ควันหลงแดงเดือด 🦢: สู้ได้ถ้าใจพร้อม!

จบไปสดๆร้อนๆกับเกมแดงเดือดที่สนุกที่สุดในรอบหลายปี พรัอมกับประเด็นดราม่าจากกรรมการเจ้าปัญหา (ไม่ใช่ VAR นะจ๊ะ)  ต้องบอกว่าก่อนเกมจะเริ่มไม่มีใครคาดคิดว่าผีแดงจะสู้กับหงส์แดงได้อย่างสนุกขนาดนี้ เพราะแค่ดูจากฟอร์มและตัวผู้เล่นแล้ว มองตรงๆก็ยังไม่เห็นมุมที่พวกเค้าจะต่อกรกับจ่าฝูงได้เลย


แดงเดือดมักมีเรื่องไม่คาดคิด ประตูในรอบกว่าสองปีของลัลลาน่าคือบทพิสูจน์


วันนี้หงส์แดงแทบจะฟูลทีม เพียงแต่ผู้เล่นที่พลาดการลงสนามดันเป็นบังโม ตัวสำคัญอันดับต้นๆในทีม แต่ดูๆแล้วยังไงก็เหนือกว่าเหล่าผู้เล่นของแมนยูอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์

รูปเกมครึ่งแรก:
5 นาทีแรกเป็นการห้ำหั่นในแดนกลางเพื่อหยั่งชั้นเชิงกันก่อน แต่หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ผลัดกันปั้นเกมขึ้นมาสู้กันได้อย่างสูสี  ทีมของโอเล่วางแผนมาได้เยี่ยมมากๆ ในการเพรสซิ่งอย่างหนัก จนทำให้นักเตะลิเวอร์พูลจ่ายบอลกันผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ขณะเดียวกันทีมของคลอปเองก็เล่นเกร็งและระวังตัวมากเกินไป ทำให้ไม่เห็นจังหวะเคาะบอลคาบลูกคาบดอกเพื่อทำเกมบุกมากนัก

อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 37 เจ้าบ้านก็ได้ประตูขึ้นนำในจังหวะที่โอริกี้โดนทำฟาล์ว เลยโดนตัดบอลในขณะที่ผู้เล่นเกมรับกำลังดันตัวเองเพื่อมาเล่นเกมบุก และนั่นทำให้เจ้าบ้านได้จังหวะสวนกลับ และแรซฟอร์ดก็วิ่งโฉบมาเข้าฮอสจากลูกเปิดของเจ้าหนูเจมส์เข้าประตูไปอย่างสวยงาม และเป็นลูกที่ 3 จาก 3 เกมแดงเดือดล่าสุดในสนามแห่งนี้เข้าไปแล้ว ยังไงก็ตามจังหวะนี้มีการใช้ VAR เพื่อเช็คจังหวะที่โอริกี้โดนทำฟาล์ว ซึ่งมันก็ชัดเจนนะว่าเค้าโดนสะกิดจนเสียหลัก แต่ทว่ากรรมการก็ไม่สนใจและตัดสินให้เป็นประตูไปแบบค้านสายตาทีมเยือน


แรซฟอร์ดคุกคามหงส์แดงได้ดีทุกครั้งที่มีโอกาสบุก ยก MOM ให้เลย


จากนั้นในอีกไม่กี่นาทีต่อมา จากความอุ้ยอ้ายของลินเดอเลิฟ ก็ทำให้มาเน่ฉกบอลในกรอบเขตโทษและหลุดไปยิงประตูหน้าตาเฉย แต่โชคดีเป็นของแมนยูอีกครั้ง เมื่อ VAR ทำให้เห็นชัดเจนว่าในจังหวะพักบอล มาเน่ทำบอลไปโดนแขนของตัวเอง ซึ่งนั่นคงทำให้เค้าดีใจไม่แรง😂🤣 เพราะคงรัตัวว่าอาจจะไม่ได้ประตูหรอก  และตั้งแต่นั้นมาก็เป็นหงส์แดงที่พยายามครองบอลทำเกมรุกแต่ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ จนในที่สุดก็จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

