีเสียงคนไข้คนนึงนะ ชอบร้องเพลงตลอดเลย ไม่แน่ใจว่าเขาอารมณ์ดีหรือ ทรมานกันแน่ แต่ก็สร้างความครื้นเครงได้ไม่น้อย ร้องเพลงได้ไพเราะมากจริงๆ เพลงที่จำได้ เนื้อร้องประมาณ ฉีดยาให้ฉันตายไปเถอะหมอ 5555 อันนี้ฮามาก เปลี่ยนบรรยากาศแบบแวกแนวไปเลย อืม เกือบลืมบอกเลย เจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดเหลือง ผู้ชายใจดีมาก จะชอบเดินมาคุยด้วย เรื่องต่างๆ ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง น่าจะเป็นพนักงานผู้ช่วยที่ทำงานลองจากผู้ช่วยพยาบาลมาอีกที ที่สนิทกันเลยก็มีพี่ศร ชอบมาแบบรั่วๆ เพราะตอนเย็นจะมีการมาวัดไข้ พี่ศรชอบบอกว่า วันนี้เอาลูกอมไปกิน (ยาพารา) เพราะปวดและเป็นไข้ทุกเย็น
ความหวังในขณะรักษาตัวตอนนั้น หลังจากผ่านสัปดาห์แรกมา ไม่มีอะไรมากไปกว่า การรอหมอมาตัว ซึ่งก็ไม่ได้มาตรวจทุกวัน จะมีตารางเวลาที่อาจารย์หมอมา ความหวังในตอนนั้นมีแค่อยากได้ยินคำดีๆจากหมอ พูดถึงโอกาสการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่มีเลย แต่ในทางกลับกัน ผมก็ไม่กล้าถามหมอ ว่าจะหายไหม ผมก็กลัวกลับคำตอบพอสมควร คำถามที่ว่า หายไม่หายจึงไม่เคยหลุดออกจากปากไปถึงใคร มีเพียงตัวเราที่คิดอย่างเดียวว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถามออกไป ไม่อยากให้คำตอบมาทำร้ายสิ่งเดียวที่ยังดีอยู่คือ กำลังใจ ที่จะประครองจิตใจให้ผ่านวันคืนที่เลวร้ายไปได้
แต่ก็มีหนึ่งคำถามนะ อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนอยากรู้ แต่เป็นนักกายภาพบำบัดมากกว่า คือจะมีช่วงหนึ่งของการทำกายภาพ ต้องจับนั่ง แต่ต้องขอความเห็นจากหมอ คำถามสุดท้ายที่สนทนากับหมอ คือ หมอครับผมจะนั่งได้หรือไม่ครับ ด้วยความเข้าใจผิดหมอคงคิดว่า ความหมายคือ จะสามารถกลับมานั่งได้อีกครั้งหรือไม่ หมอจึงตอบออกมาสั้นๆแล้วเดินจากไป ว่าตะแคงตัวเองให้ได้ก่อนเหอะ คำตอบวันนั้นสร้างความไม่พอใจให้ผม แต่อีกด้านคือเห็นสัจธรรม แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แค่ถามเพียงอยากได้คำตอบว่า สามารถนั่งทำกายภาพได้หรือไม่ คำตอบที่ได้ยินคือ ผมได้รู้ว่าควรจัดการชีวิตอย่างไร เป้าหมายสำคัญสุดอาจจะคือการกลับมาเดิน แต่ว่า มันไกลไปที่จะให้ความสำคัญ "ความสำคัญคือ การจัดลำดับความสำคัญ" ก่อนหลัง ใกล้ไกล จากแทนที่จะนึกถึงการเดิน ก็กลับมาว่าจะทำไงให้ แขนขา การทำกิจวัตรบนเตียง การพลิกตะแคงตัว ทำเองได้ โดยไม่พาพึ่งพาผู้อื่น หรือ พึ่งพาให้น้อย
ความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะบรรยายเป็นลำดับ ถ้านับตั้งแต่วันแรก
แต่บอกข้อดีของที่นี่หน่อยล่ะกัน เรื่องของกิน ที่นี่หากใครหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยได้ก็ดี แต่ความจริงคือ มันยากเนอะ เอาเป็นว่าใครมาใช้บริการที่นี่ ด้านนอกจะมีอาหารอร่อยมาก (ด้านนอกกำแพงโรงพยาบาลนะ) ตลาดนายเจือ ของกินเยอะมาก รสชาติดีทีเดียว แม่ผมซื้อมาให้กินบ่อย อร่อยมาก ถามคนแถวนั้นน่าจะรู้จัก แต่สุดท้ายก็ได้สถานที่รักษามาได้จริงๆ ได้มาจากนักกายภาพบำบัดที่ทำกายภาพให้ผม เขาได้นำชื่อสถานที่ฟื้นฟูของสภากาชาดไทยมาให้ ทำให้ผมมีหวังขึ้นมาอีกครั้งกับการรักษา ระหว่างผมนอนรออยู่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์นั้น แม่ผมก็ไปเป็นธุระติดต่อให้กับโรงพยาบาลจุฬา เพื่อทำเรื่องย้ายผมมาเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจุฬา
วันสุดท้ายก่อนจะออกจากโรงพยาบาลที่นั้น ก็จะว่าไปคงอยู่จนชิน ตอนออกมารู้สึกหวิวๆเหมือนกัน ลำลากับเจ้าหน้าทุกคนก่อนออกมา แต่ตอนนั้นออกมายังไม่ได้กลับบ้านนะ แค่ย้ายมาอีกที่นึง โรงพยาบาล อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ย้ายมาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ที่นี่บรรยากาศดีกว่านะ คนน้อยดี แต่ก็ขอย้ายเข้าห้องพิเศษ เพราะสาเหตุหลักคือ อายนี่แหละ ไม่ชอบเลยตอนอยู่ห้องร่วม เวลาขับถ่ายต้องจัดการบนเตียง กลัวเตียงใกล้เคียงจะรังเกียจ เกรงใจคนอื่นมาก และอีกอย่างอยู่ที่นี่ได้อาบน้ำด้วย เพราะก่อนหน้าได้แค่เช็ดตัว ที่นี่ดีมากเลย แต่อาบบนเตียงนะ จะมีพนักงานมาอาบให้ แต่เป็นผู้หญิงทำอ่ะ เขินมาก เพราะโดนแก้ผ้าหมด คนมาทำก็อายุไม่เยอะ จึงตัดสินใจขอเข้าห้องพิเศษดีกว่า อย่างน้อยไม่มีคนอื่นมาเห็นตอนอาบน้ำ และนั้นคือ ช่วงเวลาที่รู้สึกดีอีกครั้ง เพราะได้ดูทีวีเป็นครั้งแรก
โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
ผมก็ได้แต่รอหมอบนเตียงเล็กๆ เล็กขนาดไหนดูในภาพด้านบน แบบให้แค่นอนจริงๆ ขยับตัวคือตกแน่ เออแต่โชคดีไป เรื่องนั้นคงไมเกิดขึ้น เพราะผมขยับไม่ได้ และผมได้ยินพยาบาลพูดอีกด้วยว่า หมอยังไม่มานะค่ะ ต้องรอก่อน เมื่อคืนหมอผ่าตัดไปสามสิบกว่าราย WTF!!! ฟังผิดป่าวว่ะ นึกในใจซวยแล้วเรา ผมอยากหัวเราะนะ แต่ผมยังไม่มีแรงจะพูดเลยแล้วจะหัวเราะได้ไง ก็ได้แต่นอนรอต่อไป...............
