ขอเตือนครั้งสุดท้ายใครยังไม่ดูรีบกดออกอย่าอ่านสปอยล์มันจะทำลายความรู้สึกที่คุณมีต่อหนัง
ความสัมพันธ์ของดิวกับภพ
ดิวเป็นตัวละครที่ถูกใส่ลักษณะของความเป็นเกย์มากกว่าภพ สังเกตได้จากนิสัยที่ดูน่ารักสดใสการใส่ชุดหลีด(ที่มักพ่วงมากับภาพความคิดที่ว่าลีดชายมักจะเป็นเพศที่สาม) ลักษณะคำพูดที่ค่อนข้างไปทางสุภาพเรียบร้อย(ใช้เรากับนายเรียกแทนตัวเองกับภพด้วยชื่อเล่น) และการแสดงออกต่อภพที่ดูเหมือนว่าสนใจให้ความสำคัญกับภพมาก...จนอาจจะเกินเพื่อนผู้ชายไปหน่อย (จริงๆเรื่องนี้ก็นานาจิตตังนะบางคนก็อาจจะบอกว่าดิวก็ดูสนิทกับภพเหมือนเพื่อนผู้ชายทั่วไปแต่เราแค่เห็นว่าดิวดูสนใจภพมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรก)
ภพ เป็นตัวละครที่เหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วๆไปเลยแทบจะดูจากภายนอกไม่ออกเลยว่าเป็นเกย์แต่...จากการกระทำที่เป็นห่วงดิว คอยมองหา มีความรู้สึกดีๆต่อดิวมากจนในที่สุดก็จูบดิว...และอาจมากกว่านั้น แม้หลายคนอาจมองว่าภพนั้นแค่เผลออารมณ์ไปเลยจูบดิว (...ถามจริง?) จริงๆแล้วภพเป็นชายแท้เพราะตอนหลังมาแต่งงานกับผู้หญิง(...อ๋อจ้ะ) แต่จขกทกลับเห็นว่าจริงๆแล้วภพเองก็สนใจดิวมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน(จะเห็นว่าฉากที่เรียกคนเบี่ยงเบนออกไปหน้าเสาธงไม่ได้มีแต่ดิวที่ระแวง ภพเองก็เหมือนกัน) เพียงแต่ลักษณะนิสัยที่แสดงออกของทั้งสองคนต่างกันเฉยๆ แต่จริงๆแล้วจขกทคิดว่าทั้งสองคนชอบพอกันตั้งแต่แรกๆ แต่เปิดเผยไม่ได้เพราะสังคมในตอนนั้นไม่เปิดรับมากๆ (นี่อาจเป็นที่มาว่าทำไมพาร์ทเด็กของดิวและภพดูดำเนินไปไว เพราะสองคนชอบกันแต่แรกๆเลยไม่จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์แบบเรื่องอื่นๆที่มักจะต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่อิมแพคกับความรู้สึกมากๆจนทำให้ตัวละครเปลี่ยนมาชอบผู้ชายด้วยกันได้)
อีกช็อตที่พูดถึงความสัมพันธ์ของสองคนก็คือตอนนั่งทายภาพ ผลงานของมะเดี่ยวเอกลักษณ์คือการใช้สัญลักษณ์อะไรบางอย่างในการสื่อสารความหมายกับคนดูและตรงนี้ก็ใช้ภาพสามมิติมาเพื่อให้คนดูวิเคราะห์ตาม และหากดูจนถึงท้ายเรื่อง ก็จะเฉลยออกมาว่าจริงๆภพรู้แต่แรกว่าภาพนั้นสื่อถึงความรู้สึกของดิว แปลว่าภพรู้แต่แรกว่าดิวคิดกับเขามากกว่าเพื่อน แม้ว่าภพจะไม่กล้ายอมรับตรงๆว่าตนรู้ว่าภาพนั้นคืออะไรแต่การที่ยังคบกับดิวเรื่อยมาจนเปิดเผยความรู้สึกในตู้โทรศัพท์ ก็ยืนยันแล้วว่าภพเองก็ชอบดิวตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน
จากทั้งหมดที่พูดมานั้นจขกทคิดว่าทุกคนคงคิดเหมือนกัน คือ ทั้งสองคนรักกันแน่นอน ไม่ใช่เผลอไผล แต่รักกันจริงๆ รักแบบเสน่หา แบบมากกว่าเพื่อนรักแบบแฟน แบบคนรัก แต่ด้วยความที่สมัยนันคือยุค90 Lgbtq คืออะไร ยังไม่มี แม้แต่คำว่าเกย์ก็ยังไม่คุ้น มีแต่ ตุ๊ด กะเทย ถั่วดำ อะไรทำนองนั้น ความเหยียดเต็มรูปแบบชนิดที่ถ้าทำในปัจจุบันก็เตรียมตัวถูกโพสลงทุกเพจโซเชียลและอาจถูกฟ้องร้องได้ง่ายๆ แต่สมัยนั้นการเหยียดคือความปกติ คนไม่ร่วมเหยียดด้วยบางทีก็อาจโดนเหมารวมไปด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนจึงหาทางให้ตัวเองเป็นคนปกติรวมถึงภพด้วย