ตลาดของคีย์บอร์ดแบบ mechanical ในปัจจุบัน ชื่อของสวิตช์ที่จะคุ้น ๆ กันหน่อยก็เช่น Cherry MX, Kalih, Outemu รวมถึงสวิตช์ที่ผู้ผลิตคีย์บอร์ดหลาย ๆ รายพัฒนาขึ้นมาเอง ล่าสุด HyperX ก็มีคีย์บอร์ดที่ใช้สวิตช์ของตนเองออกมาบ้างแล้วครับ นั่นคือ HyperX Alloy Origins ที่ใช้สวิตช์ HyperX เป็นรุ่นแรก มาดูกันครับว่า HyperX Alloy Origins จะเป็นอย่างไรบ้าง น่าใช้งานขนาดไหน
กล่องของ HyperX Alloy Origins ก็จะมาในสไตล์ขาวแดง ตัดกับคีย์บอร์ดสีดำ ซึ่งเป็นสไตล์เอกลักษณ์ของทาง HyperX ซึ่งบนหน้ากล่องก็จะมีทั้งชื่อรุ่น รวมถึงประเภทของสวิตช์ระบุมาให้ชัดเจน โดยรุ่นที่ใช้ในบทความรีวิวนี้ จะเป็น HyperX Alloy Origins ที่ใช้สวิตช์ HyperX Red switch ครับ ซึ่งสวิตช์ประเภทนี้จะเป็นแบบ linear คือกดลงไปได้ตรง ๆ ไม่มีกลไกหรือลิ้นขัดข้างใน ทำให้ตอนใช้งานจะไม่มีเสียงคลิก ๆๆๆ ที่ค่อนข้างดังจนอาจทำให้หลายคนรำคาญ
พอพลิกมาด้านหลังก็จะพบกับจุดเด่นของ HyperX Alloy Origins ด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ สายเชื่อมต่อเป็นแบบ USB-C, โครงสร้างและบอดี้ของตัวคีย์บอร์ด ใช้เป็นอลูมินับเกรดที่ใช้ในระดับอากาศยาน, สวิตช์ HyperX และก็ขาตั้งที่ทำให้สามารถปรับองศาการเอียงของคีย์บอร์ดได้ 3 ระดับ
เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา ก็จะพบกับตัวคีย์บอร์ดอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนสาย USB-C จะอยู่ในช่องด้านบน โดยสเปคของ HyperX Alloy Origins ก็ได้แก่
· ใช้สวิตช์ HyperX Red น้ำหนักแรงกด 45g รองรับการกดได้ 80 ล้านครั้ง
· ระยะการกด 1.8 มม.
· ไฟ RGB 16.7 ล้านสี แบบแยกปุ่ม สามารถปรับระดับความสว่างได้ 5 ระดับ
· รองรับ anti-ghosting แบบ 100% และรองรับ n-key rollover
· เมมโมรี่ในตัว เก็บข้อมูลโปรไฟล์ได้ 3 โปรไฟล์
· เชื่อมต่อผ่านสาย USB-C
อุปกรณ์เสริมที่ให้มาในกล่องก็มีแค่สาย USB-C เส้นเดียวครับ เป็นสายถักยาว 1.8 เมตร ปลายอีกข้างจะเป็นหัว USB-A ปกติ
หน้าตาของ HyperX Alloy Origins ก็จะเป็นทรงแบบฟูลไซส์ มีการแยกชุดปุ่มกดชัดเจน ทั้งปุ่มตัวอักษร ปุ่มตัวเลข ปุ่มฟังก์ชัน ปุ่มทิศทาง ส่วนสถานการณ์ทำงานของพวกปุ่ม numlock จะไปอยู่ตรงจอมุมขวาบนแทน ส่วนบอดี้ที่เป็นอลูมินัมก็ทำออกมาได้ดี ให้ความรู้สึกพรีเมียม ผิวสัมผัสสากมือเล็กน้อย และที่สำคัญคือน้ำหนักเบากว่าที่คิดมาก (หนักประมาณ 1 กิโลกรัม) ซึ่งน่าจะเบากว่าคีย์บอร์ด mechanical หลาย ๆ รุ่นในตลาดอยู่เหมือนกัน ส่วนขนาดก็ค่อนข้างกะทัดรัดมาก ๆ ด้วย