เวลาผ่านไป นานนะ และแล้วก็มีหมอมา แต่พอหมอมาถึงได้ตรวจอาการ ให้ผมยกแขน ผมก็ยกไม่ได้ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ายกแขนอย่างไร
หมอบอก : ไหน ลองยกแขนซิ
กฤชติณท์ : ยกไงอ่ะ ยกไม่ได้ (คิดในใจนะ พูดไม่ได้) ได้แต่ส่งตาหวาน
ที่นี่หมอเปลี่ยนวิธีใหม่ สุดยอดความ Create ความคิดด้วยความเป็นหมอ หมอเริ่มยกแขนขึ้น แล้วให้เรา Hold ไว้ ยกค้างไว้นั้นแหละอย่าทำแขนล่วง ตั้งไว้ให้ได้ (นึกในใจ ให้กุยกยังไม่รู้ต้องสั่งยังไงเลยให้แขนยก 555) คราวนี้เล่นจากบนลงล่าง เรียบร้อย ร่วงซิจ๊ะ ยังไม่หมดวิธีนะ ต่อมาหมอก็นำของแหลมมาทดสอบความรู้สึกของผม ผมไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่คอลงมา อันที่จริงใบหน้าบางส่วนด้วยนะ ร่างกายผมขยับไม่ได้
ความรู้สึกในตอนนั้น ผมค่อนข้างสับสนและมึนงงว่าผมเป็นอะไรกันแน่ทำไมขยับไม่ได้ อึดอัดมาก แต่ก็คิดในทางที่ดีนะ รอเวลาเดี๋ยวอาการคงดีขึ้นหลังจากนั้นพอเวลาถัดมา เริ่มมีแรงพูดได้ ดีใจมาก จึงเริ่มถามหมอ หมอก็ไม่บอกไม่พูดกับผมอีก ถามแม่ ถามญาติก็ไม่มีใครบอก บอกให้ผมไปถามหมอ สรุปผมไม่ถามใครแล้วก็ได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้า ไม่ช้าได้ไง เล่นนอนนิ่งๆซะแบบนั้น ไม่ต่างจากท่อนไม้เลย ช่วงแรกผมพยายามคิดว่าผมฝันไปหรือเปล่า พยายามหลับเพื่อให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ใช่ความจริง แต่มันไม่ใช่เลย นี่คือความจริง ผมพยายามคิดบวกว่าคงไม่ใช่ผมแน่ๆที่จะต้องมานอนเป็นคนพิการแบบนี้ นอนคิดในใจ ต้องไม่เป็นๆ ตามความเป็นจริงที่น่ากลัวที่สุดคือ ความคิดนี่แหละ เพราะมีเวลาว่างส่วนใหญ่ จะจัดการความคิดได้อย่างไร แต่ยังไม่รู้ตัวนะว่าตัวเองต้องกลายมาเป็นคนพิการแบบถาวรจริงๆ แค่เสียวๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่กับเรื่องนั้น คงเป็นเรื่องของเวลามากกว่า ที่จะเป็นตัวตัดสิน แต่อาทิตย์นึง ผ่านไป สอง สาม อาทิตย์ผ่านไป เห้ย ทำไมร่างกายมันนิ่งว่ะ ไม่ขยับเลย เริ่มกังวลเล็กน้อย พอหนึ่งเดือน ก็เริ่มมีบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้บางเล็กน้อย เช่น แขน อย่างอื่นก็มีบ้างบางๆ พวกเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ
เรื่องที่กังวลมากที่สุดในช่วงๆแรก คงไม่พ้นเรื่องการถูกคนอื่นตำหนิ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ ดีใจและรู้สึกดีมากกว่ากับการที่หลายคนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องต่อมาคือ การเรียน ผมรักการเรียนมากในช่วงนั้น น่าจะเป็นเพราะชอบในการเรียนสิ่งที่ชอบ มันมีงานกลุ่มอยู่หนึ่งงาน ที่อาจารย์สั่งไว้ก่อนปีใหม่ อยากกลับไปทำให้เสร็จเกรงใจเพื่อนๆ และเรื่องงานที่ทำ จริงๆในตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจะหนักถึงขนาดนอนยาว ก็จะเป็นกังวลในเรื่องทั่วไปมากกว่า
