[CR] 33ปี ยังไม่สายที่จะกลับไปหาเขา(หลวง)

 2529 มัธยมของฉัน 
     มอหก ชั้นเรียนสุดท้ายในวัยมัธยม มักจะเป็นปีที่มีกิจกรรมหลากหลายในกลุ่มเพื่อนร่วมห้องร่วมชั้น เพราะตระหนักถึงวันเวลาที่จะอยู่ร่วมกันเริ่มลดน้อยถอยลง สมัยนั้น ไม่มีอะไรเน็ตเนิต อะไรให้เล่น กิจกรรมหลักๆของเด็กต่างจังหวัดโซนภาคเหนือก็จะมีแต่ขึ้นเขาลงห้วย เล่นน้ำตก
เมื่อจะเรียนจบทั้งที ก็ถือโอกาสพิเศษ  กิจกรรมพื้นๆธรรมดาได้ที่ไหน ต้องเล่นของสูง
  มติห้องเราเลือกขึ้น “เขาหลวง” พิกัดอำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นตัวตั้งตัวตี 
ไม่มีข้อมูลอะไรมากมายในหัว รู้แต่ว่า ต้องนอนโรงนอน ฟากไม้ไผ่ ต้องทำอาหารกินเอง 
  แบกขึ้นไปกันเองทุกอย่างเพราะสมัยนั้นไม่มีลูกหาบ ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง เส้นก๋วยเตี๋ยวหลากชนิด เพราะมีเพื่อนเป็นลูกเจ้าของโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว แล้วไม่รู้ไอเดียใคร ให้เอาถังแก๊สปิคนิค ขึ้นไปด้วย อย่างหรู ดูสบาย ไม่ต้องก่อกองไฟทำอาหาร
    เหตุการณ์หลังจากนั้นคือความทรมานทรกรรมเพราะความ ไม่มีข้อมูล ทำให้การเตรียมตัวไม่เหมาะสม ทุกคนต้องแบกสัมภาระส่วนตัว แถมด้วยของกองกลาง ไต่เขา โหนเถาวัลย์ ตุปัดตุเป๋ไปตามสมรรถนะของแต่ละคน 
    เมื่อถึงค่ำคืนนั่งคุยกันรอบกองไฟ ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายจากเหนื่อยล้าแล้ว  เพื่อนๆต่างพากันเล่าถึงความเหนื่อยของตัวเอง แต่เรื่องที่เราจำได้ ก็คือคุณเพื่อนที่รับหน้าที่หนึ่งในผู้แบกถังแก๊ส ที่ปัจจุบันเป็นนายตำรวจใหญ่ บอกว่าตรูอยากทิ้งถังแก๊สไว้ข้างทางใจจะขาด  คุณเพื่อนที่ขนเส้นก๋วยเตี๋ยวบอกว่า ตรูหิวจนจะกินเส้นดิบ เพราะไม่ได้เตรียมของกินระหว่างทาง แต่เพื่อนก็อดทน และพามันขึ้นมาถึงยอดเขาได้
  สำหรับเราความทรงจำที่เด่นชัดเสมอคือ  เขาหลวงยิ้มโคตรชัน..

มันคือตำนานสำหรับเรา เล่าอดีตเรื่องขึ้นเขาหลวงให้สามีฟัง ก็ดูเหมือนไม่มีความยากของที่ไหน ก็ไม่ลบล้างภูกระดึงของเธอได้ เราซึ่งไม่เคยไปภุกระดึง จึงตัดสินใจยกครอบครัวไปภูกระดึง ในปี 2556 เพื่อพิสูจน์ 
     สำหรับเรา ภูกระดึงไม่ได้เดินยาก แต่เดินเยอะ เพราะระยะทางไปแต่ละจุดชมวิว ห่างไกล จนรู้สึกว่า มันยังสวยไม่คุ้มเหนื่อย หากเราไม่เจอพระอาทิตย์กลมๆโตๆ ยามเช้า หรือยามเย็น  ซึ่งแน่นอน เราไม่เจอ   เมื่อกลับมาเราก็ยังยืนยันว่า เขาหลวงเดินยากกว่าเยอะ เราพิสูจน์แล้ว เหลือแต่ท่านเท่านั้น
      มันเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง  สิบคนเล่า ไม่เท่าไปเอง เราบอกคุณสามีไปแบบนั้น
     ขอบคุณโครงการ ชิมช้อปใช้ ที่มาในจังหวะที่ดี เราเลือกไปเที่ยวสุโขทัย ด้วยจุดหมายคือ พาครอบครัวไปขึ้นเขาหลวง ที่อำเภอ คีรีมาศ 
    ส่งข่าวในเฟสบุ๊คให้เพื่อนๆได้ทราบว่าเราจะกลับไปที่นั่น ไม่มีเพื่อนมอหกคนไหนในวันนั้น ยอมขึ้นเขาหลวงกับเราในวันนี้ ที่วัยล่วงเข้า 53 ปี 
มีแต่ส่งกำลังใจให้แบบไม่มั่นใจว่ามัน(เรา)จะขึ้นไปถึง 
    กลับมาเขาหลวงคราวนี้ด้วยข้อมูลมากมาย เตรียมข้าวของหยูกยา เสื้อผ้า ของกิน เช็คอากาศ เช็คลูกหาบกับเจ้าหน้าที่อุทยาน ว่ามีแน่ๆถ้าเป็นวันศุกร์ ถ้าเป็นวันหยุดต่อเนื่องต้องไปเช้าๆ เพราะลูกหาบมีจำกัด และไม่รับจองล่วงหน้า
 ทุกคนเฝ้ามองเราเตรียมของอย่างขำๆ จนคุณสามีเอ่ยปากกับลูกว่า “ค้างแค่คืนเดียว ดูแม่ตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปรำลึกความหลังสมัยมอหก เตรียมยิ่งกว่าทริปไปต่างประเทศอีกมั้งเนี่ย”
 เราไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่นึกในใจยิ้มๆว่า “คอยดูเถอะมึ้งงงง” ของจริงไม่พูดเยอะ  

