JUDY (2019) งดงาม ขมขื่น ทรงพลัง 9/10
นี่คงไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่ใครเป็นคอหนังชีวประวัติ หรือหนัง based on true story บอกเลยว่าไม่อยากให้พลาดค่ะ
JUDY เป็นหนังที่ตัดตอนมาจากช่วงหนึ่งในชีวิตของ Judy Garland นักแสดงสาวชาวอเมริกันเจ้าของบทบาท โดโรธี ใน The Wizard of Oz (1939) และเจ้าของเสียงเวอร์ชั่นแรกของเพลง Over the rainbow โดยหนังดัดแปลงมาจากละครเวทีเรื่อง End of the Rainbow อีกทีหนึ่ง
เนื้อหาหนังเล่าถึงช่วงปั้นปลายชีวิตในวัย 46 ปีที่กำลังตกต่ำของ Judy ด้วยปัญหาสภาพจิตใจ การฟ้องร้องสิทธิเลี้ยงดูลูก ไร้เงินไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง เธอจึงคว้าโอกาสบินมาเปิดมาการแสดงที่ลอนดอนเพื่อหวังจะกู้คืนชีวิตที่เหลวแหลกให้กลับมาดีอีกครั้ง แต่ระหว่างทัวร์ครั้งนี้เธอก็ต้องต่อสู้กับสภาพจิตใจที่เลวร้ายแทบจะตลอดเวลา จนคนดูอย่างเราๆ ต้องนั่งลุ้นตัวโก่งว่าเธอจะไปรอดไหม ขณะเดียวกันหนังก็เล่าตัดสลับกับชีวิตของจูดี้ในวัยเด็ก ว่าเธอโดนวงการมายาเล่นงานจนกลายมาเป็นอย่างปัจจุบันได้อย่างไร
ความรู้สึกส่วนตัวหนังดู เราจัดให้มันเป็นน้องๆ Joker เลยนะ ในเรื่องการทิ่มแทงสภาพจิตใจคนดู 555 ทำให้ดิ่ง ให้ดาวน์ได้เหมือนกัน ถ้า Joker คือชายที่ถูกความพังพินาศของสังคมย่ำยีจนระเบิดกลายเป็นบ้า จูดี้ก็คือหญิงที่ถูกวงการมายาปั่นหัวจนแทบจะระเบิดเป็นบ้าเหมือนกัน สภาพที่ตัดตอนมาในหนังนี่คือร่อแร่จนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คืออดีตดาวรุ่งของฮอลลีวู้ด มันสิ้นหวัง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะพัง แต่โชคดีที่บางทีก็มีช่องว่างให้ความสุขความหวังแทรกเข้ามา
ความจริงที่ตบหน้าเราแรงๆ หลังฉากสุดท้ายในหนังจบคือ จูดี้ตัวจริงเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยการใช้ยาเกินขนาด.. มันไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นยารักษาอาการนอนไม่หลับและวิตกกังวล ( หนังไปไม่ถึงฉากนี้ แต่อยากให้ทุกคนรู้ก่อน เพราะจะให้ดูแล้วอินมาก )
Renée Zellweger แสดงได้ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง และการถ่ายทอดตัวตนที่สับสนวุ่นวายของจูดี้ หนังสนุก ดูไม่ยาก ไม่ยืดเยื้อ มีเพลงเพราะๆ มาให้ฟังแทรกตลอด มันให้ความรู้สึกทั้งอลังกาล เว่อวัง งดงาม แต่ก็เศร้าและขมขื่นในเวลาเดียวกัน (ฟังดูแล้วเหมือนเป็นไบโพล่าอ่ะ งงไหม 555) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน ถ้าคนที่ไม่ใช่คอหนังดราม่าไปดูไม่แน่ใจว่าจะเบื่อไหม
สุดท้ายนี้ที่อยากฝากไว้ The must ที่ไม่อยากให้พลาดสำหรับใครที่จะไปชม คือ อยากให้อ่านประวัติชีวิตจริงของจูดี้ การ์แลนด์ไปซะก่อน มันจะทำให้สนุกและอินกับเนื้อมาก ว่าเธอผ่านความพังพินาศอะไรมาแล้วบ้างจนกว่าจะถึงจุดนี้ ดีกว่าไปดูแล้วนั่งปะติดปะต่อความสัมพันธ์ของตัวละครเองหน้างาน