ต้องขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยม ถึงจะแอบอายเพื่อนๆและทุกคนอยู่บ้าง ที่ต้องมาเจอเรานอนแบบนี้ หลายคนร้องไห้นะเราก็ยิ้มและช่วยคุยเรื่องตลก แต่อยากบอกว่า มันเป็นสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิต ในช่วงเวลาที่เหลวร้ายที่สุดในชีวิตที่ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกว่านอนแย่อยู่คนเดียว และ ไม่คาดคิดด้วยว่าจะมีคนมาเยี่ยมให้กำลังใจมากมายขนาดนี้ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนานประมาณสี่สัปดาห์ได้ และ อีกประมาณ 1 สัปดาห์ที่ โรงพยาบาล อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ช่วงนั้นมีคนมาเยี่ยมเยอะมากทั้งญาติ เพื่อน อาจารย์ รุ่นน้อง แฟนคนแรกและคนที่สอง ขอบคุณที่เข้าใจไม่ทะเลาะกัน555 มาเยอะไปหมด วันหนึ่งเป็นสิบๆคน แทบทุกวันเลย จนแทบไม่ได้พักเลยช่วงแรกๆ ช่วงนั้นผมพอพูดได้บ้างแล้ว แต่เบามาก แรงไม่ค่อยมี พูดได้สั้นๆก็เหนื่อยไว้มาก แต่ก็พยายามพูดคุยกับทุกคนที่มาเยี่ยมให้หมดทุกคน เพราะทุกคนที่มาเยี่ยมในวันนั้นเป็นกำลังใจที่สำคัญ ทำให้ผมต่อสู้กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ผมนอนอยู่ที่นั้นโดยไม่ได้รักษาอะไรมากมายนอกจากให้ยาฆ่าเชื้อ ยาพาราบรรเทาอาการปวด ให้น้ำเกลือ และ นักกายภาพสอนวิธีการทำกายภาพกันข้อติด และจับนั่ง ครั้งแรกดีใจมากที่ได้กลับมาใช้ชีวิตแนวดิ่ง แบบนั่งตรงๆ เพราะนอนกับเตียงมานานมาก
หลังจากผ่านช่วงแรก คือ ประมาณสัปดาห์แรกมา การฟื้นตัวของระบบประสาทเริ่มรับรู้ดีขึ้น ทรมานมากเลย คันหน้าแต่ก็เกาไม่ได้ อยากตะแครงตัวก็ทำไม่ได้ พอตกเย็นก็เป็นไข้ตลอดทุกวันเป็นประมาณสองเดือน ปวดคอและปวดแผลมาก ผมก็เริ่มยาว แต่ยังดีมีคนมาโกนให้ แต่พอไม่มีผมปัญหาตามมาคือ คัน มด ยุง แบบสุดๆ ส่วนมากจะทะเลาะกับคนที่อยู่ด้วยเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่แหละ มดชอบมากเดินตามคอตามหัว กัดด้วย คันสุดๆ ปัดออกหรือเกาเองไม่ได้ ต้องเรียกคนเฝ้าตลอด 555 คือ แบบแทบไม่ต้องนอนเลย และ ที่ใส่ที่คอน่าจะเรียกว่าคอลล่าคล้ายปลอกคอ กันคอเคลื่อนมันบาดคอโคตรเจ็บเลย ระหว่างนอนรอเวลานั้น แม่ผมก็ได้หาทางรักษาใหม่ หาที่ใหม่คงดีกว่าที่จะนอนอยู่ที่เดิมแน่ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับ และขั้นตอนการรักษาก็ยากมาก เพราะต้นสังกัดจะไม่ยอมให้ส่งตัวไปรักษาที่ไหน จะให้กลับไปนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างเดียว แต่การกลับบ้านมันยังไม่ใช้ทางออกไงครับ ไม่มีอะไรพร้อมเลย กระทั่งความรู้ในดูแลตัวเอง
บางทีความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากร่างกายนั้น ทำให้เกิดปัญญา เห็นความจริงของชีวิต มีอยู่ช่วงนึงเหมือนกัน ตอนที่ผมรักษาตัวในตอนเกิดเหตุขึ้นในช่วงแรก ตอนตะแคงตัว แล้วผมได้บอกคนที่อยู่ด้วยในตอนนั้นให้ช่วยยกแขนมาวางไว้ใกล้ๆหน้าผมที เอาพอที่ริมฝีปากจะสัมผัสกับแขนได้
หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์อย่างมาก ผมได้เริ่มมีคำถามว่านี่คือแขนใคร ทำไมดำจัง แถมมือยังสากด้วย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงาม ที่ได้เริ่มมองร่างกายตัวเอง และได้รู้อย่างชัดแจ้งว่า"ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา อย่างแท้จริง"เพราะถ้าเป็นของเรา มันก็ควรที่จะสั่งใช้งานมันได้
