สุดยอดความทรหดในอาณาจักรสัตว์

 อูฐ


 ในดินแดนแห่งความสุดขั้ว อากาศร้อนสุดขั้ว ต้องแกร่งพอตัวจึงจะอยู่รอดในทะเลทรายได้ เป็นเวลาหลายพันปี ที่ผู้คนต้องเดินทางข้ามดินแดนอันแห้งแล้งอย่างอาระเบีย โดยใช้สัตว์เป็นพาหนะที่ได้ชื่อว่าจอมทรหดที่สุดในโลก ที่มีฉายาว่า สำเภาทะเลทราย แต่บางคนเรียกมันว่า หมาตามใจคณะเดินทาง ที่รู้หน้าที่ของมัน แม้อูฐมีรูปร่างที่อัปลักษณ์ แต่มันก็อยู่รอดในสภาพแวดล้อม ที่แม้แต่ม้าก็อยู่ไม่ได้ พวกมันแบกน้ำหนักได้ 600 ปอนด์ เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวัน โดยที่ไม่ต้องกินน้ำหรือกินอาหารเลย

ความเก่งกาจของพวกมันก็คือ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบรอบตัว
ถ้าสังเกตที่รูจมูกของมันจะมีรอยตัดเล็กๆเป็นทางยาว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อพิเศษที่ช่วยปิดจมูกไว้ เวลาเจอพายุทราย ขนจมูกในนั้น จะช่วยปัดเม็ดทราย ออกไปให้พวกมันหายใจคล่อง
ถ้าสังเกตที่ตาของมัน คนตาของมันจะช่วยปกป้องลูกตา ผลจากเม็ดทราย และพวกมันยังมีเปลือกตาสองชั้น ที่ช่วยในการมองเห็น ทำให้พวกมันสามารถเดินข้ามทะเลทราย ได้โดยที่ยังหลับตาอยู่
แต่ที่ผิดไปจากความเข้าใจส่วนใหญ่ก็คือ โหนกของมันไม่ได้ใช้เก็บน้ำ ที่จริงเต็มไปด้วยไขมัน ที่ใช้เป็นพลังงานสำรอง ในยามที่ต้องเผชิญกับ ความตรากตรำ คุณสมบัติทุกอย่างหล่อหลอมให้มันเป็นนักเอาตัวรอด 
 
แม้จะสูญเสียน้ำหนัก ในร่างกายไปมากกว่า 25% และยังอยู่รอดโดยที่ไม่ต้องกินน้ำได้นานถึง 8 วัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมอูฐถึงกระหายน้ำมาก และสามารถดื่มน้ำได้ถึง 21 แกลลอน ภายในแค่ 10 นาที อูฐมีวิธีการดื่มที่ต่างออกไป ซึ่งช่วยให้อูฐ สามารถข้ามพ้นทะเลทราย และกลับมาบ้านได้

นมอูฐช่วยบำรุงสุขภาพมาก ในนมอูฐ อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มากกว่านมวัวถึง 3 เท่า และยังมีสารอินซูลิน ซึ่งนักวิจัยให้ความสนใจมาก ในการค้นคว้าว่า อินซูลินในนมอูฐ รักษาโรคเบาหวานได้มากแค่ไหน

หนู
 

หนูถูกยกให้เป็นสัตว์จอมทรหดและเป็นศัตรูอันดับ 1 ของมหาชนด้วย หนูดำรงอยู่บนโลกใบนี้ มากกว่าหลายล้านปีแล้ว ซึ่งพวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่ตลอด ซึ่งผลก็คือพวกมันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ แถมยังขยายพันธุ์ได้มาก พวกมันใช้เวลาตั้งท้องไม่นานเลย หลังจากมันคลอดแล้ว ใน 30 หรือ 45 วันต่อมา พวกมันก็โตพอ ที่จะหากินเองได้แล้ว
ในปัจจุบันหนูเพียงคู่เดียว สามารถแพร่พันธุ์ลูกหลานของมัน ได้มากกว่า 15000 ตัวต่อปี การเอาตัวรอดคือสุดยอดทักษะของหนู ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการกำจัดมันและโรคที่พวกมันคอยแพร่เชื้อ 
 