โดยเราได้ลองสรุป 7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไปดูเอาไว้ รู้สึกว่าโชคดีมากที่ตัวเองทำการบ้านไปก่อน โดยเฉพาะข้อ 2 3 5 6 นี่ ทำให้เข้าใจเรื่องราวและตัวละครอื่นๆ ที่โผล่เข้ามาในหนังได้มากเลยล่ะค่ะ ใครสนใจก็เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย ^^
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีโลกบนสายรุ้ง สำหรับ Judy Garland : 7 เรื่องน่ารู้ก่อนดู Judy
1. ครอบครัวแตกแยก : จูดี้เป็นลูกคนที่สาม (และเกือบจะไม่ได้เกิดมาเพราะตอนแรกแม่ตั้งใจจะทำแท้ง) เธอถูกแม่ผลักดันอย่างหนักให้เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุราวๆ 2 ขวบ เพราะเล็งเห็นพรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอ ซึ่งจูดี้ไม่เคยชอบแม่ตัวเองที่คอยบงการและกดดันให้เธอทำงานในวงการเลย ส่วนพ่อของเธอเป็นเกย์ ทำให้ครอบครัวเปลี่ยนที่อยู่หลายครั้งเพราะพ่อไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น (ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย) จนกระทั่งพ่อเสียตอนเธออายุได้ 13 ปี ปัญหาเหล่านี้ทำให้พ่อกับแม่ของเธอทะเลาะกันบ่อยครั้ง และทำให้เธอมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่สวยงามนัก
จูดี้ (คนล่างสุด) และเหล่าพี่สาวที่ถูกผลักดันให้เข้าวงการบันเทิงทั้งหมดโดยคุณแม่
2. เข้าสู่วงการ โดนสตาฟให้เป็นดาราเด็กและ sexual harassment จากคนในวงการ : ช่วงอายุ 13 ปี เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายยักษ์อย่าง MGM และเริ่มสร้างผลงาน จู้ดี้ถูกค่ายทำให้มีภาพลักษณ์เป็นดาราเด็กให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ปล่อยให้รูปร่างของเธอโตตามอายุ ทั้งคุมอาหารอย่างเข้มงวด ถูกสั่งให้ใช้ที่รัดหน้าอก ใช้ยา โดยที่แม่และผู้จัดการไม่มีใครคัดค้าน อย่างลุคเด็กน้อยใน The Wizard of Oz นั้นเธออายุ 17 แล้ว นอกจากนั้นระหว่างถ่ายทำเธอยังเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยนักแสดงร่วมและผู้บริหารค่าย MGM อีกด้วย
3. ค่ายหนังทำให้เธอใช้ยา : เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จูดี้ถูกหมอประจำค่ายหนังสั่งยาให้กินเพื่อแก้อาการเหนื่อยล้า หนึ่งในยานั้นคือแอมเฟตามีน มีข่าวว่าช่วงถ่ายทำ The Wizard of Oz จูดี้ถูกจำกัดอาหารอย่างหนักโดยให้กินกาแฟดำเป็นหลัก สูบบุหรี่วันละ 80 มวน กินยากระตุ้นและยาต้านเศร้าจำนวนมาก เพื่อให้ถ่ายทำหนังจนจบและออกโปรโมตหนังต่อได้ จนเป็นเหตุให้เธอเริ่มติดการใช้ยา
จูดี้ในบท โดโรธี จาก The Wizard Of Oz
4.แต่งงานครั้งแรกและทำแท้ง : จูดี้แต่งงานครั้งแรกตอนอายุ 19 กับชายชื่อ David Rose ภายหลังแต่งงานได้ไม่นานเธอก็ท้อง แต่ถูกกดดันจากสามี คนรอบตัวและค่ายหนังให้ไปทำแท้ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ดาราวัยรุ่นที่แสนดี ซึ่งจูดี้ก็ทำตาม ก่อนจะหย่ากับสามีคนแรกในเวลาต่อมา