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ช่วงแรกที่สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้ ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน แล้วเริ่มให้ความสำคัญกับการรักษาจิตใจ คงสภาพจิตใจในส่วนที่ดี และ ฝึกพัฒนาจิตให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้นมา
ประสบการณ์ที่ได้ในครั้งนั้น คือ การที่ต้องให้คนอื่นมาทำธุระส่วนตัวแทน ทุกอย่าง ทานอาหาร(เคี้ยวเองนะ)จนถึงขับถ่าย ตอนทานไม่แย่เท่าตอนขับถ่าย เป็นอะไรที่รู้สึกว่า ชีวิตตกต่ำมาก ณ เวลานั้น แต่อดทน ยอมรับ และมองข้ามมันไป มันเลือกไม่ได้ ทุกเช้าเย็นจะมีคนมาทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ เพราะร่างกายไม่สามารถปัสสาวะเองได้ ต้องใส่สายสวนคาไว้ ต้องทำความสะอาดเพราะเรื่องติดเชื้อทางเดินปัสสาวะก็สำคัญมาก โคตรอาย แต่ยอมรับ คิดว่าวันนึงคงผ่านไป ไม่ต้องให้ใครช่วย เดี๋ยวดีขึ้นคงทำเองได้ ความคิดในตอนนั้นคือ ปัจจุบันอย่างเดียว ไม่คิดอะไรมากไปกว่าการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เช่น การป้องกันภาวะแทรกซ้อน แผลกดทับ เรื่องนี้สำคัญมากในการดูแล เพราะร่างกายเราไม่มีความรู้สึกเลย จึงจำเป็นต้องให้คนที่อยู่ด้วย หรือ เจ้าหน้าที่ คอยช่วยพลิกตะแคงตัวให้ ทุก 2 ชั่วโมง มีที่นอนลมเป็นตัวช่วยในการนอน จำเป็นมาก แต่เสียงดังนอนไม่ค่อยหลับเลย ที่นอนลมหลักการคือ การสูบลมเข้าไปในที่นอน ซึ่งจะมีการทำงานสลับกันไป จึงค่อนข้างจะมีเสียงดังตลอด
ห้องที่ผมนอนรักษาตัวอยู่เป็นห้องรวม ผมนอนรักษาตัว เตียงแรกเลย ตรงกับทางเข้าออก ซึ่งห้องนี่จะมีเตียงเยอะมาก คนป่วยเต็มตลอด ส่วนมากจะเป็นคนที่ได้รับอุบัติเหตุ แน่นอนพอเกี่ยวกับอุบัติเหตุก็จะเป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยน่าชมเท่าไร ขนาดผมนอนอย่างเดียว ยังรับรู้ได้ถึงความน่ากลัว เสียงคนร้องเจ็บปวดด้วยความทรมาน เสียงของอุปกรณ์ต่างๆนานาชนิด แต่มีเสียงคนไข้คนนึงนะ ชอบร้องเพลงตลอดเลย ไม่แน่ใจว่าเขาอารมณ์ดีหรือ ทรมานกันแน่ แต่ก็สร้างความครื้นเครงได้ไม่น้อย ร้องเพลงได้ไพเราะมากจริงๆ เพลงที่จำได้ เนื้อร้องประมาณ ฉีดยาให้ฉันตายไปเถอะหมอ 5555 อันนี้ฮามาก เปลี่ยนบรรยากาศแบบแวกแนวไปเลย อืม เกือบลืมบอกเลย เจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดเหลือง ผู้ชายใจดีมาก จะชอบเดินมาคุยด้วย เรื่องต่างๆ ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง น่าจะเป็นพนักงานผู้ช่วยที่ทำงานลองจากผู้ช่วยพยาบาลมาอีกที ที่สนิทกันเลยก็มีพี่ศร ชอบมาแบบรั่วๆ เพราะตอนเย็นจะมีการมาวัดไข้ พี่ศรชอบบอกว่า วันนี้เอาลูกอมไปกิน (ยาพารา) เพราะปวดและเป็นไข้ทุกเย็น
ความหวังในขณะรักษาตัวตอนนั้น หลังจากผ่านสัปดาห์แรกมา ไม่มีอะไรมากไปกว่า การรอหมอมาตัว ซึ่งก็ไม่ได้มาตรวจทุกวัน จะมีตารางเวลาที่อาจารย์หมอมา ความหวังในตอนนั้นมีแค่อยากได้ยินคำดีๆจากหมอ พูดถึงโอกาสการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่มีเลย แต่ในทางกลับกัน ผมก็ไม่กล้าถามหมอ ว่าจะหายไหม ผมก็กลัวกลับคำตอบพอสมควร คำถามที่ว่า หายไม่หายจึงไม่เคยหลุดออกจากปากไปถึงใคร มีเพียงตัวเราที่คิดอย่างเดียวว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถามออกไป ไม่อยากให้คำตอบมาทำร้ายสิ่งเดียวที่ยังดีอยู่คือ กำลังใจ ที่จะประครองจิตใจให้ผ่านวันคืนที่เลวร้ายไปได้