ด้วยความเป็นครอบครัวคนจีนโดนกดดันจากสังคมชายเป็นใหญ่ก็คือพ่อ ทำให้ภพทนแรงกดดันเรื่องเพศที่สามได้น้อยกว่า พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะเบี่ยงเบนจึงรีบทิ้งห่างความสัมพันธ์กับดิว แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็เหมือนจะยอมรับกับตัวเองได้จนเป็นเหตุให้ต้องละทิ้งครอบครัวมา (เห็นได้ชัดว่าการตัดพ่อตัดลูกในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ละคร หากลูกเบี่ยงเบนจริงๆมันร้ายแรงถึงขนาดนั้นนะ) ในขณะที่ดิวนั้นมีครอบครัวที่มีแต่แม่ อาจจะเห็นอกเห็นใจมากกว่า(แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...แม่ดิวก็ยังรับไม่ค่อยได้เพราะสังคมสมัยนั้นยอมรับเรื่องนี้น้อยกว่านี้มากจริงๆ) เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าครอบครัวส่งผลต่อการเติบโตและอนาคตของเด็กมากๆโดยเฉพาะวัยอย่างดิวและภพที่ต้องเจอกับการตัดสินใจในการยอมรับตัวตนของตัวเอง และเมื่อครอบครัวที่สำคัญมากๆยังทอดทิ้งกันได้เพียงเพราะเรื่องรสนิยมทางเพศมันก็น่าจะทำให้เห็นแล้วว่าชาว lgbtq ในยุคนั้นจะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูสักเท่าไร
ความสัมพันธ์ของภพกับหลิว
ขอเกริ่นก่อน...
ตรงส่วนนี้คือเรื่องที่ว่าด้วยการกลับชาติมาเกิด... เราอ่านคอมเม้นคนที่ไปดูมาแล้วมีบางความเห็นบอกว่าไม่อินกับพล็อตแบบนี้ เพราะมันเข้าไม่ถึง มันไม่อินกับความรักที่เป็นรักแท้จ๋าๆ คู่กันแล้วต้องกลับมาเจอกัน ถูกชะตาฟ้าลิขิตไว้ บลาๆๆ ซึ่งเราก็เข้าใจ ความเชื่อพวกรักแรกพบ รักแท้ คู่กรรมแต่ชาติปางก่อน หรือเรื่องพรหมลิขิตอะไรพวกนี้ เป็นความคิดที่ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วย จะมีคนไม่อินก็ไม่แปลก แต่ก็มีบางคนที่แค่ไม่ชอบพล็อตเรื่องนี้เพราะเขารู้สึกถูกหลอกว่า ตัวอย่างเหมือนเป็นหนังของ lgbtq แต่พอมาดูจริงๆตอนกลางถึงท้ายกลับเป็นชายหญิงซะงั้น (พูดเรื่องนี้แล้วก็ขำ นึกถึงตอนรักแห่งสยามออกมาใหม่ๆโดนถล่มว่าทีเซอร์เป็นหนังวัยรุ่นใสๆ ชายหญิงน่ารัก แต่พอออกจากโรงคนด่าว่าหลอกให้มาดูหนังเกย์ คำว่า"หนังเกย์" ตอนนั้นถูกใช้คู่กับรักแห่งสยามจนชินไปเลย ทั้งที่ความจริงมันคือหนังรักแท้ๆ) สิ่งที่เราอยากบอกคือถ้าคุณไม่ได้โฟกัสว่าจะมาเสพความฟินจากโมเม้นของคู่ชายชายอย่างเดียวและเปิดใจให้กับหนังรักที่ไม่จำกัดอยู่แค่รูปร่างและเพศสภาพจริงๆ หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดูและถูกกล่าวถึงมากทั้งในแง่ของการถ่ายทำ การแสดง และการสื่อความหมายกับผู้ชม
หลิว ที่จริงๆแล้วคือดิวกลับชาติมาเกิดในร่างเด็กสาวชั้นมอสี่ ตอนแรกก็ไม่มีความทรงจำเก่าในสมัยยังเป็นดิวอยู่เลย แต่พอได้เจอกับภพที่กลับมาสอนก็เริ่มระลึกชาติขึ้นมาได้ทีละนิดจนในที่สุดก็นึกออกจนหมด. ตรงนี้จะเห็นว่าหนังบอกว่าการกลับชาติมาเกิดมีจริง แต่อาจไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดิม ในที่นี้คือกลับมาเกิดแต่เป็นอีกเพศ อีกรูปร่างหน้าตานึง คำถามเกิดตรงที่ว่าเราจะรักได้ไหม ถ้าคนที่รักไม่อยู่ในสภาพเดิม ซึ่ง...หนังเองก็เหมือนจะตอบแล้วว่ารับได้ เพราะภพก็ยังคงโอบกอดดิวในร่างหลิวด้วยความคิดถึงและความรักแต่...มันจะใช่แค่นั้นหรอ?