5.แต่งงานครั้งที่สองกับมรสุมชีวิตที่หนักขึ้น : หลังการหย่าจากสามีคนแรก จูดี้มีข่าวคบชู้กับคนในวงการหลายคน จนกระทั่งเธอได้พบและแต่งงานกับสามีคนที่สองชื่อ Vincente Minnelli ซึ่งเป็นผู้กำกับ ทั้งคู่มีลูกกัน 1 คน เมื่อเธออายุ 24 ปี แต่จากนั้นเธอก็มีข่าวการคบชู้อีกครั้งพร้อมกับมีข่าวว่าสามีของเธอเป็นเกย์ บางแหล่งข่าวบอกว่าจูดี้เคยเจอสามีเธออยู่บนเตียงกับผู้ชายอื่น ในช่วงนี้ของชีวิต จูดี้ประสบปัญหาทางจิต ใช้ยาอย่างหนัก เห็นภาพหลอน พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ทำงานบันเทิงต่อไม่ได้ สุดท้ายเธอหย่ากับสามีคนที่ 2 ถูกไล่ออกจากค่าย MGM และส่งเข้าสถานบำบัด เมื่ออายุ 28 ปี
6.สามีคนที่สามติดเหล้าติดพนัน : จูดี้แต่งงานกับสามีคนที่สามชื่อ Sidney Luft ตอนเธออายุได้ 30 ปี และมีลูกด้วยกันชื่อ Lorna Luf ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ยังคงระหองระแหง มีข่าวว่าเธอไม่ยอมให้แม่แม้แต่ได้เห็นหน้าหลาน จนแม่ของเธอเสียชีวิตลงหลังจากนั้นไม่นาน ทิ้งให้จูดี้อยู่กับความรู้สึกผิดเรื่องแม่ ช่วงนี้ชีวิตในวงการบังเทิงของจูดี้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งด้วยหนังที่เธอแสดงประสบความสำเร็จ เธอให้กำเนิดลูกคนที่สองชื่อ Joey Luft แต่ความสัมพันของเธอกับสามีกลับแย่ลงเพราะเขาติดเหล้าและนำเงินที่เธอได้จากการเล่นหนังไปใช้เล่นการพนันอย่างหนักและเป็นหนี้ จนเธอหย่ากับเขาในที่สุด (แม้กระทั่งหลังจูดี้ตายแล้ว สามีคนนี้ยังตุ๊กตาออสการ์ของเธอไปขายเพื่อหาเงินอยู่เลย)
Judy และ Sidney Luft >>>> สามีคนนี้และลูกๆ ของทั้งสอง มีบทบาทในภาพยนตร์ JUDY พอสมควร
7.สามีคนที่สี่ที่เป็นเกย์ (อีกแล้ว) : ตอนอายุ 43 ปี จูดี้แต่งงานครั้งที่ 4 กับชายชื่อ Mark Herron แต่ก็อยู่กันเพียง 5 เดือนก่อนจะหย่าร้างกัน เนื่องจากฝ่ายชายเป็นเกย์ มีข่าวว่าสามีของจูดี้มีสัมพันธกับสามีของลูกสาวเธอด้วย (ห่ะ!!) ทามไลน์เรื่องสามีคนที่ 4 ของเธอจบลงเมื่อปี 1966 ส่วนภาพยนตร์ JUDY จะเป็นเรื่องชีวิตของเธอในช่วงปี 1968 ช่วงรอยต่อระหว่างชีวิตที่ย่ำแย่ในอเมริกาจนย้ายมาทำงานบันเทิงในลอนดอน.. ใครอยากรู้จะเป็นอย่างไรลองไปติดตามกันในโรงภาพยนตร์นะคะ
ที่มา: สรุปและแปลจาก
https://www.imdb.com/name/nm0000023/bio?ref_=nm_ov_bio_sm
สุดท้ายบอกอีกครั้งว่าหนังอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องความเป็นไปชีวิต ที่มันทั้งสุขทั้งเศร้าเคล้ากันไป นี่ก็เป็นหนังที่ให้รสแบบ Bitter-Sweet ได้อย่างกลมกล่อมเรื่องเยี่ยมเรื่องนึงเลยล่ะค่ะ
ฝากติดตามผลงานของพวกเราต่อได้ในเพจอยากดูหนังนะคะ ^^ (
https://www.facebook.com/Yarkdoonung-x-Yarklengame-381188652669134/)
[SR] JUDY (2019) งดงาม ขมขื่น ทรงพลัง [9/10] + 7 เรื่องควรรู้ก่อนดู Judy
JUDY เป็นหนังที่ตัดตอนมาจากช่วงหนึ่งในชีวิตของ Judy Garland นักแสดงสาวชาวอเมริกันเจ้าของบทบาท โดโรธี ใน The Wizard of Oz (1939) และเจ้าของเสียงเวอร์ชั่นแรกของเพลง Over the rainbow โดยหนังดัดแปลงมาจากละครเวทีเรื่อง End of the Rainbow อีกทีหนึ่ง
