[CR] มุลาอิ MULAYIT ทริปเดินป่าชายแดนไทย พม่า กับราคาเพียง 1,858 บาท

เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการ เหล่านักเดินป่าอย่างเราก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องหาที่เดินป่าท้าหนาว นอนดูดาวสักที่
วันนี้จะพาไปรู้จักกับขุนเขาที่ขึ้นชื่อว่า ขุนเขาแห่งศรัทธามุลาอิ "Mulayit" 
.
มุลาอิ ตั้งอยู่ที่จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ฝั่งชายแดน อ.พบพระ จ.ตาก

ทริปนี้เราเดินทางจาก กทม. เวลา 20.30 น. ของเย็นวันศุกร์ เรานัดแนะกัน
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางสู่หมู่บ้านมอเกอร์ไทย ต.วาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก

________________________________________
เช้าตรู่ของวันเสาร์ เราเดินทางถึงสถานที่นัดหมาย เวลาประมาณ 05.30 น.
จัดแจงข้าวของที่เตรียมมา ลงจากรถ พบปะทักทายสวัสดีลุงจ่า ผู้ที่เราติดต่อไว้ล่วงหน้าก่อนมาเดินป่าเส้นนี้

ลุงจ่า ชายผู้ดูแลเรื่องทริปการเดินป่ามุลาอิที่เราติดต่อจองมา
ลุงจะมีราคาสำหรับการเดิน 2 ราคา คือ 900 บาทต่อคน ราคานี้รวมอาหาร 2  มื้อ(มื้อเช้าของวันเสาร์ และมื้อเที่ยงของวันอาทิตย์ที่ลงมาจากดอย)
และราคา 1300 บาทต่อคน ราคานี้อาหาร 5 มื้อ ทั้งก่อนขึ้นเขา บนเขา และลงจากเขา
ทั้งสองแบบ เป็นราคาต่อหัวที่รวมทุกอย่างแล้ว 

(ภาพสะพานข้ามไทย-พม่า มิตรภาพของเรากั้นด้วยสะพานไม้เล็กๆที่แน่นแฟ้นไปด้วยความสัมพันธ์ หว่ะ!!)

นักเดินทางชั้นประหยัดอย่างทีมเรา ไม่ลังเลที่จะเลือกราคา 900 บาท ไม่เพียงแค่ความงกเท่านั้นที่ทำให้ตัดสินใจเลือกราคานี้
แต่เราเน้น activity ในการเดินป่าเป็นสำคัญ เพราะเสน่ห์อีกอย่างของมัน คือการทำอาหารบนดอย

เราและเพื่อนๆตกลงเลือกทำอาหารกินกันเอง แต่มุลาอิ มีข้อจำกัด ให้เรากินอาหาราเจเท่านั้น
ย้ำว่า เจ เท่านั้น เพราะบนเขาเป็นสถานที่เคารพบูชา เป็นแหล่งรวมความศรัทธาของคนที่นั้น
เขาค่อนข้างเคร่งเรื่องนี้มากๆ ฉะนั้น เราไปเที่ยว เราก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของสถานที่ด้วยนะจ๊ะ

บรรยากาศของการเดินทาง หลังจากก้าวเท้าขึ้นรถกระบะก็จะประมาณนี้

จัดแจงของขึ้นรถโฟวิล เตรียมนั่งรถยาวๆราว 3 ชั่วโมงจ้าาาาา

ไปครับ นั่งรับลมท้ายกระบะกัน!!

(ภาพของพวกเรา ผู้ที่มีความกล้า มั่นหน้านั่งท้าแดดเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงเห็นจะได้)

(ภาพบรรยากาศของการนั่งบ้าง ยืนบ้าง สักพักก็จะมากองรวมกัน)

นั่งรถกันสักพัก แดดจะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ความเมื่อยก็เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกาย
เป็นไปได้ เตรียมหมวกกันแดดให้ดี!!

ระหว่างทาง จะผ่านหมู่บ้าน ไร่ข้าวโพด เห็นวิถีชีวิตของคนมากมาย
พอให้เราได้ซึมซับความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้อยู่บ้าง

บรรยากาศหมู่บ้าน มีประมาณนี้

ชาวบ้านที่นี่หลายคนสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ อาจเพราะมีนักท่องเที่ยวไทยหลายคนผ่านเข้ามาเส้นทางนี้

เดินทางกันยาวๆราว 3 ชั่วโมง ก็จะถึงจุดแรก ที่เป็นเสมือนวัด หรือเขาเรียกว่าอะไรไม่แน่ใจ
ตรงนี้จะมีพื้นที่ให้เราอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ก่อนเดินทางต่อขึ้นพระธาตุมุลาอิ
เราเห็นชาวบ้านพม่าหลายคนก็แวะอาบน้ำกันที่นี่ และแวะทาแป้งทานาคาสวยๆกันด้วย


ฝนทานาคา ทาหน้าวนไป!!