ถ้าหากใครพออ่านสปอยมาบ้างจะรู้ว่าเรื่องนี้ดัดแปลงจากภาพยนตร์เกาหลีชื่อ bungee jumping of their own ขอสรุปย่อๆคือเรื่องราวคล้ายกันต่างตรงที่ตอนเด็กพระเอกกับนางเอกรักกัน พอโตมานางเอกกลับชาติมาเกิดในร่างเด็กผู้ชาย (สลับตำแหน่งกันกับเรื่องดิวไปด้วยกันนะนี้) ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะในตอนจบที่ทั้งสองคน(พระเอกกับนางเอกในร่างเด็กผู้ชาย) ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการโดดลงจากบันจี้จั้มพ์นั้น เพราะต้องการให้หลุดจากกรอบของสังคมที่กีดกันพวกเขาและหวังว่าจะได้เกิดใหม่ในร่างที่เขาสามารถรักกันได้(พูดง่ายๆคือกลับไปเป็นชายหญิงตามเดิม)
แต่พอมาเป็นเรื่องดิวฯ...ล่ะ ความยากเกิดขึ้น เพราะคำถามมีอยู่ว่าทำไมจะต้องตัดสินใจโดดลงไปเพื่อให้กระบวนการของการกลับชาติมาเกิดทำงานอีกครั้งด้วย ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองคนก็อยู่ในเพศที่สามารถรักกันได้โดยไม่ถูกกีดกันแล้ว?? บางคนก็อาจจะตอบว่าเพราะเขาไม่ได้ถูกกีดกันด้วยเรื่องของเพศอีกต่อไปแล้วแต่ถูกกีดกันด้วยศีลธรรมของครู-ศิษย์ ไม่ก็ถูกกีดกันด้วยความต่างของช่วงอายุ(เพราะภพน่าจะตายก่อน) ทั้งสองคนที่อยากอยู่ด้วยกันแบบตอนเป็นเด็กจึงตัดสินใจจบชีวิตที่ไม่พอดีของพวกเขาลงเพียงเท่านี้..... ก็เป็นคำตอบที่ฟังขึ้น แต่ก็เป็นการบอกกลายๆว่าทั้งสองคนอาจจะอยากรักกันในเพศสภาพที่ทั้งสองคนพึงพอใจต่อกันในครั้งแรกด้วยนะ (หมายความว่า ต่อให้ภพจะยอมรับดิวในร่างหลิวนี้ได้ แต่มันก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนต้องการมากที่สุด สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆอาจเป็นแค่ การได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขารักกันและได้ใช้ชีวิตกันอย่างไม่ต้องหลบซ่อนใดๆ แต่มันทำไม่ได้ด้วยการย้อนเวลา จึงได้แต่หวังพึ่งการกลับชาติมาเกิดแทน และไม่แน่ว่าถ้ามีภาคต่อ(สมมติเฉยๆไม่มีหรอก) ครั้งนี้ดิวและภพอาจเกิดเป็นผู้ชายอีกครั้งและอยุ่ในสังคมได้ก็เป็นได้ (เพราะนี่ก็2019แล้ว กว่าจะโตมารักกันอีกก็2035 โดยประมาณ สังคมน่าจะเปิดรับยิ่งกว่านี้)