เนื้อหาหนังเล่าถึงช่วงปั้นปลายชีวิตในวัย 46 ปีที่กำลังตกต่ำของ Judy ด้วยปัญหาสภาพจิตใจ การฟ้องร้องสิทธิเลี้ยงดูลูก ไร้เงินไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง เธอจึงคว้าโอกาสบินมาเปิดมาการแสดงที่ลอนดอนเพื่อหวังจะกู้คืนชีวิตที่เหลวแหลกให้กลับมาดีอีกครั้ง แต่ระหว่างทัวร์ครั้งนี้เธอก็ต้องต่อสู้กับสภาพจิตใจที่เลวร้ายแทบจะตลอดเวลา จนคนดูอย่างเราๆ ต้องนั่งลุ้นตัวโก่งว่าเธอจะไปรอดไหม ขณะเดียวกันหนังก็เล่าตัดสลับกับชีวิตของจูดี้ในวัยเด็ก ว่าเธอโดนวงการมายาเล่นงานจนกลายมาเป็นอย่างปัจจุบันได้อย่างไร
ความรู้สึกส่วนตัวหนังดู เราจัดให้มันเป็นน้องๆ Joker เลยนะ ในเรื่องการทิ่มแทงสภาพจิตใจคนดู 555 ทำให้ดิ่ง ให้ดาวน์ได้เหมือนกัน ถ้า Joker คือชายที่ถูกความพังพินาศของสังคมย่ำยีจนระเบิดกลายเป็นบ้า จูดี้ก็คือหญิงที่ถูกวงการมายาปั่นหัวจนแทบจะระเบิดเป็นบ้าเหมือนกัน สภาพที่ตัดตอนมาในหนังนี่คือร่อแร่จนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คืออดีตดาวรุ่งของฮอลลีวู้ด มันสิ้นหวัง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะพัง แต่โชคดีที่บางทีก็มีช่องว่างให้ความสุขความหวังแทรกเข้ามา
ความจริงที่ตบหน้าเราแรงๆ หลังฉากสุดท้ายในหนังจบคือ จูดี้ตัวจริงเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยการใช้ยาเกินขนาด.. มันไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นยารักษาอาการนอนไม่หลับและวิตกกังวล ( หนังไปไม่ถึงฉากนี้ แต่อยากให้ทุกคนรู้ก่อน เพราะจะให้ดูแล้วอินมาก )
Renée Zellweger แสดงได้ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง และการถ่ายทอดตัวตนที่สับสนวุ่นวายของจูดี้ หนังสนุก ดูไม่ยาก ไม่ยืดเยื้อ มีเพลงเพราะๆ มาให้ฟังแทรกตลอด มันให้ความรู้สึกทั้งอลังกาล เว่อวัง งดงาม แต่ก็เศร้าและขมขื่นในเวลาเดียวกัน (ฟังดูแล้วเหมือนเป็นไบโพล่าอ่ะ งงไหม 555) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน ถ้าคนที่ไม่ใช่คอหนังดราม่าไปดูไม่แน่ใจว่าจะเบื่อไหม
สุดท้ายนี้ที่อยากฝากไว้ The must ที่ไม่อยากให้พลาดสำหรับใครที่จะไปชม คือ อยากให้อ่านประวัติชีวิตจริงของจูดี้ การ์แลนด์ไปซะก่อน มันจะทำให้สนุกและอินกับเนื้อมาก ว่าเธอผ่านความพังพินาศอะไรมาแล้วบ้างจนกว่าจะถึงจุดนี้ ดีกว่าไปดูแล้วนั่งปะติดปะต่อความสัมพันธ์ของตัวละครเองหน้างาน
โดยเราได้ลองสรุป 7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไปดูเอาไว้ รู้สึกว่าโชคดีมากที่ตัวเองทำการบ้านไปก่อน โดยเฉพาะข้อ 2 3 5 6 นี่ ทำให้เข้าใจเรื่องราวและตัวละครอื่นๆ ที่โผล่เข้ามาในหนังได้มากเลยล่ะค่ะ ใครสนใจก็เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย ^^