เสร็จเรียยบร้อยแล้ว ขึ้นรถเดินทางต่อ..
นั่งรถกันเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็พอมีวิวเขาให้ดูบ้าง เพราะเรากำลังไต่ขึ้นสู่ระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
______________________________________________________________________
และแล้ว เราก็ถึงทางขึ้นพระธาตุมุลาอิ
เตรียมเอาข้าวของลงจากรถ และแบกเป้เดินต่อไปอีกหน่อย ประมาณ 1  กิโลเมตรครึ่ง ก็จะถึงจุดตั้งแคมป์

เดินต่ออีกนิดนะ ใครไม่อยากแบกของเองเยอะๆ ก็อย่าลืมติดต่อกับลุงจ่าเรื่องลูกหาบซะตั้งแต่ตอนแรก
ส่วนทีมเรา มีพี่ลูกหาบ  1 คน ไว้แบกของส่วนกลาง เต้นท์ และผักนิดๆหน่อยๆ
ส่วนพวกข้าวของส่วนตัว เราก็จัดการแบกกันเองจ้า

มาถึงจุดนี้ สิ่งที่ควรทำก็คือ สงบเสงี่ยมกิริยากันหน่อย เพราะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ และมีกฎระเบียบข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ใครมาเยือน ก็เตือนใจตัวเองไว้ด้วยจ้า ว่าให้อยู่ในกฎระเบียบ


เดินต่อไป ยังไม่ถึงจุดกางเต้นท์ ยังไม่ไกล อย่าเพิ่งบ่น
เดินมาสักพัก คึกคักคุกคิก ทะลุมาเลยอิอิ คิกคิกคุกคัก เฮ้ย ไม่ใช่ละ
...................................................................................................................
เดินมาสักพักก็จะเจอกับบรรยากาศที่สวยขึ้นเรื่อยๆ ประมาณนี้

หินก้อนใหญ่ เรียงรายต้อนรับพวกเราตามข้างทาง

เริ่มเห็นวิวสวยขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มเห็นเจดีย์ ที่แสดงถึงความศรัทธาของคนในพื้นที่มากขึนเรื่อยๆ
มองไปรอบๆ จะเจอเจดีย์อื่นๆอีก ที่มองเห็น จะมีสีขาวบ้าง สีทองบ้างตัดกับสีเขียวของผืนป่าได้อย่างสวยงาม


ที่เห็นยอดเขาแหลมๆนั่น คือสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หรือพระธาตุมุลาอิที่เราจะขึ้นไไปนั่นเอง


แวะถ่ายรูปมุมนี้สักหน่อย ก่อนเดินต่อไปยังจุดตั้งแคมป์
ถ่ายรูปเสร็จ รีบเดินต่อ เพราะแดดก็ร้อนมากขึ้นทุกที..

และนี่คือ ลานกางเต้นท์ จุดตั้งแคมป์พักแรมของเราในค่ำคืนนี้..

คนค่อนข้างเยอะพอสมควร เต้นท์หลากสีที่โชว์ความงามให้เราได้เห็น
ก็บ่งถึงจำนวนนักเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม สายเดินป่าอย่างเราๆ เข้าป่า เราก็มีจิตรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอยู่แล้ว
เอาของกินเข้าไป เอาอะไรเข้าไป ก็จัดการขยะกันดีๆ เอาออกมาทิ้งกันดีๆ เพื่อรักษาความสะอาดและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสร้างสรรค์จ้า

บริเวณจุดการเต้นท์ของเรา พอจะหามุมถ่ายรูปได้ ประมาณนี้


จัดการกางเต้นท์กันเสร็จเรียบร้อย เราก็เตรียมเดินขึ้นไปกราบพระธาตุมุลาอิเพื่อความเป็นสิริมงคลกัน
เงื่อนไขของการขึ้นไปกราบ เพศชายต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ กางเกงขายาว เพศหญิงนุ่งโสร่งนะจ๊ะ อย่าลืมเอามาด้วยตัวเธอ..


สุภาพมากเวอร์ สุภาพแบบเวอร์วัง
(นี่คือภาพประตูทางเดินขึ้นพระธาตุมุลาอิจ้า)

บรรยากาศระหว่างทางเดินบนพระธาตุ ก็จะเห็นวิว ทิวเขาสวยงาม

เดินไปเรื่อยๆตามแรงศรัทธา ก็จะเจอเจดีย์ พระธาตุมุลาอิ...



