เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเจอมันคือ การได้สัมผัสมืออาชีพหรือไม่ ถ้าท่านที่อ่านกระทู้นี้เป็นสายวงการของพยาบาลวิชาชีพ หรือสายวิทยาศาสตร์สุขภาพเราอาจจะเป็นคนในยุค 90 แต่เมื่อเทียบอายุงานในวงราชการก็น่าจะกินบำนาญราชการได้แล้ว เราเริ่มต้นทำงานสายอาชีพครูตั้งแต่เราจบปริญญาตรีใบที่ 2 ของชีวิต การเรียนปริญญาตรีใบแรกคือ เป็นการเรียนที่ต่อยอดจากการที่เราจบปริญญาตรีในสายสุขภาพซึ่งจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตัวน้อยๆในจังหวัดแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่เป็นคนยุคของข้อมูลข่าวสารที่น้อยนิด ส่วนใหญ่ก็จะลองผิด ลองถูก ทำงานด้วยเงินเดือนน้อยๆจนเรียนจบปริญญาตรีใบแรกแต่ก็ยังอยู่ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้วยความอยากเรียนรู้ให้มากขึ้นจึงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีต่อเนื่องอีกใบหนึ่งจนจบจากสถาบันด้านผลิตบุคลากรด้านสุขภาพ เราเริ่มสะสมประสบการณ์ในองค์กรเอกชนแห่งหนึ่งที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เริ่มชอบที่จะเห็นว่างานส่งต่อความรู้ด้านสุขภาพแก่พยาบาลวิชาชีพที่เป็น New staff ช่างมีความสุขและท้าทาย พอทำ Setting ที่เป็นเอกชนสักพัก จึ่งได้ลาออกมาทำงานสายวิชาชีพครูที่เป็นเอกชนติดอันดับ 1- 10 ของมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศ ด้วยความที่ยังเป็นวุฒิปริญญาตรี จึงต้งขยันและไขว่คว้าในการศึกษาต่อเนื่องในระดับปริญญาโท จึงต้องเรียนภาคนอกเวลาราชการ ชีวิตที่ต้องสู้และดิ้นรนตลอด จันทร์ - ศุกร์ทำงานในมหาวิทยาลัย ส่วนตอนเย็นอาทิตย์ล่ะ 2 - 3 วันหรือทั้งอาทิตย์ต้องไปรับจ้างเป็นพยาบาลวิชาชีพประจำโรงงาน อย่าถามว่าได้นอนไหม มันคือการทำงานในเวลากลางคืน เหตุการณ์ชีวิตเราทำแบบนี้ตลอดระยะเวลาการศึกษาหลักสูตรปริญญาโท 3 ปีครึ่งมันคงจะมองว่านานจากคนที่เรียนระดับนี้เพียง 2 ปี แต่เราขอยืนยันว่า เราทำเต็มที่ที่สุดกับความตั้งใจศึกษาในระดับมหาบัณฑิตในมหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับ 1 และ 2 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสาขาในการสอน แต่ยังคงอยู่ในสายสุขภาพเช่นเดิม โดยเป็นวิชาชีพที่มีสภาการพยาบาลรับรอง เราทำงานในสายการศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนเกือบ 10 ปี เลยตั้งใจที่จะไทำงานในองค์ของภาครัฐบ้าง เพราะอายุกว่าจะถึง 60 ปีก็เกิน 15 ปี เลยลองไปสมัครงานเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาของภาครัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การสอบข้อเขียนผ่านไปด้วยดี ส่วนช่วงบ่าย เราเป็นคนคิดบวกเสมอ มีคณะกรรมการที่เข้าสัมภาษณ์ประมาณ 6-7 คน ซึ่งที่เราเจออันดับแรกคือ ให้เราแนะนำตัว โอเครผ่านไปแต่เราสังเกตว่า การถามคำถามของผู้เป็นประธานในการสอนมีคำนำหน้าว่า ผศ.ดร.