ที่อยากจะพูดให้เห็นในสองย่อหน้าเมื่อครู่ ก็เพราะมีบางคนโจมตีว่าหนังเรื่องนี้หลอกลวงใช้ความเป็น lgbtq มาหลอกขาย สร้างกระแส แต่กลับไม่สนับสนุนให้ lgbtq ได้รับการยอมรับ หนังทำให้สื่อออกมาว่าสุดท้ายสังคมก็ไม่ยอมรับlgbtq ยังไงความรักที่ดีก็ต้องเป็นผู้หญิงกับผู้ชายถึงต้องทำให้ดิวมาเกิดในร่างผู้หญิง........ ก็ อย่างที่อธิบายไปแล้ว หากหนังจะสื่ออกมาว่าสังคม 2019 ไม่ยอมรับ lgbtq จริงๆ คนเขียนบทคงให้ดิวกลับมาในร่างผู้ชาย แล้วให้จบแบบไม่ได้รักกันไม่ง่ายกว่าเหรอ แต่ที่ทั้งคู่อยู่ในเพศสภาพที่ถูกต้องแล้ว(ตามความคิดสังคมยุคก่อน) ยังต้องไปเลือกเกิดใหม่ เราเชื่อว่าเป็นเพราะทั้งสองคนอยากจะกลับไปรักกันในเพศสภาพที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ (ซึ่งเป็นตัวตนแรกของพวกเขา) มากกว่า ซึ่งนั่นก็ยอมรับกลายๆว่าความรักของชายชายในยุคนี้ไม่ได้เป็นปัญหามากเหมือนสมัยก่อนแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ บางคนอาจจะโฟกัสว่าเรื่องนี้คนเขียนคงไม่ตั้งใจให้เรามายึดติดกับเรื่องเพศหรอกมั้ง ภพกับดิวอาจจะรักกันด้วยเพศสภาพไหนก็ได้เขาแค่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อันนี้เราก็เห็นด้วยว่าเป็นไปได้ เพียงแต่เราแค่คิดของเราเอง (จะเรียกว่าจิ้นหรือมโนไปเองก็ได้) ว่าเขาสองคนตัดสินใจแบบนั้นเพราะจะกลับไปรักกันในแบบที่เขาเคยรักกัน
อย่างไรก็ตามเรื่องที่มีคนโจมตีว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนับสนุน lgbtq เราคงไม่เห็นด้วย เพระเราดูแล้ว เราไม่ได้ตีความหนังไปในแบบนั้น
แต่...เราแค่อยากแนะนำว่า พล็อตเรื่องนี้สำหรับเรามันยังไปไม่สุด อาจจะเพราะคนเขียนตั้งใจให้ไปโฟกัสที่รักไม่จำกัดรูปแบบและรักแท้ที่จะกลับมาเจอกัน แต่..กลับทิ้งประเด็นเกี่ยวกับ lgbtq ที่สามารถเล่าได้มากกว่านี้ไป มันไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนับสนุนlgbtq แต่ทุกคนมีความคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสะท้อนอะไรกับสังคมในการปฏิบัติตัวกับlgbtqมากกว่านี้ เพราะผู้กำกับเป็นคนที่ทำหนัง lgbtq ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึง แต่มันกลับสะท้อนออกมาน้อยไปกว่าที่คิดไปหน่อย ผู้ชมอาจจะหวังว่าจะได้เห็นความรักที่สวยงามและจบลงอย่างแฮปปี้ของ lgbtq ในหนังเรื่องนี้ เพื่อยืนยันว่าหนังที่จะประสบความสำเร็จเรื่องนี้เป็นแรงสนับสนุนกลุ่ม lgbtq ในสังคมอีกแรง. เรื่องนี้เราเห็นด้วยมากว่าหนังน่าจะทำหน้าที่ตรงนี่ได้ดีกว่านี้ แต่...ก็ไม่อยากจะถึงขั้นไปโยนว่าผู้กำกับคนนี้มีหน้าที่ต้องผลิตหนังส่งเสริมlgbtq นะมันก็จะเกินไปหน่อย..