ตัวปุ่มเป็นแบบ high profile มีการเว้าส่วนบนรับปลายนิ้วได้พอดี ตัวปุ่มขนาดกลาง ๆ ครับ ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป
มีการสกรีนตัวอักษรภาษาไทยมาให้เรียบร้อย
เมื่อแกะ keycap ขึ้นมา ก็จะพบกับสวิตช์ HyperX Red พร้อมหลอดไฟ LED ติดแยกแต่ละปุ่ม ส่วนตัวเนื้อคีย์แคปเองก็หนาพอประมาณ เก็บงานภายในแต่ละปุ่มได้เรียบร้อยดี
ด้วยระยะการกดอยู่ที่ประมาณ 1.8 มม. ทำให้การกดเพียงแค่นิดเดียว ก็สามารถสั่งงาน พิมพ์ตามที่ต้องการได้แล้ว อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องการใช้พิมพ์แบบเร็ว ๆ ส่วนคนที่ใช้เล่นเกมก็อาจจะเป็นคนที่ต้องการการตอบสนองที่เร็ว ส่วนสัมผัสการกดเท่าที่ผมทดสอบดู รู้สึกว่า HyperX Alloy Origins ที่ใช้ red switch จะใช้แรงกดเบากว่าคีย์บอร์ดที่ใช้ Cherry MX red switch อยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะตรงจุดที่เริ่มลงน้ำหนัก ทำให้กดลงไปได้ง่ายกว่า เร็วกว่า แต่ก็ต่างกันแบบน้อยจริง ๆ ครับ
ด้านหลังก็เรียบ ๆ มีแป้นยางรองให้ 4 มุม ส่วนขาตั้งก็สามารถพลิกออกมาเพื่อเพิ่มองศาความเอียงให้กับตัวคีย์บอร์ดได้
ซึ่งขาตั้งนี้สามารถปรับระดับได้ 2 แบบครับ ดึงออกมาไม่ยากนัก แต่ก็ล็อกตัวได้แข็งแรงอยู่เหมือนกัน
โดยในภาพซ้ายสุด จะเป็นแบบไม่ได้กางขาออกมา ตัวคีย์บอร์ดจะมีองศาการเอียงอยู่ที่ 3 องศา ภาพกลางคือดึงขาเล็กออกมา (7 องศา) และภาพขวาสุดเป็นการดึงขาใหญ่ออกมา (11 องศา)
ตัวพอร์ต USB-C อยู่ตรงขอบขวาบนของ HyperX Alloy Origins
เมื่อเสียบใช้งานครั้งแรก โปรไฟล์สีที่ตั้งมาตอนแรกก็จะเป็นสีรุ้งแบบนี้มาเลยครับ สดใสสุด ๆ ส่วนตัวบอดี้ที่เป็นอลูมินัม เท่าที่ใช้งานดู ก็ไม่ค่อยเจอปัญหาไฟดูดเท่าไหร่ จะมีจี๊ด ๆ บ้างตอนไปจับตรงขอบของคีย์บอร์ดครับ ส่วนในการพิมพ์ การเล่นเกม ไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ที่มุมขวาบนข้างโลโก้ HyperX ก็จะเป็นจอ LCD เล็ก ๆ สำหรับแสดงสถานการณ์ทำงานของปุ่ม Numlock, Caps lock และก็โหมดเกม ซึ่งถ้าเปิดอยู่ ไฟก็จะติดที่บนหน้าจอนี้ โดยโหมดเกมก็จะเป็นการเปิดใช้งานฟังก์ชัน 100% anti-ghosting และ N-key rollover เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และสามารถส่ง input จากทุกปุ่มที่กดได้ ซึ่งจะเปิดระหว่างใช้งานทั่วไปก็ได้ครับ