เพราะอะไรหนูจรจัด ถึงสามารถไปมาในบ้านเราอย่างง่ายดาย เหตุผลแรกคือ หนูเป็นนักกายกรรมที่เก่งกาจมาก พลังเหนือมนุษย์ของมัน ทำให้สามารถ เข้ามาในถิ่นที่อาศัยของเราได้ และเล็ดลอดเข้ามา แม้แต่ช่องทางที่แคบที่สุด  พวกมันสามารถหดตัวเข้าสู่รู หรือหลุมที่เล็กกว่าได้ เป็นผลจากกระดูกที่ยืดหยุ่นได้ จึงสามารถเล็ดลอด ผ่านรูใดๆก็ตาม ที่มีความกว้างแค่นิดเดียว และจะไม่มีทางติดอยู่ในท่อ เพราะฟันของหนู มีความแข็งแกร่งมากกว่าฟันของคนเราถึง 120 เท่าเลยทีเดียว มันสามารถกัดท่อเหล็กให้เป็นรูได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ถังขยะหรืออิฐถ่านหิน การที่หนูมีรูปร่างที่เล็กและเรียวบางต่อให้ต้องตกจากที่สูงก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 
 

 
นกแกนเน็ต
 

นกแกนเน็ตออสเตรเลเชี่ยน เป็นนักล่าปลาตัวฉกาจ แต่มีปัญหาอยู่อย่างคือมันจะจับปลากินยังไง ในเมื่อมันส่งเสียงร้องหรือทะเลอยู่ร้อยฟุต วิธีแก้ปัญหานั้นแสนง่าย แม้มันต้องเสี่ยงตาย นกแกนเน็ตดิ่งพสุธาลงทะเลด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมง การพุ่งชนทุกอย่างด้วยความเร็วระดับนั้นอาจถึงขั้นตายได้ แต่นกแกนเน็ต เป็นสุดยอดสัตว์จอมทรหดด้วยรูปลักษณ์อันแสนพิสดาร ที่รับประกันได้ว่ามันจะไม่จมน้ำ เพราะนกแกเน็ตไม่มีรูจมูก ซึ่งช่วยป้องกันจงอยปากของมันจากแรงกระแทกได้ดี ส่วนร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยถุงลมที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ก่อนที่จะพุ่งลงน้ำ นกแกนเน็ตจะขยายถุงลมเหล่านั้นให้พอง เพื่อดูดซับความเจ็บจากแรงกระแทก
 
จะเป็นยังไงถ้ามีระบบนี้ติดในรถยนต์ เราต่างจากนกแกนเน็ต ตรงที่ร่างกายของคนเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับแรงกระแทก แล้วถ้าจะมีคนบางกลุ่มที่ต้องการดิ่งพสุธาลงน้ำ ด้วยความเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงละ ขอต้อนรับสู่กีฬาอันสุดขั้วอย่างกีฬากระโดดหน้าผามืออาชีพ พวกเขากระโดดจากความสูงที่มากกว่ากีฬากระโดดน้ำโอลิมปิกถึง 2 เท่า และต้องกระแทกกับผิวน้ำแรงกว่าถึง 9 เท่า ถึงจะดูสนุก แต่กีฬากระโดดหน้าผาก็มีความอันตรายสูงมาก แม้แต่ก้าวแรกที่กระโดดลงไป ด้วยเหตุนี้นกแกนเน็ตจึงทำได้ดีเยี่ยม เพราะมันมีระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ในร่างกาย และทนทานได้กับความเร็วระดับสูง
 

 กัวนาโค่
 

จอมทรหดนี้อยู่ในเทือกเขาแอนดิสแถบอเมริกาใต้ เป็นญาติกับอูฐ ซึ่งไม่ได้อยู่รอดจากความร้อน แต่จากความสูง มันคือ กัวนาโค่ พวกมันจะอาศัยอยู่บนที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากกว่า 5 กิโลเมตร บนที่ที่อากาศเบาบางจนแทบขาดใจ มีออกซิเจนแค่ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับความสูงระดับน้ำทะเล 
      
บนภูเขาที่สูงกว่า 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในชั้นบรรยากาศที่แสนจะเบาบาง อวัยวะทุกส่วนในร่างกายต้องการออกซิเจนที่เพียงพอ  บนความสูงกว่า 5000 เมตรจะทำให้ต้องหายใจเร็วกว่าปกติถึง 4 เท่า แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ จุดที่ทำให้อาจถึงตายคือความสูงที่ 75000 ฟุต ระบบย่อยอาหารจะหยุด ออกซิเจนในตัวจะค่อยๆหมดลง และเริ่มกลืนกินตัวเอง แต่ไม่ใช่กัวนาโค่
 