รูปเกมครึ่งหลัง :
ลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่ายครองบอลเช่นเดิม แต่มีการเพรสซิ่งหนักขึ้น และมีการทำบอลในเกมรุกได้ดีกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่ได้สร้างปัญหาให้แนวรับของเจ้าบ้านซักเท่าไร ที่สำคัญเวลาเล่นพลาด ก็จะโดนเกมโต้กลับอันรวดเร็วของแมนยูเล่นงานจนแฟนบอลต้องแอบเสียวอยู่หลายทีเหมือนกัน


คลอปปลุกพลังใจนักเตะได้ดีเช่นเดิม จุดแข็งที่ทำให้ทีมกลับมาได้อยู่บ่อยครั้ง


การครองเกมไม่ใข่ปัญหาของหงส์แดง แต่มันยากในการเจาะเข้าทำจากผู้เล่นที่มี คลอปจึงทยอยเปลี่ยนอ๊อกเหล็กและลัลลาน่าลงมาแทนโอริกี้และเฮนโด ซึ่งก็มาเพิ่มมิติๆการเข้าทำในจังหวะสองได้ดีขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะเจาะเกมรับของเจ้าบ้านเข้าไปได้  จนในที่สุดก็ส่งเกอิต้าลงมาแทนดุมที่หายตัวไปจากเกมครึ่งหลัง จากนั้นลิเวอร์พูลก็แทบจะครองเกมอยู่ฝ่ายเดียวและเกมทำท่าจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจ่าฝูง แต่ด้วยการที่เจ้าบ้านตั้งหน้าตั้งตารับ (แบบสวนไม่ขึ้นซะด้วย🤪) จึงทำให้ในที่สุดลัลลาน่าก็ได้โอกาสหลุดมาชาร์จจ่อๆตีเสมอได้สำเร็จ โดยต้องขอบคุณความฉลาดหรือความฟล็คของฟีร์มิโน่ที่ปล่อยบอลมาให้ลัลลาน่ายิง เพราะถ้าเค้าโดนบอลขึ้นมา ก็อาจจะโดน VAR ริบประตู เพราะน่าจะกลายเป็นลูกล้ำหน้าแทนครับ 😅😅

หลังตีเสมอได้เกมก็เป็นของลิเวอร์พูลต่อไปจนครบ 90 นาที ซึ่งในช่วงทดเจ็บพวกเค้าก็สร้างโอกาสได้อีกเป็นระยะ แต่สุดท้ายแล้วการแบ่งกันทีมละแต้มก็ดูโอเคแล้วนะ แลกกับการได้ดูเกมที่สนุกและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ร่วมมากขนาดนี้

วิจารณ์นักเตะรายตัว :
อลิสซอน - เกมแรกที่กลับมาก็เป็นเกมใหญ่เลย มีจังหวะเปิดบอลเสียบ้าง ส่วนลูกที่เสียประตูก็โทษไม่ได้ ดูจากความนิ่งก็คิดได้แค่ว่าดีแล้วล่ะที่เค้าหายมาทันเล่นเกมนี้พอดี นอกจากนั้นก็พร้อมเล่นเกมรุกตลอดเวลาจากช็อตที่พุ่งตะปบลูกยิงที่ออกนอกกรอบ เพื่อส่งให้ทีมเล่นเร็ว ซึ่งไอเดียเช่นนี้จะอาเดรียนยังเทียบลำบาก

อาโนลด์ - เปิดบอลได้ไม่เข้าเป้าเท่าไร แต่ความเร็วก็ทำให้เค้าช่วยเกมรับได้หลายครั้ง การขาดคู่ขาอย่างซาล่าห์ ทำให้ความวูบวาบในฝั่งขวาลดลงไป

โรเบิร์ตสัน - ครึ่งแรกโดนวานบิสซาก้ากดซะจนไม่ค่อยได้บุก แต่ครึ่งหลังกลับมาเล่นเกมรุกได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง และก็เป็นคนเปิดบอลให้ลัลลาน่ายิงตีเสมอได้

มาติป - เล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเอง เคลียร์บอลในจังหวะสำคัญได้ดี ส่วนการเติมเกมรุกทำได้ไม่สุดเท่าไร เพราะมีกำแพงเหล็กของทีมเจ้าบ้านบล็อกอยู่ข้างหน้ามากเกินไป


ไม่ใช่วันที่ดีเท่าไรของฟานไดจ์ การดวลกับของใหญ่และคล่องอย่างแรซฟอร์ด🤣😂 สร้างปัญหามากมายให้เกมรับหงส์แดง


ฟานไดจ์ - มีปัญหากับการดวลกับแรซฟอร์ด ซึ่งเป็นกองหน้าที่ทั้งใหญ่และเร็ว แต่โดยรวมแล้วก็บัญชาเกมรับได้ดีโดยเฉพาะจังหวะเช็คล้ำหน้าในครึ่งหลังอย่างเหนือชั้น

เฮนโด้ - พยายามทำเกมบุปในฝั่งขวา แต่ก็ทำอันตรายแมนยูไม่ได้ เป็นเกมที่ดูเงียๆ สุดท้ายโดนเปลี่ยนตัวออก

ดุม - ครึ่งแรกมีบทบาทอย่างมากในแดนกลาง มีจังหวะโชว์สกิลสวยๆ ก่อนลากบอลไปยิง เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พาตัวเองรอดจากการเจอนักเตะเจ้าบ้านไล่บี้ได้ดี กลับกันในครึ่งหลังที่หายไปจากเกมไปเลยและโดนเปลี่ยนตัวออกในที่สุด

ฟาบินโย่ - มีส่วนร่วมกับเกมสม่ำเสมอ และเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง ตัดเกมและตัดฟาล์วในจังหวะสำคัญๆได้ดี ไม่ค่อยมีโอกาสหยอดบอลสวยๆมากนักเพราะเจอแผงรถบัสหลายชั้นจนไม่สามารถวางบอลดีๆได้ การยืนตำแหน่งที่ชาญฉลาดทดแทนความเขื่องช้าของเค้าได้เป็นอย่างดี

โอริกี้ - ค่อนข้างเงียบ และเมื่อมีโอกาสก็ทำได้ไม่โดดเด่นพอ เป็นจุดเริ่มต้นของประตูที่แมนยูทำได้ แต่ดูภาพช้าแล้วยังไงก็ควรจะเป็นลูกฟาล์วนั่นล่ะ ทำได้ไม่ค่อยดีจริงๆในการลงเป็น 11 ตัวแรก คงเป็นนักเตะที่ถูกโฉลกกลับการลงมาเปลี่ยนเกมในช่วงท้ายเกมเท่านั้นจริงๆ

ฟีร์มิโน่ - มีโอกาสทำประตูอยู่ 2-3 ครั้ง โดยที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือลูกสวนกลับในครึ่งแรกที่ดันแปบอลแสนเบาเข้าซองเดเคอา ทั้งที่โอริกี้ยืนรอโล่งๆอยู่แถวเสาสอง  แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจปล่อยบอลจากลูกเปิดของโรเบิร์ตสัน ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ลัลลาน่าตีเสมอให้กับทีมได้สำเร็จ

มาเน่ - การเริ่มต้นด้วยการยืนฝั่งขวาทำให้หงส์แดงได้ประโยชน์จากเค้าน้อยลง มีโอกาสโฉบไปแย่งบอลและยิงประตูได้ แต่เสียดายที่บอลดันไปโดนมือซะก่อน เป็นนักเตะสำคัญที่สุดในเกมรุก การครองบอลและความแข็งแกร่งของเค้าสร้างปัญหากับแนวรับผีแดงได้ดี ถึงเกมนี้จะไม่ได้โชว์ของอะไรมากนัก แต่มันก็เหมาะสมแล้วที่จะให้เค้ายืนขู่คู่แข่งทั้งเกมแบบนี้

อ๊อกเหลต - จังหวะเกมยังต้องจูนอีกนาน ถึงจะทำเกมไม่ค่อยได้แต่ก็หาจังหวะส่องได้อยู่หลายทีเช่นกัน หวังว่าคงจะค่อยๆคืนฟอร์มกลับมา เพราะลูกยิงจากแถวสองคือสิ่งที่ทีมต้องการในยามที่เจาะแผงรถบัสเข้าไปไม่สำเร็จ

เกอิต้า - การลงสนามครั้งแรกของฤดูกาลนี้ ไม่กล้าแอบหวังอะไรมากมาย แค่ไม่ทำจังหวะเกมเสียก็เพียงพอซึ่งเค้าก็ทำได้ตามนั้นเป๊ะ การเคลื่อนที่ของเค้าดูมีความคล่องตัว และก็ไม่มีการเล่นผิดจังหวะเลย ฤดูกาลที่เหลือขอแค่เค้าไม่ต้องเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอีก เราจะได้เห็นฟอร์มที่แท้จริงจากนักเตะกินีคนนี้กันซะที 👍

ลัลลาน่า - ดีใจมากที่คลอปจับเค้าลงมาเล่นในบทบาทตัวริมเส้น เพราะทักษะและพรสวรรค์ของเค้ามันทำให้เอาตัวรอดได้ในหลายๆจังหวะ อยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมในจังหวะที่ตีเสมอได้ และนั่นคือประตูแรกในรอบสองปีกว่าๆ เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่สภาพร่างกายเป็นอุปสรรคกับพรสวรรค์ในตัว


ลัลลาน่าคืออีกคนที่ร่างกายไม่เป็นใจซักที ทำให้พรสวรรค์ที่มีติดตัวไม่ได้มีโอกาสสร้างประโยชน์ให้กับทีมมากนัก


บทสรุปเกม :
น้าลูกอมทำการบ้านมาอย่างดีและทำให้ทีมเยือนทำอันตรายพวกเค้าแทบไม่ได้เลย บรรดานักเตะที่แฟนผีแทบเบือนหน้าหนีเมื่อได้ยินชื่อกลับโชว์ฟอร์มได้ดีเกินชีวิตจริง 😂🤣 กลับกันทีมของคลอปรวมถึงคลอปเองก็เล่นแบบระแวงและเกร็งๆ จนทำเกมบุกได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นี่ถ้าครึ่งหลังผีแดงยังเล่นได้ดีแบบครึ่งแรก รวมถึงละเอียดในจังหวะสวนกลับมากกว่านี้ ลิเวอร์พูลก็คงมอบสามแต้มให้เป็นแน่แท้

พูดถึง VAR ในเกมนี้สักหน่อยครับ ระบบมันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องแล้วในทุกจังหวะสำคัญ แต่จุดผิดพลาดเล็กๆน้อยๆมันก็เป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า ที่ปล่อยให้เล่นได้เปรียบแล้วค่อยมาเป่าฟาล์วทีหลัง..เอ๊ะ!! ผิดคู่แล้วโว้ย 😂🤣 ก็นั่นล่ะครับสิ่งเล็กๆน้อยๆอันเกิดจากตัวบุคคลมันก็คือเสน่ห์ในฟุตบอลนั้นล่ะ เพียงแต่คนที่พลาดดันเป็นคนมีอำนาจนี่สิ ดูคุ้นๆยังไงชอบกลแฮะ 55

จังหวะที่โอริกี้โดนตัดบอลจนโดนโต้และเสียประตูนั้น ผมมองว่าหลังจากเช็ค VAR แล้วน่าจะมองว่าเป็นการฟาล์ว 75% นะ เนื่องจากในขณะนั้นทีมเยือนได้ยกโขยงแผงรับขึ้นมาทำเกมบุกกันหมด นั่นทำให้เสียเปรียบอย่างมากตอนโดนสวนกลับ ซึ่งถ้าเป็นแค่การเสียบอลและไม่เสียประตูตรงนั้นจะเป่าฟาล์วหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นควรชั่งน้ำหนักเหตุการณ์ที่เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุการณ์ใน VAR ด้วย ไม่ใช่ดูแต่คลิปในจอแล้วตัดสินอย่างเดียวครับ  


จังหวะที่โอริกีโดนตัดเกม เกือบกลายเป็นจุดตัดสินเกมไปแล้ว!


ต้องถือว่าการตัดสินจาก VAR ผิดครั้งถูกครั้ง ทำให้แมนยูได้รับประโยชน์เต็มๆ ส่วนทีมเยือนก็เสียประโยชน์แบบสองเด้ง ลองคิดดูว่าถ้าไม่มี VAR อารมณ์ความรู้สึก "แฟร์" มันอาจเกิดขึ้นกับแฟนบอลลิเวอร์พูลก็เป็นได้ เพราะจังหวะแฮนด์บอลของมาเน่คงกลายเป็นประตูตีเสมออย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามหลังจากได้ฟังการตัดสินจาก VAR 2 ครั้งดังกล่าว ผมกังวลอย่างมากเลยว่าลูกทีมของคลอปอาจจะสมาธิกระเจิงและทำให้เกมพังลงได้ แต่กลับกันลิเวอร์พูลไม่ได้รับผลกระทบนั้นสักเท่าไร นั่นแสดงถึงความแกร่งทางจิตใจที่เติบโตขึ้นจากประสบการณ์ล้วนๆเลย  

อีกจุดนึงที่ชอบก็คือ ตอนหมดเวลาครึ่งแรก เราเห็นปฏิกิริยาของคลอปที่รีบวิ่งเข้าห้องแต่งตัว เพราะเค้าคงรู้ว่าต้องจัดการกับจิตใจของนักเตะอย่างไรเพื่อที่จะกลับมาให้ได้ในเกมสำคัญเช่นนี้ เมื่อได้มองแล้วแฟนบอลที่บ้านก็แอบมีใจฮึกเหิมที่จะเชียร์ต่อไปด้วย เป็นโมเมนต์สั้นๆ ที่แสดงถึงความใจสู้ที่ชอบครับ


ถ้าน้าลูกอมใจแกร่งพอ ป่านนี้สามแต้มคงไม่พ้นมือ

อย่างไรก็ตามกำแพงแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ดยังเป็นอะไรที่คลอปยังคงต้องทุบทำลายให้ได้ต่อไป เพราะไม่มีครั้งใดเลยในยุคของเค้าที่สามารถทำทีมให้เล่นได้อย่างเป็นตัวเองจริงๆ 1 แต้มที่ได้มาถ้ามองก่อนเกม จะบอกว่าลิเวอร์พูลเสียสองแต้มก็ได้ แต่ถ้ามองเมื่อจบเกมมันก็โอเคแล้วล่ะกับการแบ่งแต้มกันไป

ก็ถือเป็นเกมแดงเดือดที่ดูสนุกเกมนึงในรอบหลายปี และมนต์ขลังในแดงเดือดนั้นมันยังคงมีอยู่เสมอ ไม่ขึ้นกับฟอร์มปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นกับคุณภาพนักเตะมากนัก สำคัญที่สุดคือใจที่สามารถวร้างความแตกต่างในเกมได้ โซลชาใช้ใจทำงานได้ดีเยี่ยมตั้งแต่การออกโรงมาข่มก่อนเตะ รวมถึงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในครึ่งแรก แต่ก็เพราะใจอีกนั่นล่ะ ที่ทำให้เกมนี้จบลงด้วยการเสมอเพราะการคิดมากเกินไปของตัวเอง

รอคอยบทที่สองในแอนฟิลด์นะครับ อยากเห็นแดงเดือดเกมแรกของโซลชาในแอนฟิลด์ ว่ามันจะเข้มข้นเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน และอยากให้โซลชาคุมทีมไปยาวๆ จนถึงเวลานั้นด้วยอีกทางนึง ฮุฮุ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่