ไฟ RGB ของ HyperX Alloy Origins สามารถปรับระดับความสว่างได้ 4 ระดับ (รวมปิดไฟ เท่ากับปรับได้ทั้งหมด 5 ระดับ) โดยในภาพซ้ายสุดคือเปิดไฟหรี่สุด ส่วนภาพขวาคือเปิดไฟสว่างสุด ส่วนการปรับระดับก็สามารถทำได้จากตัวคีย์บอร์ดเลย ด้วยการกดปุ่ม Fn + ลูกศรขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่าง และปุ่ม Fn + ลูกศรลงเพื่อลดความสว่าง หรือจะปรับจากโปรแกรมก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟที่ลอดออกมาตามตัวอักษรบนแต่ละปุ่มจะชัดเจนที่แถวบนครับ ส่วนแถวล่างก็จะมืดกว่ากันนิดนึง
ซึ่งนอกเหนือจากไฟ RGB แบบสีรุ้งแล้ว HyperX Alloy Origins ก็รองรับการแสดงไฟในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย โดยเบื้องต้นก็จะมีการตั้งค่ามาให้ 3 โปรไฟล์ สามารถสลับได้โดยการกดปุ่ม Fn+ F1 หรือ F2 หรือ F3 ส่วนถ้าต้องการปรับแต่งเป็นพิเศษ หรือต้องการรูปแบบอื่น ๆ ก็ต้องไปตั้งค่าจากโปรแกรม NGENUITY แทน
โปรแกรม HyperX NGENUITY สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้จาก
ลิงก์นี้ ซึ่งเป็นแอปบน Windows Store
เมื่อติดตั้งและเปิดขึ้นมาแล้ว ตัวโปรแกรมก็จะมีข้อมูลคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins มาให้พร้อมปรับการทำงานได้ทันที ซึ่งจะมีด้วยกันสองแท็บหลัก ๆ คือ Lights สำหรับปรับรูปแบบของไฟ RGB กับแท็บ Keys สำหรับปรับการทำงานของแต่ละปุ่ม ส่วนฝั่งขวามือก็จะมีปุ่มปรับความสว่างไฟ RGB, ปุ่มตั้งค่าการทำงานของโหมดเกม และก็ปุ่มเข้าไปจัดการ preset ที่เก็บโปรไฟล์ไว้ สามารถซิงค์ และนำเข้า preset จากที่อื่นมาใช้งานได้ด้วย
โดยในการปรับค่าของไฟ RGB นั้น ก็จะมีทั้งการปรับรูปแบบ effect การแสดงผล ตัวเลือกว่าจะปรับทั้งหมดหรือปรับแค่บางส่วน ปรับสีสัน ปรับความเร็ว เป็นต้น
สำหรับ effect ที่มีให้ก็มีหลายแบบเหมือนกันครับ ทั้งแบบกระพริบคล้ายจังหวะการหายใจ แบบกระพริบตามการกด เป็นต้น
ส่วนการตั้งค่าของโหมดเกมก็สามารถเลือกได้เลยว่าถ้าเปิดโหมดเกม จะให้ฟังก์ชันของปุ่มคู่ไหนไม่ทำงานบ้าง เช่น อาจจะตั้งค่าให้ Alt+F4 ไม่ทำงาน เพื่อป้องกันการเผลอกดปิดเกม
ส่วนการปรับในแท็บ Keys ก็จะเป็นการให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้าที่ของแต่ละปุ่มได้อิสระเลย เช่นอาจจะอยากให้ปุ่ม Q ใช้สำหรับเปิดโปรแกรมที่ต้องการก็ทำได้จากในเมนูนี้ จะตั้งมาโคร จะใช้เป็นปุ่มแทนเมาส์ก็ทำได้ หรือจะปิดการใช้งานปุ่มนั้น ๆ ไปเลยก็ยังได้