มนุษย์ที่มีเลือดแบบกัวนาโค่นั้น จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า และเซลล์เม็ดเลือดแดงทุกเซลล์ก็ยาวกว่าเป็น 2 เท่า เซลล์เม็ดเลือดยิ่งมากก็ยิ่งสะสมออกซิเจนในที่ที่อากาศเบาบาง ดังนั้นกัวนาโค่จึงเหมาะจะอยู่อาศัยในพื้นที่ที่สูงกว่ามนุษย์เรา กัวนาโค่ เคยได้รับการพรรณนาว่า เป็นสัตว์รูปร่างพิลึกที่เกือบถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่า แต่ความสามารถของมันยังต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เช่นเดียวกับสัตว์จอมทรหดอื่นๆ เมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุด สัตว์รูปร่างพิลึกนี้กับสอนบางอย่างให้เราได้
 

แมลงสาบ
 

แมลงผู้เป็นทรราชนี้ ไม่ว่าเราจะจู่โจมมันด้วยอะไรมันก็รอดได้ทุกอย่าง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันมีหนวดที่ไวต่อประสาทสัมผัสอย่างมาก และมันมีสมองอยู่ที่กลางแผ่นหลัง แมลงสาบจึงหลบพ้นทุกอย่างที่พุ่งมาได้ นั่นเป็นเพราะพวกมันเรียนรู้มาอย่างโชกโชน ความจริงคือยาวนานกว่า 400 ล้านปี แมลงสาบกัดกินไดโนเสาร์มานานกว่าที่มันซุกอยู่ในห้องครัวของคุณเสียอีก
 
แต่มีห้องครัวแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของเนติค เมสซาซูเสตส์ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับวีรกรรมการเอาตัวรอดของแมลงสาบ เมื่อ 30 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ในฐานทัพภาคท้องถิ่น ได้ค้นคว้าศึกษา และทำการทดลองกับเหล่าแมลงสาบมาดากัสการ์ขนาดยักจำนวนหนึ่ง โดยการดมสารกัมมันตรังสีให้แมลงสาบเหล่านั้น
แมลงสาบสามารถทนทานต่อสารกัมมันตรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 200 เท่า แต่ในตอนท้ายของการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ถูกทิ้งให้อยู่กับกลุ่มแมลงสาบที่โดนสารกัมมันตรังสี พวกเขาจึงตัดสินใจ วางยาพิษแมลงสาบเหล่านั้น แล้วจัดการขังพวกมันไว้ในกระเป๋าพลาสติก เพื่อนำไปฝังกลบภายหลัง แต่ไม่ทราบว่าแมลงสาบเหล่านั้นได้หลุดออกมาเมื่อไหร่ พวกมันรอดพ้นจากยาพิษได้ และกัดกระเป๋าจนขาด ก่อนที่จะวิ่งพล่านไปมาอย่างบ้าคลั่ง

มีบ้านหลังหนึ่งที่ในครอบครัวต้องกินแมลงสาบที่ถูกพิษเป็นอาหารเช้า ด้วยเหตุนี้กองทัพจึงมีการพิพากษาว่า วิธีเดียวที่จะฆ่าพวกมันได้ก็คือเอาค้อนทุบให้มันตาย แต่แม้กระนั้นคุณก็ต้องเล็งเป้าทุกมันให้ดีๆ เพราะแมลงสาบสามารถอยู่ได้ถึง 1 เดือนโดยที่ไม่มีหัว ก่อนจะตายลงด้วยความโหยหิว จุดเด่นของแมลงสาบคือพวกมันแกร่งเกินพิกัด เพราะการจะกำจัดมันให้พ้นนั้นทำได้ยากมาก คนส่วนใหญ่คิดว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ
 