แต่ก็มีหนึ่งคำถามนะ อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนอยากรู้ แต่เป็นนักกายภาพบำบัดมากกว่า คือจะมีช่วงหนึ่งของการทำกายภาพ ต้องจับนั่ง แต่ต้องขอความเห็นจากหมอ คำถามสุดท้ายที่สนทนากับหมอ คือ หมอครับผมจะนั่งได้หรือไม่ครับ ด้วยความเข้าใจผิดหมอคงคิดว่า ความหมายคือ จะสามารถกลับมานั่งได้อีกครั้งหรือไม่ หมอจึงตอบออกมาสั้นๆแล้วเดินจากไป ว่าตะแคงตัวเองให้ได้ก่อนเหอะ คำตอบวันนั้นสร้างความไม่พอใจให้ผม แต่อีกด้านคือเห็นสัจธรรม แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แค่ถามเพียงอยากได้คำตอบว่า สามารถนั่งทำกายภาพได้หรือไม่ คำตอบที่ได้ยินคือ ผมได้รู้ว่าควรจัดการชีวิตอย่างไร เป้าหมายสำคัญสุดอาจจะคือการกลับมาเดิน แต่ว่า มันไกลไปที่จะให้ความสำคัญ "ความสำคัญคือ การจัดลำดับความสำคัญ" ก่อนหลัง ใกล้ไกล จากแทนที่จะนึกถึงการเดิน ก็กลับมาว่าจะทำไงให้ แขนขา การทำกิจวัตรบนเตียง การพลิกตะแคงตัว ทำเองได้ โดยไม่พาพึ่งพาผู้อื่น หรือ พึ่งพาให้น้อย
ความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะบรรยายเป็นลำดับ ถ้านับตั้งแต่วันแรก
แต่บอกข้อดีของที่นี่หน่อยล่ะกัน เรื่องของกิน ที่นี่หากใครหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยได้ก็ดี แต่ความจริงคือ มันยากเนอะ เอาเป็นว่าใครมาใช้บริการที่นี่ ด้านนอกจะมีอาหารอร่อยมาก (ด้านนอกกำแพงโรงพยาบาลนะ) ตลาดนายเจือ ของกินเยอะมาก รสชาติดีทีเดียว แม่ผมซื้อมาให้กินบ่อย อร่อยมาก ถามคนแถวนั้นน่าจะรู้จัก แต่สุดท้ายก็ได้สถานที่รักษามาได้จริงๆ ได้มาจากนักกายภาพบำบัดที่ทำกายภาพให้ผม เขาได้นำชื่อสถานที่ฟื้นฟูของสภากาชาดไทยมาให้ ทำให้ผมมีหวังขึ้นมาอีกครั้งกับการรักษา ระหว่างผมนอนรออยู่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์นั้น แม่ผมก็ไปเป็นธุระติดต่อให้กับโรงพยาบาลจุฬา เพื่อทำเรื่องย้ายผมมาเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจุฬา
วันสุดท้ายก่อนจะออกจากโรงพยาบาลที่นั้น ก็จะว่าไปคงอยู่จนชิน ตอนออกมารู้สึกหวิวๆเหมือนกัน ลำลากับเจ้าหน้าทุกคนก่อนออกมา แต่ตอนนั้นออกมายังไม่ได้กลับบ้านนะ แค่ย้ายมาอีกที่นึง โรงพยาบาล อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ย้ายมาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ที่นี่บรรยากาศดีกว่านะ คนน้อยดี แต่ก็ขอย้ายเข้าห้องพิเศษ เพราะสาเหตุหลักคือ อายนี่แหละ ไม่ชอบเลยตอนอยู่ห้องร่วม เวลาขับถ่ายต้องจัดการบนเตียง กลัวเตียงใกล้เคียงจะรังเกียจ เกรงใจคนอื่นมาก และอีกอย่างอยู่ที่นี่ได้อาบน้ำด้วย เพราะก่อนหน้าได้แค่เช็ดตัว ที่นี่ดีมากเลย แต่อาบบนเตียงนะ จะมีพนักงานมาอาบให้ แต่เป็นผู้หญิงทำอ่ะ เขินมาก เพราะโดนแก้ผ้าหมด คนมาทำก็อายุไม่เยอะ จึงตัดสินใจขอเข้าห้องพิเศษดีกว่า อย่างน้อยไม่มีคนอื่นมาเห็นตอนอาบน้ำ และนั้นคือ ช่วงเวลาที่รู้สึกดีอีกครั้ง เพราะได้ดูทีวีเป็นครั้งแรก