สำหรับในการเล่นเกม ด้วย HyperX Alloy Origins ก็ต้องบอกเลยว่าโดดเด่นในเรื่องการตอบสนองจริง ๆ ครับ ด้วยการเลือกใช้ HyperX Red switch ที่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสวิตช์แบบที่ใช้แรงกดน้อย ระยะการกดค่อนข้างสั้น ทำให้สามารถสั่งงานในการเล่นเกมได้เร็ว ทั้งยังไม่มีเสียงแต๊ก ๆๆๆๆ ด้วย
ฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ที่ให้มาใน HyperX Alloy Origins ก็ให้มาในระดับที่พอดีสำหรับทั้งการใช้เล่นเกม และการใช้งานทั่วไป มีปุ่มมัลติมีเดีย มีปุ่มสำหรับปรับการแสดงของไฟ RGB ได้จากคีย์บอร์ดเลย ทำให้การใช้งานค่อนข้างสะดวก
สนนราคา : 3,990 บาท
ข้อดี
· น้ำหนักเบา กะทัดรัด พกพาสะดวก แข็งแกร่งด้วยบอดี้ที่ทำจากอลูมินัมเกรดอากาศยาน
· ไฟ RGB แบบแยกปุ่ม สามารถปรับแต่งได้อิสระ
· สวิตช์ HyperX Red switch ให้การตอบสนองที่ดี การใช้งานไม่ต่างจากสวิตช์ที่หลายคนคุ้นเคย
· หัวต่อเป็นแบบ USB-C สามารถใช้สายชาร์จมือถือรุ่นใหม่ ๆ แทนชั่วคราวได้
· ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ใช้ปรับแต่งได้ง่าย ฟังก์ชันไม่ซับซ้อน
ข้อสังเกต
· ไม่มีร่องเก็บสายที่ด้านล่างของคีย์บอร์ด (เพราะพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ตรงริมสุด)
· ตรงขอบ ๆ ยังมีจุดที่ไฟดูดอยู่บ้างเล็กน้อย
[SR] รีวิว HyperX Alloy Origins คีย์บอร์ด mechanical ไฟ RGB ที่ใช้สวิตช์ของ HyperX เองรุ่นแรก
กล่องของ HyperX Alloy Origins ก็จะมาในสไตล์ขาวแดง ตัดกับคีย์บอร์ดสีดำ ซึ่งเป็นสไตล์เอกลักษณ์ของทาง HyperX ซึ่งบนหน้ากล่องก็จะมีทั้งชื่อรุ่น รวมถึงประเภทของสวิตช์ระบุมาให้ชัดเจน โดยรุ่นที่ใช้ในบทความรีวิวนี้ จะเป็น HyperX Alloy Origins ที่ใช้สวิตช์ HyperX Red switch ครับ ซึ่งสวิตช์ประเภทนี้จะเป็นแบบ linear คือกดลงไปได้ตรง ๆ ไม่มีกลไกหรือลิ้นขัดข้างใน ทำให้ตอนใช้งานจะไม่มีเสียงคลิก ๆๆๆ ที่ค่อนข้างดังจนอาจทำให้หลายคนรำคาญ
พอพลิกมาด้านหลังก็จะพบกับจุดเด่นของ HyperX Alloy Origins ด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ สายเชื่อมต่อเป็นแบบ USB-C, โครงสร้างและบอดี้ของตัวคีย์บอร์ด ใช้เป็นอลูมินับเกรดที่ใช้ในระดับอากาศยาน, สวิตช์ HyperX และก็ขาตั้งที่ทำให้สามารถปรับองศาการเอียงของคีย์บอร์ดได้ 3 ระดับ
เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา ก็จะพบกับตัวคีย์บอร์ดอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนสาย USB-C จะอยู่ในช่องด้านบน โดยสเปคของ HyperX Alloy Origins ก็ได้แก่
· ใช้สวิตช์ HyperX Red น้ำหนักแรงกด 45g รองรับการกดได้ 80 ล้านครั้ง
· ระยะการกด 1.8 มม.
· ไฟ RGB 16.7 ล้านสี แบบแยกปุ่ม สามารถปรับระดับความสว่างได้ 5 ระดับ
· รองรับ anti-ghosting แบบ 100% และรองรับ n-key rollover
· เมมโมรี่ในตัว เก็บข้อมูลโปรไฟล์ได้ 3 โปรไฟล์
· เชื่อมต่อผ่านสาย USB-C
อุปกรณ์เสริมที่ให้มาในกล่องก็มีแค่สาย USB-C เส้นเดียวครับ เป็นสายถักยาว 1.8 เมตร ปลายอีกข้างจะเป็นหัว USB-A ปกติ
หน้าตาของ HyperX Alloy Origins ก็จะเป็นทรงแบบฟูลไซส์ มีการแยกชุดปุ่มกดชัดเจน ทั้งปุ่มตัวอักษร ปุ่มตัวเลข ปุ่มฟังก์ชัน ปุ่มทิศทาง ส่วนสถานการณ์ทำงานของพวกปุ่ม numlock จะไปอยู่ตรงจอมุมขวาบนแทน ส่วนบอดี้ที่เป็นอลูมินัมก็ทำออกมาได้ดี ให้ความรู้สึกพรีเมียม ผิวสัมผัสสากมือเล็กน้อย และที่สำคัญคือน้ำหนักเบากว่าที่คิดมาก (หนักประมาณ 1 กิโลกรัม) ซึ่งน่าจะเบากว่าคีย์บอร์ด mechanical หลาย ๆ รุ่นในตลาดอยู่เหมือนกัน ส่วนขนาดก็ค่อนข้างกะทัดรัดมาก ๆ ด้วย
ตัวปุ่มเป็นแบบ high profile มีการเว้าส่วนบนรับปลายนิ้วได้พอดี ตัวปุ่มขนาดกลาง ๆ ครับ ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป
มีการสกรีนตัวอักษรภาษาไทยมาให้เรียบร้อย
เมื่อแกะ keycap ขึ้นมา ก็จะพบกับสวิตช์ HyperX Red พร้อมหลอดไฟ LED ติดแยกแต่ละปุ่ม ส่วนตัวเนื้อคีย์แคปเองก็หนาพอประมาณ เก็บงานภายในแต่ละปุ่มได้เรียบร้อยดี
ด้วยระยะการกดอยู่ที่ประมาณ 1.8 มม. ทำให้การกดเพียงแค่นิดเดียว ก็สามารถสั่งงาน พิมพ์ตามที่ต้องการได้แล้ว อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องการใช้พิมพ์แบบเร็ว ๆ ส่วนคนที่ใช้เล่นเกมก็อาจจะเป็นคนที่ต้องการการตอบสนองที่เร็ว ส่วนสัมผัสการกดเท่าที่ผมทดสอบดู รู้สึกว่า HyperX Alloy Origins ที่ใช้ red switch จะใช้แรงกดเบากว่าคีย์บอร์ดที่ใช้ Cherry MX red switch อยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะตรงจุดที่เริ่มลงน้ำหนัก ทำให้กดลงไปได้ง่ายกว่า เร็วกว่า แต่ก็ต่างกันแบบน้อยจริง ๆ ครับ
ด้านหลังก็เรียบ ๆ มีแป้นยางรองให้ 4 มุม ส่วนขาตั้งก็สามารถพลิกออกมาเพื่อเพิ่มองศาความเอียงให้กับตัวคีย์บอร์ดได้
ซึ่งขาตั้งนี้สามารถปรับระดับได้ 2 แบบครับ ดึงออกมาไม่ยากนัก แต่ก็ล็อกตัวได้แข็งแรงอยู่เหมือนกัน
โดยในภาพซ้ายสุด จะเป็นแบบไม่ได้กางขาออกมา ตัวคีย์บอร์ดจะมีองศาการเอียงอยู่ที่ 3 องศา ภาพกลางคือดึงขาเล็กออกมา (7 องศา) และภาพขวาสุดเป็นการดึงขาใหญ่ออกมา (11 องศา)
ตัวพอร์ต USB-C อยู่ตรงขอบขวาบนของ HyperX Alloy Origins
เมื่อเสียบใช้งานครั้งแรก โปรไฟล์สีที่ตั้งมาตอนแรกก็จะเป็นสีรุ้งแบบนี้มาเลยครับ สดใสสุด ๆ ส่วนตัวบอดี้ที่เป็นอลูมินัม เท่าที่ใช้งานดู ก็ไม่ค่อยเจอปัญหาไฟดูดเท่าไหร่ จะมีจี๊ด ๆ บ้างตอนไปจับตรงขอบของคีย์บอร์ดครับ ส่วนในการพิมพ์ การเล่นเกม ไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ที่มุมขวาบนข้างโลโก้ HyperX ก็จะเป็นจอ LCD เล็ก ๆ สำหรับแสดงสถานการณ์ทำงานของปุ่ม Numlock, Caps lock และก็โหมดเกม ซึ่งถ้าเปิดอยู่ ไฟก็จะติดที่บนหน้าจอนี้ โดยโหมดเกมก็จะเป็นการเปิดใช้งานฟังก์ชัน 100% anti-ghosting และ N-key rollover เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และสามารถส่ง input จากทุกปุ่มที่กดได้ ซึ่งจะเปิดระหว่างใช้งานทั่วไปก็ได้ครับ
ไฟ RGB ของ HyperX Alloy Origins สามารถปรับระดับความสว่างได้ 4 ระดับ (รวมปิดไฟ เท่ากับปรับได้ทั้งหมด 5 ระดับ) โดยในภาพซ้ายสุดคือเปิดไฟหรี่สุด ส่วนภาพขวาคือเปิดไฟสว่างสุด ส่วนการปรับระดับก็สามารถทำได้จากตัวคีย์บอร์ดเลย ด้วยการกดปุ่ม Fn + ลูกศรขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่าง และปุ่ม Fn + ลูกศรลงเพื่อลดความสว่าง หรือจะปรับจากโปรแกรมก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟที่ลอดออกมาตามตัวอักษรบนแต่ละปุ่มจะชัดเจนที่แถวบนครับ ส่วนแถวล่างก็จะมืดกว่ากันนิดนึง
ซึ่งนอกเหนือจากไฟ RGB แบบสีรุ้งแล้ว HyperX Alloy Origins ก็รองรับการแสดงไฟในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย โดยเบื้องต้นก็จะมีการตั้งค่ามาให้ 3 โปรไฟล์ สามารถสลับได้โดยการกดปุ่ม Fn+ F1 หรือ F2 หรือ F3 ส่วนถ้าต้องการปรับแต่งเป็นพิเศษ หรือต้องการรูปแบบอื่น ๆ ก็ต้องไปตั้งค่าจากโปรแกรม NGENUITY แทน
โปรแกรม HyperX NGENUITY สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้จาก ลิงก์นี้ ซึ่งเป็นแอปบน Windows Store
เมื่อติดตั้งและเปิดขึ้นมาแล้ว ตัวโปรแกรมก็จะมีข้อมูลคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins มาให้พร้อมปรับการทำงานได้ทันที ซึ่งจะมีด้วยกันสองแท็บหลัก ๆ คือ Lights สำหรับปรับรูปแบบของไฟ RGB กับแท็บ Keys สำหรับปรับการทำงานของแต่ละปุ่ม ส่วนฝั่งขวามือก็จะมีปุ่มปรับความสว่างไฟ RGB, ปุ่มตั้งค่าการทำงานของโหมดเกม และก็ปุ่มเข้าไปจัดการ preset ที่เก็บโปรไฟล์ไว้ สามารถซิงค์ และนำเข้า preset จากที่อื่นมาใช้งานได้ด้วย
โดยในการปรับค่าของไฟ RGB นั้น ก็จะมีทั้งการปรับรูปแบบ effect การแสดงผล ตัวเลือกว่าจะปรับทั้งหมดหรือปรับแค่บางส่วน ปรับสีสัน ปรับความเร็ว เป็นต้น
สำหรับ effect ที่มีให้ก็มีหลายแบบเหมือนกันครับ ทั้งแบบกระพริบคล้ายจังหวะการหายใจ แบบกระพริบตามการกด เป็นต้น
ส่วนการตั้งค่าของโหมดเกมก็สามารถเลือกได้เลยว่าถ้าเปิดโหมดเกม จะให้ฟังก์ชันของปุ่มคู่ไหนไม่ทำงานบ้าง เช่น อาจจะตั้งค่าให้ Alt+F4 ไม่ทำงาน เพื่อป้องกันการเผลอกดปิดเกม
ส่วนการปรับในแท็บ Keys ก็จะเป็นการให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้าที่ของแต่ละปุ่มได้อิสระเลย เช่นอาจจะอยากให้ปุ่ม Q ใช้สำหรับเปิดโปรแกรมที่ต้องการก็ทำได้จากในเมนูนี้ จะตั้งมาโคร จะใช้เป็นปุ่มแทนเมาส์ก็ทำได้ หรือจะปิดการใช้งานปุ่มนั้น ๆ ไปเลยก็ยังได้
สำหรับในการเล่นเกม ด้วย HyperX Alloy Origins ก็ต้องบอกเลยว่าโดดเด่นในเรื่องการตอบสนองจริง ๆ ครับ ด้วยการเลือกใช้ HyperX Red switch ที่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสวิตช์แบบที่ใช้แรงกดน้อย ระยะการกดค่อนข้างสั้น ทำให้สามารถสั่งงานในการเล่นเกมได้เร็ว ทั้งยังไม่มีเสียงแต๊ก ๆๆๆๆ ด้วย
ฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ที่ให้มาใน HyperX Alloy Origins ก็ให้มาในระดับที่พอดีสำหรับทั้งการใช้เล่นเกม และการใช้งานทั่วไป มีปุ่มมัลติมีเดีย มีปุ่มสำหรับปรับการแสดงของไฟ RGB ได้จากคีย์บอร์ดเลย ทำให้การใช้งานค่อนข้างสะดวก
สนนราคา : 3,990 บาท
ข้อดี
· น้ำหนักเบา กะทัดรัด พกพาสะดวก แข็งแกร่งด้วยบอดี้ที่ทำจากอลูมินัมเกรดอากาศยาน
· ไฟ RGB แบบแยกปุ่ม สามารถปรับแต่งได้อิสระ
· สวิตช์ HyperX Red switch ให้การตอบสนองที่ดี การใช้งานไม่ต่างจากสวิตช์ที่หลายคนคุ้นเคย
· หัวต่อเป็นแบบ USB-C สามารถใช้สายชาร์จมือถือรุ่นใหม่ ๆ แทนชั่วคราวได้
· ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ใช้ปรับแต่งได้ง่าย ฟังก์ชันไม่ซับซ้อน
ข้อสังเกต
· ไม่มีร่องเก็บสายที่ด้านล่างของคีย์บอร์ด (เพราะพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ตรงริมสุด)
· ตรงขอบ ๆ ยังมีจุดที่ไฟดูดอยู่บ้างเล็กน้อย
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้