หนอนท่อ
 

แอลวินคือยานพาหนะที่ใช้สำรวจใต้ท้องทะเลลึก ทะเลลึกก็เปรียบเสมือนกับอวกาศอันกว้างไกล มืดมิดอันตรายและลึกลับ แอลวินจึงถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่ธรรมชาติกระหน่ำเข้าหาเรา ลองนึกภาพคุณที่ดำดิ่งลงสู่ใต้ทะเลลึกกว่า 2 กิโลเมตรครึ่ง ลึกลงไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรแสงอาทิตย์ก็อันตรธานหายไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอดในนั้นได้
จากนั้นคุณก็จะพบภูเขาไฟขนาดเล็กรอการปะทุ เป็นปล่องเล็กๆที่เรียกว่า ปล่องควันดำ ซึ่งจะพ่นสารพิษอันร้อนแรงให้เกิดมลภาวะต่อท้องทะเล บริเวณนั้นจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจริงถึงจะอยู่รอดได้ มันคือเจ้าหนอนท่อ
หนอนท่อนับเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดอย่างมาก ในตัวมันมีแบคทีเรียหลายพันล้านตัว ซึ่งสามารถพ่นสารเคมีที่เป็นพิษสีดำออกมา เป็นอาหารให้กับหนอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนอนท่อไม่มีปาก ไม่มีท้อง และไม่มีแผ่นหลัง แต่มันก็ยังอยู่รอดในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ที่สามารถฆ่าสัตว์ชนิดอื่นได้อย่างสบาย  
 

 หมีขั้วโลก
 

     ในดินแดนธารน้ำแข็งนี้ สัตว์ที่อาศัยอยู่จะต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากความหนาวสุดขั้ว โดยทั่วไปแล้วหมีขั้วโลกจะมีชั้นไขมันที่หนาถึง 20 เซนติเมตร และมีขนที่ให้ความอบอุ่นถึง 2 ชั้น  แต่ลูกหมีไม่ได้มีขนที่หนาขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้แม่หมีที่ตั้งท้องอยู่จึงต้องหาหนทางอื่น เพื่อหนีสภาพอากาศอันเลวร้ายของอาร์กติก แม่หมีจึงลงไปที่ใต้พื้นดิน
นักชีววิทยาในอลาสก้า สตีฟ แอมสตรัฟ กำลังค้นหาทำของแม่หมีขั้วโลกอยู่ ลึกลงไปใต้ถ้ำหิมะนี้ เป็นที่ที่แม่หมีขั้วโลกใช้หมกตัว ให้พ้นจากสภาพอากาศหนาวอันเลวร้ายในอาร์กติก แม่หมีขั้วโลกจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำนานถึง 4 เดือน สงวนพลังงานไว้ โดยการลงไปจำศีลในที่ที่ลึกที่สุด อัตราการเต้นของหัวใจมันลดเหลือ 8 ครั้งต่อนาที ส่วนระบบเผาผลาญในร่างกายมันจะช้าลงกว่าปกติครึ่งหนึ่ง และมันจะตกลูกในขณะที่ยังจำศีลอยู่ แต่เหตุผลที่หมีขั้วโลกได้เป็นสัตว์จอมทรหดอันดับที่ 4 นั้น เป็นเพราะว่าในระหว่างที่มันกำลังจำศีลอยู่ตลอด 4 เดือนเต็ม มันจะไม่ยอมถ่ายหนักหรือถ่ายเบาเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เพียงแต่ความอดทนในระดับสุดยอดเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์สนใจอย่างมากด้วย
 
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า หมีถูกสร้างให้มีความสามารถในด้านความอดทนอดกลั้น ซึ่งอาจช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยได้ เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การตามหาความลับของระบบเผาผลาญในตัวของหมีขั้วโลก นักวิทยาศาสตร์ต้องคอยสังเกตหมีขั้วโลก ที่ถูกคุมตัวไว้อย่างใกล้ชิด เพราะพวกมันเป็นนักรีไซเคิลตัวยง แทนที่จะลุกไปถ่ายของเสีย หมีที่จำศีลอยู่จะเปลี่ยนของเสียให้เป็นโปรตีน
บางครั้งหมีขั้วโลกจะแบ่งของเสียบางส่วนให้กลายเป็นโมเลกุล และแปรเปลี่ยนของเสียเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังงานเคมี ที่เสริมสร้างทางร่างกายให้กับพวกมัน นักวิทยาศาสตร์จึงหวังว่าหากวิเคราะห์ระบบรีไซเคิลที่อยู่ในตัวหมีได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างตัวยาที่รักษาโรคไตได้ ผู้ป่วยจะได้นำของเสียมาใช้ใหม่ ดีกว่าต้องอาศัยเครื่องกรองเลือด เพื่อหาเลือดมาเติมให้ในตัวพวกเขา 
 

 Cr.https://www.tnews.co.th/variety/514899
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่