เป็นคำถามเชิงจิกกัดทุกประเด็นในทามลายชีวิตของเรา เราเลยไม่แน่ใจว่านี้หรือคือสถาบันการศึกษาที่ได้รับเปลี่ยนคำสรรพนามจากสถาบันมาเป็นมหาวิทยาลัย ทุกๆถ้อยคำ ทุกๆคำพูด เหมือนโกรธหรือชังกันมาจากภพไหน แม้กระทั่งการใช้คำสบประมาทว่า การทำข้อสอบในวิชาการทั่วไปคงทำไม่ได้หรอก เราไม่แน่ใจว่าอ.จะเป็นเพศที่สร้างโลกสองใบหรือเพศที่สามก็ควรจะให้เกียรติเราบ้าง ทุกๆคำตอบเราโดนตบด้วยคำถามที่เออนะ คำว่าโอกาสมันคงไม่มีสำหรับเราแต่เราก็พยายามทำดีที่สุด ส่วนคำถามจากคณะกรรมการที่เป็นสาขาวิชาก็คงจะเป็นคำถามของหัวข้อวิจัยที่ไม่สัมพันธ์กับสาขาที่เปิดรับอันดับแรก อันดับที่สองคือประสบการณ์ที่เป็นเฉพาะทาง แต่เราตองด้วยทักษะ วาจา ที่สุภาพ เรารู้ว่าเรามีรุ่นเราที่จบการศึกษาจากสาขา และจากสถาบันเดียวกันกับเราทำงานที่นี้ ประสบการณ์และวัยวุฒิน้อยกว่าเรา และเราก็จะไม่พยายามพาดพิงถึง สิ่งที่รุ่นน้องเคยบอกว่า ถ้าไม่รู้จักใคร อย่ามาสัมภาษณ์ให้เสียเวลาเลย และมันก็เริ่มจะชัดเจน จากการฟังคำถามของคณะกรรมการ เรารู้สึกขอบคุณตัวเองที่อุตส่าห์เสียเวลามาเพื่อให้รู้ และมาเพื่อให้เห็นความชัดเจนของวงการอาจารย์พยาบาลในสถาบันการศึกษาภาครัฐบาลที่ขนกันลาออกจากราชการรับเงินเดือนสองต่อ ด้วยวัยและกำลังกายสภาพการสอนก็คงตกที่อาจารย์ที่อายุยังน้อย และคนละเจนเนอร์ชั่น มาตรฐานผลงานวิชาการของสถาบันการศึกษาภาครัฐที่ไม่ใช่ชั้นนำของประเทศ และค่าเล่าเรียนที่สูงเท่าเอกชน เราไม่ได้เสียใจที่เราไม่สามารถมาเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งนี้ แต่เราเห็นการปฏิบัติที่เราได้รับ คนที่มาสัมภาษณ์รอบนี้ก็ประมาณ 80% ที่มีวุฒิการศึกษาไม่ตรง เคยอยู่แต่เฉพาะ Setting หรือโรงพยาบาลในละแวกแถวๆนี้ มาเป็นรอบที่ 2- 3 ก็มี ไม่ต้องไปโทษหรือโยนความผิดให้นักศึกษาสมัยปัจจุบันที่ไม่เก่งหรอก แต่มองที่การคัดเลือกการมาเป็นอาจารย์พยาบาลในองค์กรของรัฐยังมีความชัดเจนของระบบอุปถัมภ์ อายุหลัก5ขึ้น จะมาชิม ช็อป ใช้ เหมือนที่รัฐบาลแจกก็คงไม่ต่างกัน ถ้าท่านใดที่มีวุฒิปริญญาตรี โท เอกสายตรงก็ฝากถึงท่านที่อ่านให้พิจาณาดีๆ ก่อนจะตัดสินไปสมัครสถาบันของรัฐดังกล่าว อย่าให้เขาได้เอาชื่อเราไปแขวนเป็นทามมิ้งของเวลาเพื่อรอการเกษียณอายุราชการของป้าๆ เชื่อว่าทำงานใน Setting อาจมีความสุขมากกว่า การได้มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คำนำหน้าทางวิชาการในระดับต่าง ๆ เช่น ผู้ช่วยศาตราจารย์ หรือมีพื้นฐานจากครูประถมศึกษาในโรงเรียนระดับตำบลจนเติบโตเป็น รองคณบดี รองอธิการบดีในสถาบันนั้นๆ
สัมภาษณ์อาจารย์พยาบาล