เดินขึ้นมาถึงตรงนี้ จะเป็นพระธาตุที่ผ้หญิงขึ้นได้ เราสัมผัสได้ถึงพลังความศรัทธาของคนที่มากราบ
ทุกคนมีท่าทีที่สงบ นิ่ง พร้อมพนมมือกราบพระธาตุด้วยความศรัทธา

ส่วนผู้ชาย จะสามารถเดินต่อขึ้นกราบเจดีย์ พระธาตุอีกองค์ด้านบนได้

ระหว่างบันไดเดินขึ้น จะมีพระพุทธรูปให้กราบ
เดินต่อไปอีกนิด จะเจอกับเจดีย์
พระธาตุมุลาอิมีตำนานเล่ามาว่า ครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เคยมีฤๅษีสองตนพี่น้อง
ตนหนึ่งสร้างพระธาตุมุลาอิ อีกตนสร้างพระธาตุมะละอะ (ลุงจ่าบอกว่า มะละอะจะอยู่อีกเขาลูกหนึ่ง มองไปจะเห็นเป็นเขาชันๆ มองเห็นได้ระหว่างทางที่นั่งรถไปมุลาอิ)
ฤๅษีทั้งสองได้พระเกศา(เส้นผมของพระพุทธเจ้า) มา จึงนำมาสร้างเป็นพระธาตุไว้กราบไหว้บูชาที่นี่
นานวันไป ก็มีคนมาเจอสถานที่แห่งนี้ จึงมีคนเข้ามากราบไหว้บูชา และเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น

ลุงจ่าบอกว่า ช่วงที่มีงานกฐิน ที่นี่จะมีคนเยอะมากๆๆๆๆ


เจดีย์ที่ผู้ชายขึ้นไปกราบไหว้ได้
วิวจากจุดนี้ สามารถมองไปรอบๆได้ประมาณนี้

(ภาพของชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่กำลังหยิบกล้องถ่ายภาพธรรมชาติ และสัมผัสความสดชื่นจากผืนป่า)

มองลงไปจากตรงนี้ จะเห็นพระธาตุมุละอิ เจดีย์ที่ผู้หญิงขึ้นได้อยู่ตรงนั้น..

ซูมๆไปที่จุดกางเต้นท์ของเรา ก็จะได้ภาพประมาณนี้

(ภาพเต้นท์ของเรา ที่ดูเหมือนใกล้ แต่ไม่ใกล้เหมือนที่คิดเด้อจ้า)

วิวอีกฝั่งจะเจอเทือกเขาสลับซับซ้อนประมาณนี้

กราบไหว้กันเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมเดินลงก่อนที่จะค่ำมืด
วันนี้พี่คนขับรถชวนไปทานอาหารเย็นที่โรงเจ
เห็นทีต้องไปชิมซะหน่อยแล้ว อิอิ


นี่คือหน้าตาของอาหารเจ มีข้าว ผัก มันม่วงที่ปนอยู่ในอาหาร และแกงอีกอย่างที่หน้าตาคล้ายๆน้ำพริก รสชาติจะเผ็ดๆหน่อยแต่อร่อยไม่เบา
กินอิ่มแล้ว ทีมเราก็บริจาคเงินให้กับโรงเจเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้ทางโรงเจได้นำไปให้ต่อไป

ที่โรงเจจะมีห้องน้ำให้เข้าไปใช้บริการได้
สำหรับใครที่อยากจัดการธุระส่วนตัว ก็รีบๆเลยจ้า

เสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับแคมป์ที่พัก

กลางคืนก็ล้วมวงนั่งคุย เล่นเกมนิดๆหน่อยๆ รอออกไปถ่ายดาวล่าทางช้างเผือกกันจ้า

บ้างก็จิบชาร้อนกลางค่ำกลางคืน บ้างก็อ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน และเล่นอินเตอร์เน็ต (ที่นี่มีสัญญาณมือถือให้พอได้เล่นอยู่บ้างจ้า)

เวลาพอเหมาะ ประมาณสี่ทุ่ม เราก็ออกมานอนดูดาวบนหินก้อนใหญ่ และถ่ายรูปออกมาประมาณนี้

(ได้ล่าช้างเผือกสมใจ ยิ่งใหญ่เต็มท้องฟ้า ตระการตามากแม่เจ้าโว้ย)


ลองถ่ายดาวหมุนดูบ้างสิ

ออกมาประมาณนี้ง่ะ


ได้รูปที่ใช่ รูปที่ชอบ ก็แยกย้ายกันเข้านอน ฝันดี ราตรีสวัสดิ์
................................................................................

รุ่งเช้าของวันอาทิตย์ เราตื่นมาแล้วพบกับหมอกหนาๆเต็มลานกางเต้นท์
ฟ้าปิด เลยอดเห็นพระอาทิตย์ขึ้น
แต่ก็พอจะอาศัยช่วงเวลาฟ้าเปิดชั่วครู่ ได้รูปมาบ้าง
อย่างน้อยๆ ก็รูปจิบกาแฟหลังเต้นท์ละหว้าาาา ฮ่าๆ
ชื่อสินค้า:   มุลาอิ MULAYIT ทริปเดินป่าชายแดนไทย พม่า กับราคาเพียง 1,858 บาท
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่