สุดท้ายยยเราขอฝากให้ทุกคนที่ได้ดูมาแสดงความเห็นกัน มีอีกหลายเรื่องที่เราอาจมองข้ามไป อยากให้มาแชร์มากๆ โต้แย้งความคิดเราอย่างสุภาพได้เต็มที่เลย และขอฝากถึงทีมงานทุกคน...ขอบคุณสำหรับหนังดีๆอีกหนึ่งเรื่องในปีนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง อยากให้รู้ว่าผลงานชิ้นนี้จะมีหลายคนที่จะจดจำไว้แน่นอน
ความคิดเห็นต่อภาพยนตร์เรื่อง ดิวไปด้วยกันนะ ของคุณเป็นอย่างไร? (มีสปอยล์เนื้อหาจ้า)
ความสัมพันธ์ของดิวกับภพ
ดิวเป็นตัวละครที่ถูกใส่ลักษณะของความเป็นเกย์มากกว่าภพ สังเกตได้จากนิสัยที่ดูน่ารักสดใสการใส่ชุดหลีด(ที่มักพ่วงมากับภาพความคิดที่ว่าลีดชายมักจะเป็นเพศที่สาม) ลักษณะคำพูดที่ค่อนข้างไปทางสุภาพเรียบร้อย(ใช้เรากับนายเรียกแทนตัวเองกับภพด้วยชื่อเล่น) และการแสดงออกต่อภพที่ดูเหมือนว่าสนใจให้ความสำคัญกับภพมาก...จนอาจจะเกินเพื่อนผู้ชายไปหน่อย (จริงๆเรื่องนี้ก็นานาจิตตังนะบางคนก็อาจจะบอกว่าดิวก็ดูสนิทกับภพเหมือนเพื่อนผู้ชายทั่วไปแต่เราแค่เห็นว่าดิวดูสนใจภพมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรก)
ภพ เป็นตัวละครที่เหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วๆไปเลยแทบจะดูจากภายนอกไม่ออกเลยว่าเป็นเกย์แต่...จากการกระทำที่เป็นห่วงดิว คอยมองหา มีความรู้สึกดีๆต่อดิวมากจนในที่สุดก็จูบดิว...และอาจมากกว่านั้น แม้หลายคนอาจมองว่าภพนั้นแค่เผลออารมณ์ไปเลยจูบดิว (...ถามจริง?) จริงๆแล้วภพเป็นชายแท้เพราะตอนหลังมาแต่งงานกับผู้หญิง(...อ๋อจ้ะ) แต่จขกทกลับเห็นว่าจริงๆแล้วภพเองก็สนใจดิวมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน(จะเห็นว่าฉากที่เรียกคนเบี่ยงเบนออกไปหน้าเสาธงไม่ได้มีแต่ดิวที่ระแวง ภพเองก็เหมือนกัน) เพียงแต่ลักษณะนิสัยที่แสดงออกของทั้งสองคนต่างกันเฉยๆ แต่จริงๆแล้วจขกทคิดว่าทั้งสองคนชอบพอกันตั้งแต่แรกๆ แต่เปิดเผยไม่ได้เพราะสังคมในตอนนั้นไม่เปิดรับมากๆ (นี่อาจเป็นที่มาว่าทำไมพาร์ทเด็กของดิวและภพดูดำเนินไปไว เพราะสองคนชอบกันแต่แรกๆเลยไม่จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์แบบเรื่องอื่นๆที่มักจะต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่อิมแพคกับความรู้สึกมากๆจนทำให้ตัวละครเปลี่ยนมาชอบผู้ชายด้วยกันได้)
อีกช็อตที่พูดถึงความสัมพันธ์ของสองคนก็คือตอนนั่งทายภาพ ผลงานของมะเดี่ยวเอกลักษณ์คือการใช้สัญลักษณ์อะไรบางอย่างในการสื่อสารความหมายกับคนดูและตรงนี้ก็ใช้ภาพสามมิติมาเพื่อให้คนดูวิเคราะห์ตาม และหากดูจนถึงท้ายเรื่อง ก็จะเฉลยออกมาว่าจริงๆภพรู้แต่แรกว่าภาพนั้นสื่อถึงความรู้สึกของดิว แปลว่าภพรู้แต่แรกว่าดิวคิดกับเขามากกว่าเพื่อน แม้ว่าภพจะไม่กล้ายอมรับตรงๆว่าตนรู้ว่าภาพนั้นคืออะไรแต่การที่ยังคบกับดิวเรื่อยมาจนเปิดเผยความรู้สึกในตู้โทรศัพท์ ก็ยืนยันแล้วว่าภพเองก็ชอบดิวตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน
จากทั้งหมดที่พูดมานั้นจขกทคิดว่าทุกคนคงคิดเหมือนกัน คือ ทั้งสองคนรักกันแน่นอน ไม่ใช่เผลอไผล แต่รักกันจริงๆ รักแบบเสน่หา แบบมากกว่าเพื่อนรักแบบแฟน แบบคนรัก แต่ด้วยความที่สมัยนันคือยุค90 Lgbtq คืออะไร ยังไม่มี แม้แต่คำว่าเกย์ก็ยังไม่คุ้น มีแต่ ตุ๊ด กะเทย ถั่วดำ อะไรทำนองนั้น ความเหยียดเต็มรูปแบบชนิดที่ถ้าทำในปัจจุบันก็เตรียมตัวถูกโพสลงทุกเพจโซเชียลและอาจถูกฟ้องร้องได้ง่ายๆ แต่สมัยนั้นการเหยียดคือความปกติ คนไม่ร่วมเหยียดด้วยบางทีก็อาจโดนเหมารวมไปด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนจึงหาทางให้ตัวเองเป็นคนปกติรวมถึงภพด้วย ด้วยความเป็นครอบครัวคนจีนโดนกดดันจากสังคมชายเป็นใหญ่ก็คือพ่อ ทำให้ภพทนแรงกดดันเรื่องเพศที่สามได้น้อยกว่า พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะเบี่ยงเบนจึงรีบทิ้งห่างความสัมพันธ์กับดิว แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็เหมือนจะยอมรับกับตัวเองได้จนเป็นเหตุให้ต้องละทิ้งครอบครัวมา (เห็นได้ชัดว่าการตัดพ่อตัดลูกในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ละคร หากลูกเบี่ยงเบนจริงๆมันร้ายแรงถึงขนาดนั้นนะ) ในขณะที่ดิวนั้นมีครอบครัวที่มีแต่แม่ อาจจะเห็นอกเห็นใจมากกว่า(แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...แม่ดิวก็ยังรับไม่ค่อยได้เพราะสังคมสมัยนั้นยอมรับเรื่องนี้น้อยกว่านี้มากจริงๆ) เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าครอบครัวส่งผลต่อการเติบโตและอนาคตของเด็กมากๆโดยเฉพาะวัยอย่างดิวและภพที่ต้องเจอกับการตัดสินใจในการยอมรับตัวตนของตัวเอง และเมื่อครอบครัวที่สำคัญมากๆยังทอดทิ้งกันได้เพียงเพราะเรื่องรสนิยมทางเพศมันก็น่าจะทำให้เห็นแล้วว่าชาว lgbtq ในยุคนั้นจะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูสักเท่าไร
ความสัมพันธ์ของภพกับหลิว
ขอเกริ่นก่อน...
ตรงส่วนนี้คือเรื่องที่ว่าด้วยการกลับชาติมาเกิด... เราอ่านคอมเม้นคนที่ไปดูมาแล้วมีบางความเห็นบอกว่าไม่อินกับพล็อตแบบนี้ เพราะมันเข้าไม่ถึง มันไม่อินกับความรักที่เป็นรักแท้จ๋าๆ คู่กันแล้วต้องกลับมาเจอกัน ถูกชะตาฟ้าลิขิตไว้ บลาๆๆ ซึ่งเราก็เข้าใจ ความเชื่อพวกรักแรกพบ รักแท้ คู่กรรมแต่ชาติปางก่อน หรือเรื่องพรหมลิขิตอะไรพวกนี้ เป็นความคิดที่ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วย จะมีคนไม่อินก็ไม่แปลก แต่ก็มีบางคนที่แค่ไม่ชอบพล็อตเรื่องนี้เพราะเขารู้สึกถูกหลอกว่า ตัวอย่างเหมือนเป็นหนังของ lgbtq แต่พอมาดูจริงๆตอนกลางถึงท้ายกลับเป็นชายหญิงซะงั้น (พูดเรื่องนี้แล้วก็ขำ นึกถึงตอนรักแห่งสยามออกมาใหม่ๆโดนถล่มว่าทีเซอร์เป็นหนังวัยรุ่นใสๆ ชายหญิงน่ารัก แต่พอออกจากโรงคนด่าว่าหลอกให้มาดูหนังเกย์ คำว่า"หนังเกย์" ตอนนั้นถูกใช้คู่กับรักแห่งสยามจนชินไปเลย ทั้งที่ความจริงมันคือหนังรักแท้ๆ) สิ่งที่เราอยากบอกคือถ้าคุณไม่ได้โฟกัสว่าจะมาเสพความฟินจากโมเม้นของคู่ชายชายอย่างเดียวและเปิดใจให้กับหนังรักที่ไม่จำกัดอยู่แค่รูปร่างและเพศสภาพจริงๆ หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดูและถูกกล่าวถึงมากทั้งในแง่ของการถ่ายทำ การแสดง และการสื่อความหมายกับผู้ชม
หลิว ที่จริงๆแล้วคือดิวกลับชาติมาเกิดในร่างเด็กสาวชั้นมอสี่ ตอนแรกก็ไม่มีความทรงจำเก่าในสมัยยังเป็นดิวอยู่เลย แต่พอได้เจอกับภพที่กลับมาสอนก็เริ่มระลึกชาติขึ้นมาได้ทีละนิดจนในที่สุดก็นึกออกจนหมด. ตรงนี้จะเห็นว่าหนังบอกว่าการกลับชาติมาเกิดมีจริง แต่อาจไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดิม ในที่นี้คือกลับมาเกิดแต่เป็นอีกเพศ อีกรูปร่างหน้าตานึง คำถามเกิดตรงที่ว่าเราจะรักได้ไหม ถ้าคนที่รักไม่อยู่ในสภาพเดิม ซึ่ง...หนังเองก็เหมือนจะตอบแล้วว่ารับได้ เพราะภพก็ยังคงโอบกอดดิวในร่างหลิวด้วยความคิดถึงและความรักแต่...มันจะใช่แค่นั้นหรอ?