1. ครอบครัวแตกแยก : จูดี้เป็นลูกคนที่สาม (และเกือบจะไม่ได้เกิดมาเพราะตอนแรกแม่ตั้งใจจะทำแท้ง) เธอถูกแม่ผลักดันอย่างหนักให้เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุราวๆ 2 ขวบ เพราะเล็งเห็นพรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอ ซึ่งจูดี้ไม่เคยชอบแม่ตัวเองที่คอยบงการและกดดันให้เธอทำงานในวงการเลย ส่วนพ่อของเธอเป็นเกย์ ทำให้ครอบครัวเปลี่ยนที่อยู่หลายครั้งเพราะพ่อไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น (ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย) จนกระทั่งพ่อเสียตอนเธออายุได้ 13 ปี ปัญหาเหล่านี้ทำให้พ่อกับแม่ของเธอทะเลาะกันบ่อยครั้ง และทำให้เธอมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่สวยงามนัก
3. ค่ายหนังทำให้เธอใช้ยา : เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จูดี้ถูกหมอประจำค่ายหนังสั่งยาให้กินเพื่อแก้อาการเหนื่อยล้า หนึ่งในยานั้นคือแอมเฟตามีน มีข่าวว่าช่วงถ่ายทำ The Wizard of Oz จูดี้ถูกจำกัดอาหารอย่างหนักโดยให้กินกาแฟดำเป็นหลัก สูบบุหรี่วันละ 80 มวน กินยากระตุ้นและยาต้านเศร้าจำนวนมาก เพื่อให้ถ่ายทำหนังจนจบและออกโปรโมตหนังต่อได้ จนเป็นเหตุให้เธอเริ่มติดการใช้ยา
5.แต่งงานครั้งที่สองกับมรสุมชีวิตที่หนักขึ้น : หลังการหย่าจากสามีคนแรก จูดี้มีข่าวคบชู้กับคนในวงการหลายคน จนกระทั่งเธอได้พบและแต่งงานกับสามีคนที่สองชื่อ Vincente Minnelli ซึ่งเป็นผู้กำกับ ทั้งคู่มีลูกกัน 1 คน เมื่อเธออายุ 24 ปี แต่จากนั้นเธอก็มีข่าวการคบชู้อีกครั้งพร้อมกับมีข่าวว่าสามีของเธอเป็นเกย์ บางแหล่งข่าวบอกว่าจูดี้เคยเจอสามีเธออยู่บนเตียงกับผู้ชายอื่น ในช่วงนี้ของชีวิต จูดี้ประสบปัญหาทางจิต ใช้ยาอย่างหนัก เห็นภาพหลอน พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ทำงานบันเทิงต่อไม่ได้ สุดท้ายเธอหย่ากับสามีคนที่ 2 ถูกไล่ออกจากค่าย MGM และส่งเข้าสถานบำบัด เมื่ออายุ 28 ปี
6.สามีคนที่สามติดเหล้าติดพนัน : จูดี้แต่งงานกับสามีคนที่สามชื่อ Sidney Luft ตอนเธออายุได้ 30 ปี และมีลูกด้วยกันชื่อ Lorna Luf ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ยังคงระหองระแหง มีข่าวว่าเธอไม่ยอมให้แม่แม้แต่ได้เห็นหน้าหลาน จนแม่ของเธอเสียชีวิตลงหลังจากนั้นไม่นาน ทิ้งให้จูดี้อยู่กับความรู้สึกผิดเรื่องแม่ ช่วงนี้ชีวิตในวงการบังเทิงของจูดี้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งด้วยหนังที่เธอแสดงประสบความสำเร็จ เธอให้กำเนิดลูกคนที่สองชื่อ Joey Luft แต่ความสัมพันของเธอกับสามีกลับแย่ลงเพราะเขาติดเหล้าและนำเงินที่เธอได้จากการเล่นหนังไปใช้เล่นการพนันอย่างหนักและเป็นหนี้ จนเธอหย่ากับเขาในที่สุด (แม้กระทั่งหลังจูดี้ตายแล้ว สามีคนนี้ยังตุ๊กตาออสการ์ของเธอไปขายเพื่อหาเงินอยู่เลย)
ที่มา: สรุปและแปลจาก https://www.imdb.com/name/nm0000023/bio?ref_=nm_ov_bio_sm
สุดท้ายบอกอีกครั้งว่าหนังอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องความเป็นไปชีวิต ที่มันทั้งสุขทั้งเศร้าเคล้ากันไป นี่ก็เป็นหนังที่ให้รสแบบ Bitter-Sweet ได้อย่างกลมกล่อมเรื่องเยี่ยมเรื่องนึงเลยล่ะค่ะ
ฝากติดตามผลงานของพวกเราต่อได้ในเพจอยากดูหนังนะคะ ^^ (https://www.facebook.com/Yarkdoonung-x-Yarklengame-381188652669134/)
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม