สวัสดีครับนี่เป็นรีวิวแรกของผม ล่าสุดผมได้คีย์บอร์ดตัวใหม่มาในราคา 3,900 บาท เหตุผลที่ผม (จำใจซื้อ) คีย์บอร์ดตัวใหม่ก็คือคีย์บอร์ดตัวเก่าไม่ขอเอ่ยแบรนด์ที่เป็น Mechanical Keyboard ตัวแรกที่ผมใช้ ใช้สวิชต์แบบ KHEL Blue Switch ซื้อมาในราคา 2,500 บาทแต่พอใช้ไปจนหมดประกันแล้วมันเบิ้ลกระจุยกระจาย ทำผมหัวร้อน เลยจำใจกัดฟันซื้อคีย์บอร์ดใหม่ ซึ่งโจทย์ของผมก็คือ ใช้สวิชต์ Cherry MX Blueมีไฟลอดสีแดงหรือ RGB ไร้ขอบ ปุ่มลอย วัสดุดี ราคาไม่เกิน 4,000 บาท และผมก็ไม่ซีเรียสเรื่องซอฟแวร์
หลังจากที่ผมดูมาหลายรุ่นที่หลาย ๆ คนแนะนำมาทั้ง CORSAIR STRAFE RED, TT Sport MEGA PRO, RAZER BLACKWIDOW ULTIMATE และ KINGSTON HYPER X ALLOY FPS ซึ่งดู ๆ แล้วถ้ามองตามความต้องการของผม หวยก็เลยมาออกที่ KINGSTON HYPER X ALLOY FPS ที่ตรงกับสเปคผมมากที่สุด แต่ตัวนี้มีข้อเสียหลัก ๆ คือไม่มี Key Thai ซึ่งไม่มีปัญหาสำหรับผมเพราะปกติผมใช้งานพิมพ์สัมผัสเป็นหลัก
จัดมาแบบอุ่น ๆ กับหน้าตากล่องที่ดูแล้วไม่หวือหวาอะไรมากมายนัก เน้นโทนสีดำแดง โชว์ตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจนเน้นสกรีนเป็นมันเงา ส่วนด้านหลังก็ก็มีบอกฟีเจอร์ต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน
ตัวกล่องจะเป็นแบบ 2 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นกล่องสวม สาวนด้านในเป็นกล่องลูกฟูกแข็งสีดำมะเมื่อม เมื่อเปิดออกมาปั๊บถึงกับเซอร์ไพรส์ สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างก็คือเค้าแถมซองผ้าสำหรับใส่คีย์บอร์ดมาให้ด้วย ถือเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตของผมเอง น้ำตาจะไหล
เมื่อหยิบซองผ้าออกจะพบกับ คู่มือผู้ใช้ ซึ่งคู่มือนี้จะบอกวิธีการเซตค่าและการทำงานของปุ่มต่าง ๆ ทั้งหมดของคีย์บอร์ด เรียกได้ว่ามันคือคัมภีร์ของคีย์บอร์ดตัวนี้เลยทีเดียวถ้ายังใช้ไม่คล่องห้ามทำหายเด็ดขาด เพราะว่าคีย์บอร์ดตัวนี้ จะไม่มีซอฟแแวร์ควบคุม จะเป็นการสั่งงานผ่านค่างคีย์ลัดบนคีย์บอร์ดล้วน ๆ
บันเดิ้ลอีก 2 อย่างที่แถมมา อย่างแรกเป็นคีย์แคปแบบเกมมิ่ง สีแดง สวยงาม พร้อมใครชอบก็สามารถเปลี่ยนได้
และอีกอย่างคือส่งที่ต้องใช้คือสายไฟคีย์บอร์ดแบบ 2 หัว แต่ให้มาทำไม 2 หัวเดี๋ยวเฉลยอีกที
ตัวคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน Full Key 104 ปุ่ม เรียงปุ่มแบบ QWERTY สามารถพิมพ์สัมผัสได้อย่างสบาย ๆ ตัวคีย์บอร์ดแบบ Frame Less หรือไร้ขอบ วางปุ่มแบบปุ่มลอย ฐานคีย์บอร์ดเป็นวัสดุอัลลอย จับไปเย็นเฉียบ แต่ผมว่าบ้านใครไม่ได้ต่อสายดินอาจจะโดนไฟดูดแน่นอน 55555+
สำหรับปุ่มกดเป็นคีย์แคปแบบไฟลอด ถอดออกมาได้ ง่ายเพียงมือดึง ซึ่งจะเผยให้เห็น Switch แบบ Cherry MX Blue Switch พร้อมกับหลอดไฟ LED สีแดงให้สัมผัส 2 จังหวะตามสไตล์ Blue Switch ใช้แรงกดเพียง 50 กรัม
ด้านหลังคีย์บอร์ด จะมีพอร์ตให้มา 2 พอร์ต คือ USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ และ MINI USB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และนี่คือเหตุผลที่คีย์บอร์ดรุ่นนี้ต้องใช้สาย USB 2 ตัวในการเชื่อมต่อเพราะสายนึงเป็นสายข้อมูล อีกสายเป็นสายสำหรับชาร์จไฟโดยเฉพาะ
ถ่ายรูปกับงูเขียว ดูเฟี้ยวดีไม่หยอก และเราจะมาลองใช้งานเล่นเกมกันดูบ้าง ซึ่งปกติแล้วผมเล่นเกมแนว FPS เป็นหลัก ซึ่ง MOBA บ้างเป็นบางครั้ง
สักครู่ผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากที่ได้ลง Rank ในเกม CS:GO ผมก็สัมผัสได้ถึงความร้อน....จากคีย์บอร์ดหรอ....จากหัวตูนี่แหละ....ตึกโป๊ะ!!!
ถึงแม้ว่าเกมจะแพ้แต่คนยังไม่แพ้ครับ จากที่ได้ทดลองเล่นเกมมาก็ถือว่าคีย์บอร์ดตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติด ไม่มีอาการหลอน หรือสะดุดให้เห็นแต่อย่างใดซึ่งเสียงคีย์บอร์ดแบบ Blue Switch ยังคงดังกังวานตามสไลต์ Cherry ซึ่งถ้ามีคนอื่นอยู่ไกล้ ๆ คงจะเป็นการรบกวนอย่างมากแน่น ๆ เพราะเสียงเวลากดรัว ๆ ค่อนข้างลั่นน่ารำคาน แต่ในมุมมองของผู้ใช้งานถือว่ากดได้อย่างเมามันส์มาก อีกทั้งการพิมพ์สัมผัสก็สามารถทำความคุ้นเคยได้อย่างง่าย ๆ ไม่แตกต่างจากคีย์บอร์ดเก่า
ในส่วนของแสงไฟสามารถปรับค่าความสว่างได้ และปรับแต่งแสงไฟได้ถึง 5 โหมดด้วยกัน เช่นโหมด หยดน้ำ, Wave, Fade ฯลฯ ซึ่งจากการลองล่นเกมผมว่าใช้แค่โหมด Fade หรือไม่ก็ไฟติดค้างจะดีกว่าเพราะไม่เป็นการรบกวนสายตามากนักอีกทั้งยังทำให้เห็นปุ่มได้อย่างชันเจนในที่มีแสงน้อย
ถ้ามีคนถามว่าคีย์บอร์ดตัวนี้คุ้มไหม ผมตอบว่าก็คุ้มค่านะครับ เพราะว่าเป็นคีย์บอร์ดที่โดนใจตามสเปคผมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีราคาไม่เกิน 4,000 บาท
เหมาะสำหรับคนชอบคีย์บอร์ด Full Size ขนาดกระทัดรัด ไม่กินพื้นที่มากนัก เพราะคีย์บอร์ดตัวนี้ไร้ขอบ อีกทั้งยังสามารถพกพาได้สะดวกมีถุงใส่ให้พร้อม แต่สำหรับผมคงไม่ขนไปเล่นที่ไหนหรอกครับ เล่นอยู่แต่ในห้องนี่แหละ อีกอย่างสุดท้ายที่ผมชอบคือพอร์ตชาร์จไฟ ทำให้ผมสามารถชาร์จไฟผ่านหน้าคอมได้ง่าย เป็นฟีเจอร์ที่ผมมองข้ามแต่กลับว่าเมื่อได้ลองใช้ถือว่าสะดวกมาก ๆ
ส่วนความคงทนอันนี้ผมยังตอบไม่ได้เพราะว่าเพิ่มได้เริ่มใช้งาน แต่ด้วยประสิทธิภาพของ Cherry MX นั้นสามารถเชื่อถือได้ เพราะหลาย ๆ คนคงรู้สรรพคุณกันดีสุดท้ายนี้นะครับ ก็ฝากรีวิวแรกของผมมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถือว่ามาแนะนำคีย์บอร์ดอีกรุ่นหนึ่งให้เพื่อน ๆ ได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อคีย์บอร์ดคู่ใจ
[CR] [Review] รีวิวคีย์บอร์ดตัวใหม่ของผม "KINGSTON HYPER X ALLOY FPS"
หลังจากที่ผมดูมาหลายรุ่นที่หลาย ๆ คนแนะนำมาทั้ง CORSAIR STRAFE RED, TT Sport MEGA PRO, RAZER BLACKWIDOW ULTIMATE และ KINGSTON HYPER X ALLOY FPS ซึ่งดู ๆ แล้วถ้ามองตามความต้องการของผม หวยก็เลยมาออกที่ KINGSTON HYPER X ALLOY FPS ที่ตรงกับสเปคผมมากที่สุด แต่ตัวนี้มีข้อเสียหลัก ๆ คือไม่มี Key Thai ซึ่งไม่มีปัญหาสำหรับผมเพราะปกติผมใช้งานพิมพ์สัมผัสเป็นหลัก
จัดมาแบบอุ่น ๆ กับหน้าตากล่องที่ดูแล้วไม่หวือหวาอะไรมากมายนัก เน้นโทนสีดำแดง โชว์ตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจนเน้นสกรีนเป็นมันเงา ส่วนด้านหลังก็ก็มีบอกฟีเจอร์ต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน
ตัวกล่องจะเป็นแบบ 2 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นกล่องสวม สาวนด้านในเป็นกล่องลูกฟูกแข็งสีดำมะเมื่อม เมื่อเปิดออกมาปั๊บถึงกับเซอร์ไพรส์ สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างก็คือเค้าแถมซองผ้าสำหรับใส่คีย์บอร์ดมาให้ด้วย ถือเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตของผมเอง น้ำตาจะไหล
เมื่อหยิบซองผ้าออกจะพบกับ คู่มือผู้ใช้ ซึ่งคู่มือนี้จะบอกวิธีการเซตค่าและการทำงานของปุ่มต่าง ๆ ทั้งหมดของคีย์บอร์ด เรียกได้ว่ามันคือคัมภีร์ของคีย์บอร์ดตัวนี้เลยทีเดียวถ้ายังใช้ไม่คล่องห้ามทำหายเด็ดขาด เพราะว่าคีย์บอร์ดตัวนี้ จะไม่มีซอฟแแวร์ควบคุม จะเป็นการสั่งงานผ่านค่างคีย์ลัดบนคีย์บอร์ดล้วน ๆ
บันเดิ้ลอีก 2 อย่างที่แถมมา อย่างแรกเป็นคีย์แคปแบบเกมมิ่ง สีแดง สวยงาม พร้อมใครชอบก็สามารถเปลี่ยนได้
และอีกอย่างคือส่งที่ต้องใช้คือสายไฟคีย์บอร์ดแบบ 2 หัว แต่ให้มาทำไม 2 หัวเดี๋ยวเฉลยอีกที
ตัวคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน Full Key 104 ปุ่ม เรียงปุ่มแบบ QWERTY สามารถพิมพ์สัมผัสได้อย่างสบาย ๆ ตัวคีย์บอร์ดแบบ Frame Less หรือไร้ขอบ วางปุ่มแบบปุ่มลอย ฐานคีย์บอร์ดเป็นวัสดุอัลลอย จับไปเย็นเฉียบ แต่ผมว่าบ้านใครไม่ได้ต่อสายดินอาจจะโดนไฟดูดแน่นอน 55555+
สำหรับปุ่มกดเป็นคีย์แคปแบบไฟลอด ถอดออกมาได้ ง่ายเพียงมือดึง ซึ่งจะเผยให้เห็น Switch แบบ Cherry MX Blue Switch พร้อมกับหลอดไฟ LED สีแดงให้สัมผัส 2 จังหวะตามสไตล์ Blue Switch ใช้แรงกดเพียง 50 กรัม
ด้านหลังคีย์บอร์ด จะมีพอร์ตให้มา 2 พอร์ต คือ USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ และ MINI USB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และนี่คือเหตุผลที่คีย์บอร์ดรุ่นนี้ต้องใช้สาย USB 2 ตัวในการเชื่อมต่อเพราะสายนึงเป็นสายข้อมูล อีกสายเป็นสายสำหรับชาร์จไฟโดยเฉพาะ
ถ่ายรูปกับงูเขียว ดูเฟี้ยวดีไม่หยอก และเราจะมาลองใช้งานเล่นเกมกันดูบ้าง ซึ่งปกติแล้วผมเล่นเกมแนว FPS เป็นหลัก ซึ่ง MOBA บ้างเป็นบางครั้ง
สักครู่ผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากที่ได้ลง Rank ในเกม CS:GO ผมก็สัมผัสได้ถึงความร้อน....จากคีย์บอร์ดหรอ....จากหัวตูนี่แหละ....ตึกโป๊ะ!!!
ถึงแม้ว่าเกมจะแพ้แต่คนยังไม่แพ้ครับ จากที่ได้ทดลองเล่นเกมมาก็ถือว่าคีย์บอร์ดตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติด ไม่มีอาการหลอน หรือสะดุดให้เห็นแต่อย่างใดซึ่งเสียงคีย์บอร์ดแบบ Blue Switch ยังคงดังกังวานตามสไลต์ Cherry ซึ่งถ้ามีคนอื่นอยู่ไกล้ ๆ คงจะเป็นการรบกวนอย่างมากแน่น ๆ เพราะเสียงเวลากดรัว ๆ ค่อนข้างลั่นน่ารำคาน แต่ในมุมมองของผู้ใช้งานถือว่ากดได้อย่างเมามันส์มาก อีกทั้งการพิมพ์สัมผัสก็สามารถทำความคุ้นเคยได้อย่างง่าย ๆ ไม่แตกต่างจากคีย์บอร์ดเก่า
ในส่วนของแสงไฟสามารถปรับค่าความสว่างได้ และปรับแต่งแสงไฟได้ถึง 5 โหมดด้วยกัน เช่นโหมด หยดน้ำ, Wave, Fade ฯลฯ ซึ่งจากการลองล่นเกมผมว่าใช้แค่โหมด Fade หรือไม่ก็ไฟติดค้างจะดีกว่าเพราะไม่เป็นการรบกวนสายตามากนักอีกทั้งยังทำให้เห็นปุ่มได้อย่างชันเจนในที่มีแสงน้อย
ถ้ามีคนถามว่าคีย์บอร์ดตัวนี้คุ้มไหม ผมตอบว่าก็คุ้มค่านะครับ เพราะว่าเป็นคีย์บอร์ดที่โดนใจตามสเปคผมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีราคาไม่เกิน 4,000 บาท
เหมาะสำหรับคนชอบคีย์บอร์ด Full Size ขนาดกระทัดรัด ไม่กินพื้นที่มากนัก เพราะคีย์บอร์ดตัวนี้ไร้ขอบ อีกทั้งยังสามารถพกพาได้สะดวกมีถุงใส่ให้พร้อม แต่สำหรับผมคงไม่ขนไปเล่นที่ไหนหรอกครับ เล่นอยู่แต่ในห้องนี่แหละ อีกอย่างสุดท้ายที่ผมชอบคือพอร์ตชาร์จไฟ ทำให้ผมสามารถชาร์จไฟผ่านหน้าคอมได้ง่าย เป็นฟีเจอร์ที่ผมมองข้ามแต่กลับว่าเมื่อได้ลองใช้ถือว่าสะดวกมาก ๆ
ส่วนความคงทนอันนี้ผมยังตอบไม่ได้เพราะว่าเพิ่มได้เริ่มใช้งาน แต่ด้วยประสิทธิภาพของ Cherry MX นั้นสามารถเชื่อถือได้ เพราะหลาย ๆ คนคงรู้สรรพคุณกันดีสุดท้ายนี้นะครับ ก็ฝากรีวิวแรกของผมมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถือว่ามาแนะนำคีย์บอร์ดอีกรุ่นหนึ่งให้เพื่อน ๆ ได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อคีย์บอร์ดคู่ใจ