วิวเส้นทางก่อนถึงอุทยาน
  ตัดตอนไปที่ทำการอุทยานฯรามคำแหง ตอนเกือบๆ 9 โมงเช้าวันศุกร์ ติดต่อลงทะเบียน เช่าเต๊นท์ แผ่นรองนอน มัดจำขยะ เสร็จแล้วขนทุกสิ่งอันที่เตรียมมา กองรวมเพื่อชั่งน้ำหนัก ให้ลูกหาบขนขึ้น วันนี้ลูกหาบหลายคนมานั่งรอนักท่องเที่ยว ลูกหาบคิวแรกมองกองสัมภาระเราที่ชั่งแล้วมีแค่ 17 กิโล ซึ่งถือว่าน้อยสำหรับสมาชิกสี่คน เลยเพิ่มน้ำเปล่าขวด 1.25 ลิตรไปเผื่อ ทั้งที่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าข้างบนมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ถึงกระนั้น น้ำหนัก ก็ยังไม่เพียงพอต่อหนึ่งเที่ยวของลูกหาบ  จึงต้องรอของนักท่องเที่ยวอื่นสมทบ  ลูกหาบเล่าว่า เสาร์ที่แล้ว มีทีมหนึ่งหิ้วของมากันเยอะ แต่จ้างขน ยี่สิบกิโล บอกว่าที่เหลือในทีมช่วยกันแบกเองไหว  แต่ระหว่างทางที่เดินขึ้น ก็เกิดอาการไม่ไหว ต้องนำมาฝากไว้กับลูกหาบ จนเขาเองก็ไม่อาจรับได้หมด แต่ถึงกระนั้น กว่าจะถึงลานกางเต๊นท์  น้ำหนักของที่ลูกหาบขน ก็งอกจาก ยี่สิบกิโลไปเป็นสี่สิบกิโล 
  สำหรับทีมบ้านเรา สิ่งที่อยู่ในเป้ของแต่ละคน มีแค่ข้าวเหนียวสำหรับมื้อกลางวันและขวดน้ำเล็กๆ มียาอม ยาดมยาหม่อง สเปรย์กันยุง ช็อคโกแล็ต ของขบเคี้ยว  จุดวางไม้เท้าไม้ไผ่ของอุทยาน เหมือนประหนึ่งจุดสตาร์ทของการขึ้นเขาหลวง ทีมเราเลือกหยิบอันที่ถูกใจกันคนละอัน สามคนพ่อลูกทำตัวชิลล์ๆ เดินไป เล่นมือถือไป ยกเว้นเราที่ตื่นเต้นกว่าใคร เหมือนสิบแปดอีกครั้ง พร้อมลุย
   เส้นทางขึ้นเขาหลวงยังคงมีทิศทางพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนเดิม ดีขึ้นตรงช่วงที่เป็นดินถูกปรับเป็นขั้นบันได จุดไหนที่ชันมาก จะมีราวไม้ให้ช่วยยึดเกาะดึงตัวเองขึ้น ทุกครั้งที่เห็นราวไม้พุ่งขึ้น เราจะหันหน้าไปมองคุณสามีที่เสื้อชุ่มด้วยเหงื่อ เดินปิดท้ายขบวน พร้อมกับประโยคซ้ำๆในใจ
 “เป็นไงล่ะมรึ้งงงง”  ฮ่าๆๆ ..ช่างสาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก 
ป้ายบอกระยะทาง สั้นๆง่ายๆก่อนทางขึ้น
     