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสาขาในการสอน แต่ยังคงอยู่ในสายสุขภาพเช่นเดิม โดยเป็นวิชาชีพที่มีสภาการพยาบาลรับรอง เราทำงานในสายการศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนเกือบ 10 ปี เลยตั้งใจที่จะไทำงานในองค์ของภาครัฐบ้าง เพราะอายุกว่าจะถึง 60 ปีก็เกิน 15 ปี เลยลองไปสมัครงานเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาของภาครัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การสอบข้อเขียนผ่านไปด้วยดี ส่วนช่วงบ่าย เราเป็นคนคิดบวกเสมอ มีคณะกรรมการที่เข้าสัมภาษณ์ประมาณ 6-7 คน ซึ่งที่เราเจออันดับแรกคือ ให้เราแนะนำตัว โอเครผ่านไปแต่เราสังเกตว่า การถามคำถามของผู้เป็นประธานในการสอนมีคำนำหน้าว่า ผศ.ดร.เป็นคำถามเชิงจิกกัดทุกประเด็นในทามลายชีวิตของเรา เราเลยไม่แน่ใจว่านี้หรือคือสถาบันการศึกษาที่ได้รับเปลี่ยนคำสรรพนามจากสถาบันมาเป็นมหาวิทยาลัย ทุกๆถ้อยคำ ทุกๆคำพูด เหมือนโกรธหรือชังกันมาจากภพไหน แม้กระทั่งการใช้คำสบประมาทว่า การทำข้อสอบในวิชาการทั่วไปคงทำไม่ได้หรอก เราไม่แน่ใจว่าอ.จะเป็นเพศที่สร้างโลกสองใบหรือเพศที่สามก็ควรจะให้เกียรติเราบ้าง ทุกๆคำตอบเราโดนตบด้วยคำถามที่เออนะ คำว่าโอกาสมันคงไม่มีสำหรับเราแต่เราก็พยายามทำดีที่สุด ส่วนคำถามจากคณะกรรมการที่เป็นสาขาวิชาก็คงจะเป็นคำถามของหัวข้อวิจัยที่ไม่สัมพันธ์กับสาขาที่เปิดรับอันดับแรก อันดับที่สองคือประสบการณ์ที่เป็นเฉพาะทาง แต่เราตองด้วยทักษะ วาจา ที่สุภาพ เรารู้ว่าเรามีรุ่นเราที่จบการศึกษาจากสาขา และจากสถาบันเดียวกันกับเราทำงานที่นี้ ประสบการณ์และวัยวุฒิน้อยกว่าเรา และเราก็จะไม่พยายามพาดพิงถึง สิ่งที่รุ่นน้องเคยบอกว่า ถ้าไม่รู้จักใคร อย่ามาสัมภาษณ์ให้เสียเวลาเลย และมันก็เริ่มจะชัดเจน จากการฟังคำถามของคณะกรรมการ เรารู้สึกขอบคุณตัวเองที่อุตส่าห์เสียเวลามาเพื่อให้รู้ และมาเพื่อให้เห็นความชัดเจนของวงการอาจารย์พยาบาลในสถาบันการศึกษาภาครัฐบาลที่ขนกันลาออกจากราชการรับเงินเดือนสองต่อ ด้วยวัยและกำลังกายสภาพการสอนก็คงตกที่อาจารย์ที่อายุยังน้อย และคนละเจนเนอร์ชั่น มาตรฐานผลงานวิชาการของสถาบันการศึกษาภาครัฐที่ไม่ใช่ชั้นนำของประเทศ และค่าเล่าเรียนที่สูงเท่าเอกชน เราไม่ได้เสียใจที่เราไม่สามารถมาเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งนี้ แต่เราเห็นการปฏิบัติที่เราได้รับ คนที่มาสัมภาษณ์รอบนี้ก็ประมาณ 80% ที่มีวุฒิการศึกษาไม่ตรง เคยอยู่แต่เฉพาะ Setting หรือโรงพยาบาลในละแวกแถวๆนี้ มาเป็นรอบที่ 2- 3 ก็มี ไม่ต้องไปโทษหรือโยนความผิดให้นักศึกษาสมัยปัจจุบันที่ไม่เก่งหรอก แต่มองที่การคัดเลือกการมาเป็นอาจารย์พยาบาลในองค์กรของรัฐยังมีความชัดเจนของระบบอุปถัมภ์ อายุหลัก5ขึ้น จะมาชิม ช็อป ใช้ เหมือนที่รัฐบาลแจกก็คงไม่ต่างกัน ถ้าท่านใดที่มีวุฒิปริญญาตรี โท เอกสายตรงก็ฝากถึงท่านที่อ่านให้พิจาณาดีๆ ก่อนจะตัดสินไปสมัครสถาบันของรัฐดังกล่าว อย่าให้เขาได้เอาชื่อเราไปแขวนเป็นทามมิ้งของเวลาเพื่อรอการเกษียณอายุราชการของป้าๆ เชื่อว่าทำงานใน Setting อาจมีความสุขมากกว่า การได้มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คำนำหน้าทางวิชาการในระดับต่าง ๆ เช่น ผู้ช่วยศาตราจารย์ หรือมีพื้นฐานจากครูประถมศึกษาในโรงเรียนระดับตำบลจนเติบโตเป็น รองคณบดี รองอธิการบดีในสถาบันนั้นๆ