ถ้าหากใครพออ่านสปอยมาบ้างจะรู้ว่าเรื่องนี้ดัดแปลงจากภาพยนตร์เกาหลีชื่อ bungee jumping of their own ขอสรุปย่อๆคือเรื่องราวคล้ายกันต่างตรงที่ตอนเด็กพระเอกกับนางเอกรักกัน พอโตมานางเอกกลับชาติมาเกิดในร่างเด็กผู้ชาย (สลับตำแหน่งกันกับเรื่องดิวไปด้วยกันนะนี้) ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะในตอนจบที่ทั้งสองคน(พระเอกกับนางเอกในร่างเด็กผู้ชาย) ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการโดดลงจากบันจี้จั้มพ์นั้น เพราะต้องการให้หลุดจากกรอบของสังคมที่กีดกันพวกเขาและหวังว่าจะได้เกิดใหม่ในร่างที่เขาสามารถรักกันได้(พูดง่ายๆคือกลับไปเป็นชายหญิงตามเดิม)
แต่พอมาเป็นเรื่องดิวฯ...ล่ะ ความยากเกิดขึ้น เพราะคำถามมีอยู่ว่าทำไมจะต้องตัดสินใจโดดลงไปเพื่อให้กระบวนการของการกลับชาติมาเกิดทำงานอีกครั้งด้วย ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองคนก็อยู่ในเพศที่สามารถรักกันได้โดยไม่ถูกกีดกันแล้ว?? บางคนก็อาจจะตอบว่าเพราะเขาไม่ได้ถูกกีดกันด้วยเรื่องของเพศอีกต่อไปแล้วแต่ถูกกีดกันด้วยศีลธรรมของครู-ศิษย์ ไม่ก็ถูกกีดกันด้วยความต่างของช่วงอายุ(เพราะภพน่าจะตายก่อน) ทั้งสองคนที่อยากอยู่ด้วยกันแบบตอนเป็นเด็กจึงตัดสินใจจบชีวิตที่ไม่พอดีของพวกเขาลงเพียงเท่านี้..... ก็เป็นคำตอบที่ฟังขึ้น แต่ก็เป็นการบอกกลายๆว่าทั้งสองคนอาจจะอยากรักกันในเพศสภาพที่ทั้งสองคนพึงพอใจต่อกันในครั้งแรกด้วยนะ (หมายความว่า ต่อให้ภพจะยอมรับดิวในร่างหลิวนี้ได้ แต่มันก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนต้องการมากที่สุด สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆอาจเป็นแค่ การได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขารักกันและได้ใช้ชีวิตกันอย่างไม่ต้องหลบซ่อนใดๆ แต่มันทำไม่ได้ด้วยการย้อนเวลา จึงได้แต่หวังพึ่งการกลับชาติมาเกิดแทน และไม่แน่ว่าถ้ามีภาคต่อ(สมมติเฉยๆไม่มีหรอก) ครั้งนี้ดิวและภพอาจเกิดเป็นผู้ชายอีกครั้งและอยุ่ในสังคมได้ก็เป็นได้ (เพราะนี่ก็2019แล้ว กว่าจะโตมารักกันอีกก็2035 โดยประมาณ สังคมน่าจะเปิดรับยิ่งกว่านี้)
ที่อยากจะพูดให้เห็นในสองย่อหน้าเมื่อครู่ ก็เพราะมีบางคนโจมตีว่าหนังเรื่องนี้หลอกลวงใช้ความเป็น lgbtq มาหลอกขาย สร้างกระแส แต่กลับไม่สนับสนุนให้ lgbtq ได้รับการยอมรับ หนังทำให้สื่อออกมาว่าสุดท้ายสังคมก็ไม่ยอมรับlgbtq ยังไงความรักที่ดีก็ต้องเป็นผู้หญิงกับผู้ชายถึงต้องทำให้ดิวมาเกิดในร่างผู้หญิง........ ก็ อย่างที่อธิบายไปแล้ว หากหนังจะสื่ออกมาว่าสังคม 2019 ไม่ยอมรับ lgbtq จริงๆ คนเขียนบทคงให้ดิวกลับมาในร่างผู้ชาย แล้วให้จบแบบไม่ได้รักกันไม่ง่ายกว่าเหรอ แต่ที่ทั้งคู่อยู่ในเพศสภาพที่ถูกต้องแล้ว(ตามความคิดสังคมยุคก่อน) ยังต้องไปเลือกเกิดใหม่ เราเชื่อว่าเป็นเพราะทั้งสองคนอยากจะกลับไปรักกันในเพศสภาพที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ (ซึ่งเป็นตัวตนแรกของพวกเขา) มากกว่า ซึ่งนั่นก็ยอมรับกลายๆว่าความรักของชายชายในยุคนี้ไม่ได้เป็นปัญหามากเหมือนสมัยก่อนแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ บางคนอาจจะโฟกัสว่าเรื่องนี้คนเขียนคงไม่ตั้งใจให้เรามายึดติดกับเรื่องเพศหรอกมั้ง ภพกับดิวอาจจะรักกันด้วยเพศสภาพไหนก็ได้เขาแค่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อันนี้เราก็เห็นด้วยว่าเป็นไปได้ เพียงแต่เราแค่คิดของเราเอง (จะเรียกว่าจิ้นหรือมโนไปเองก็ได้) ว่าเขาสองคนตัดสินใจแบบนั้นเพราะจะกลับไปรักกันในแบบที่เขาเคยรักกัน
อย่างไรก็ตามเรื่องที่มีคนโจมตีว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนับสนุน lgbtq เราคงไม่เห็นด้วย เพระเราดูแล้ว เราไม่ได้ตีความหนังไปในแบบนั้น
แต่...เราแค่อยากแนะนำว่า พล็อตเรื่องนี้สำหรับเรามันยังไปไม่สุด อาจจะเพราะคนเขียนตั้งใจให้ไปโฟกัสที่รักไม่จำกัดรูปแบบและรักแท้ที่จะกลับมาเจอกัน แต่..กลับทิ้งประเด็นเกี่ยวกับ lgbtq ที่สามารถเล่าได้มากกว่านี้ไป มันไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนับสนุนlgbtq แต่ทุกคนมีความคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสะท้อนอะไรกับสังคมในการปฏิบัติตัวกับlgbtqมากกว่านี้ เพราะผู้กำกับเป็นคนที่ทำหนัง lgbtq ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึง แต่มันกลับสะท้อนออกมาน้อยไปกว่าที่คิดไปหน่อย ผู้ชมอาจจะหวังว่าจะได้เห็นความรักที่สวยงามและจบลงอย่างแฮปปี้ของ lgbtq ในหนังเรื่องนี้ เพื่อยืนยันว่าหนังที่จะประสบความสำเร็จเรื่องนี้เป็นแรงสนับสนุนกลุ่ม lgbtq ในสังคมอีกแรง. เรื่องนี้เราเห็นด้วยมากว่าหนังน่าจะทำหน้าที่ตรงนี่ได้ดีกว่านี้ แต่...ก็ไม่อยากจะถึงขั้นไปโยนว่าผู้กำกับคนนี้มีหน้าที่ต้องผลิตหนังส่งเสริมlgbtq นะมันก็จะเกินไปหน่อย..
สุดท้ายยยเราขอฝากให้ทุกคนที่ได้ดูมาแสดงความเห็นกัน มีอีกหลายเรื่องที่เราอาจมองข้ามไป อยากให้มาแชร์มากๆ โต้แย้งความคิดเราอย่างสุภาพได้เต็มที่เลย และขอฝากถึงทีมงานทุกคน...ขอบคุณสำหรับหนังดีๆอีกหนึ่งเรื่องในปีนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง อยากให้รู้ว่าผลงานชิ้นนี้จะมีหลายคนที่จะจดจำไว้แน่นอน