ตัวอย่างภาพทางขึ้นบางช่วงตอน
     ต้องบอกเลยว่า เส้นทางเดินปัจจุบัน ถูกปรับปรุงให้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ค่อนข้างเยอะ  สมัยโน้น เดินห่างกัน สักสิบเมตร ยี่สิบเมตรก็มองกันไม่เห็น เพราะทางแคบ กิ่งไม้รกครึ้มบดบัง ทีมเราใช้เวลาในการเดิน ไปพักไป ทั้งหมด สามชั่วโมงครึ่งก็ถึงจุดกางเต๊นท์
   จัดการเรื่องเต๊นท์เสร็จ ก็รอลูกหาบเอาของขึ้นมา ชั่งน้ำหนักของรวมทั้งสิ้น เฉพาะของเรา 18.5 กิโล เราต่อรองให้คิด 20 กิโลถ้วน เป็นเงิน 500 บาท ลูกหาบไม่ปฏิเสธ !! ก้มหน้าก้มตา หอบของไปส่งให้ถึงเต๊นท์ทันที พร้อมถามว่า ขากลับให้ผมขนลงด้วยใช่มั้ย..

          นอนพักให้หายเมื่อยล้า จนสี่โมงเย็น ก็เดินขึ้นไปยอดเขาพระแม่ย่า เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินอากาศดีแสงสวย ได้ภาพประทับใจหลายภาพ  
  ไม่ได้เดินครบเป็นวงกลมตามเส้นทางเดิน เพราะเกรงว่าจะเดินกลับมืดค่ำเกินไป กลับลงมาอากาศเริ่มเย็น พากันไปอาบน้ำ ห้องน้ำ ห้องสุขา แยกกัน ถือเป็น สถานที่โบราณได้เลย เพราะสร้างเมื่อปี 2537 เพื่อรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ทำการบูรณะซ่อมแซม ทั้งที่รายได้ก็น่าจะเยอะอยู่ คงจะรักษาให้อยู่เป็นที่ระทึก  เท่าที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่และลูหาบแล้ว พบว่านักท่องเที่ยวมีจำนวนเยอะมากในวันหยุด ข้างบนนี้ ไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำ เพราะมีตาน้ำธรรมชาติอยู่ สะอาด ดื่มกินได้ อาบแล้วสดชื่น สบายตัว

ช่วงค่ำ อากาศเย็นลง จะมีอะไร เข้ากับบรรยาศแค้มป์ปิ้งได้เหมาะเท่าบะหมี่ถ้วย ต้มน้ำ ด้วยเตาแก๊สกระป๋องเล็กๆ เวลาสามสิบปีผ่านไป เราไม่ต้องแบกถังแก๊สปิคนิคขึ้นดอยอีกแล้ว  จัดไปคนละถ้วยพร้อมท้อปปิ้งหมูฝอย กินบะหมี่ถ้วยที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าหน้าเต๊นท์ ตบท้ายด้วยกาแฟร้อนและไมโลสำหรับลูกๆกินแกล้มกับมันฝรั่งทอดสัญชาติอเมริกันแผ่นบาง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
 ท้องอุ่นอากาศเย็น อยากดูดาวโน่นนี่นั่น แต่ความตรากตรำที่ผ่านมาวันนี้ กาแฟโคตรอาราบิกาก็ไม่อาจค้ำเปลือกตาให้ลืมอยู่ได้ 
สิ่งเร้าในใจบอกเราว่า มีดวงดาวแสนสวยมากมายรอเราอยู่ในฝัน..
   ก่อนเราหลับ ได้ยินคุณสามีถามลูกแว่วๆว่า “ยาคลายกล้ามเนื้ออยู่ไหน ขอให้ป๊ะหน่อย”  
ตอนนี้ เธอคงรู้แล้วนะ ว่าอะไรคือของจริง..เราอมยิ้มก่อนหลับฝันดี

            ตีห้าได้เวลาตื่น ต้มน้ำชงกาแฟ ใส่แก้วเก็บอุณหภูมิ แล้วออกเดินไปยอดเขานารายณ์ ที่อยู่ไม่ไกล เราใช้เวลาประมาณเดินประมาณสิบห้านาที
 ไปรอชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้น ลูกชายตื่นช้ากว่า เดินตามไปทีหลัง บอกใช้เวลาแค่ห้านาที ส่วนลูกสาว ดูดาวจนดึก เลยไม่อยากดูดวงอาทิตย์    

ยังไม่ถึงขาลงนะคะ ขอพักปรับรูปสักพัก มือใหม่ โพสต์รูปมันเหนื่อยจริงๆ เดี๋ยวมาอัพเดทต่อค่ะ
ชื่อสินค้า:   เขาหลวง จ.สุโขทัย
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่