ได้เห็นข้อความขายสินค้าในig เรื่องของการโฆษณาขายเพชร”สังเคราะห์“เรียกง่ายๆก็ของปลอมนั่นแหละ
ขออนุญาติลงภาพที่ทางร้านโพสข้อความนำมาประกอบเพื่อการขายสินค้าของเขา
อันที่จริงส่วนตัวไม่ได้อคติอะไรกับเพชรสังเคราะห์หรือคนที่สนใจในเพชรสังเคาระห์เลยแม้แต่น้อย
แต่ที่อคติและไม่เห็นด้วยคือคำโฆษณาโพสขายของของคุณพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย
ปกติเป็นคนเล่นเพชรน้ำ100 อยู่แล้วยอมได้ไงโฆษณาอย่างนี้ไม่ได้สิ ปล่อยผ่านไม่ได้สิ
โฆษณาขายเพชรปลอมซะคนใช้เพชรแท้อายเลย จึงเริ่มมีการศึกษาในสิ่งที่เรามี
และนี่คือเพชรน้ำร้อย:
D Color = เพชรน้ำ100%
มองด้วยตาซึ่งสีมันขาวจั๊ว! ที่มันมีสีวูปวาบนั่นคือเพชรมันเล่นแสงไฟ
เพชรเป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอนจัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้าเป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ มีค่าความแข็งเท่ากับ10
เพชรมีหลายสีสีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์
สีที่หายากคือสีแดงฟ้าเขียวส้มชมพูเรียก"แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมากการเจียระไนเป็น52 เหลี่ยม
นับว่าสวยที่สุดเพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจความแข็งแกร่งแหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก
คำว่า”เพชร”ในภาษาไทยมาจากสายฟ้า อังกฤษ"diamond"
มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณซึ่งมีความหมายว่า"สมบูรณ์" "เปลี่ยนแปลงไม่ได้" "แข็งแกร่ง" และ"กล้าหาญ"
อัญมณีเพชรกลายเป็นสิ่งมีค่าเมื่อมีการนำไปใช้เป็นรูปเคารพทางศาสนาในอาณาจักรอินเดียโบราณ
นอกจากนี้ยังมีการใช้งานเพชรเป็นเครื่องมือแกะสลักตั้งแต่สมัยต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์อีกด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดที่มีค่ามากกว่าเพชรคือ“ใบเซอร์เพชร“จากสถาบันชั้นนำอย่าง
GIA หรือHRD คือใบการันตีที่ช่วยให้คุณซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
และหลีกเลี่ยงจากการถูกหลอกเวลาสำหรับผู้ที่ชื่มชอบแต่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเพชร
ใบเซอร์เพชรคือเครื่องการันตีที่จะทำให้คุณซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ใบเซอร์เพชรจากสถาบันชั้นนำของโลกอย่างGIA หรือHRD
ก็เปรียบเสมือนใบรับประกันว่าคุณจะได้รับเพชรตรงกับคุณภาพที่คุณกำลังมองหา
ส่วนนี่คือF Color = เพชรน้ำ98%
และนี่ก็D Color = เพชรน้ำ100%
วิธีอ่านใบเซอร์GIA แต่ละส่วน
1. ส่วนบน: ชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ สิ่งแรกที่คุณควรสังเกตคือชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ สำหรับวงการเพชรในประเทศไทยแล้วสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือGIA และHRD
เพชรเซอร์GIA
GIA เป็นองค์กรแบบไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและผู้ขายอัญมณีด้วยมาตรฐานการให้คะแนนเพชรพลอยที่เคร่งคัดจนได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในวงการเพชรพลอย
เพชรเซอร์HRD
HRD เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มีพันธกิจเดียวกันกับGIA ก่อตั้งขึ้นในประเทศเบลเยียมและถือเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากเป็นอันดับต้นๆในฝั่งยุโรป
GIA เทียบกับHRD
เรื่องความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 สถาบันนับได้ว่าเยี่ยมยอดทั้งคู่ความแตกต่างหลักๆที่คุณจะได้พบเจอในฐานะผู้ซื้อคือ
เพชรHRD จะได้รับการซีลอยู่ภายในแผงพลาสติกอย่างแน่นหนาตั้งแต่ออกจากแล็บ
เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อในขณะที่
เพชรGIA จะมาเป็นเพชรร่วงในซองที่แนบมากับใบเซอร์แต่โดยทั่วไปเพชรใบเซอร์GIA จะมีมูลค่าสูงกว่าเพชรHRD
เนื่องจากGIA เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเหนือกว่าจึงได้รับความนิยมมากกว่า
2. เลขใบเซอร์รูปทรงเพชรและสัดส่วน
เลขใบเซอร์
รายละเอียดต่อไปที่คุณจะได้พบคือเลขใบเซอร์เปรียบเสมือนSerial Number
ที่ใช้สำหรับระบุข้อมูลของเพชรแต่ละเม็ดโดยจะมีเลขเดียวกันกับที่คุณจะพบบนเลเซอร์ขอบเพชร
รูปทรงเพชรและสัดส่วน
ในบรรทัดต่อมาคุณจะพบข้อมูลเกี่ยวกับรูปทรงเพชรและสัดส่วนของเพชร
ที่วัดด้วยหน่วยมิลลิเมตรเพชรที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อคือเพชรกลม
โดยในใบเซอร์จะระบุเป็นภาษาอังกฤษว่าRound Brilliant
3. หัวใจสำคัญ: 4C’s of Diamonds
ส่วนต่อมาเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับเพชรนั่นก็คือรายละเอียดเกี่ยวกับ
4C: Carat, Color, Clarity และCut ตามลำดับ
Carat
Carat หมายถึงน้ำหนักของเพชรซึ่งวัดเป็นหน่วยกะรัตเสมอ(1 กะรัต= 0.2 กรัม)
โดย1 กะรัตจะมีค่าเท่ากับ100 ตัง(ความหมายเดียวกันกับ1 บาทที่แปลงได้เป็น100 สตางค์) หลายคนนิยมเรียกน้ำหนักเพชรด้วยหน่วยตังกันจนคุ้นเคยเช่นเพชร50 ตัง
ก็คือเพชร0.50 กะรัตนั่นเอง น้ำหนักกะรัตของเพชรจะส่งผลต่อความใหญ่ของเพชรโดยตรง
ยิ่งกะรัตมากเท่าไรเพชรก็จะยิ่งเม็ดใหญ่มากเท่านั้น
Color
Color คือการวัดว่าเพชรมีความขาวมากแค่ไหนซึ่งความขาวนี้จริงๆแล้วหมายถึงการไม่มีสีแต่หากมีสีเจือปนก็จะออกเป็นสีเหลืองโดยจะวัดด้วยมาตรฐานD to Z Grading เรียงจากD Color ลงมาดังนี้:
D Color = เพชรน้ำ100%
E Color = เพชรน้ำ99%
F Color = เพชรน้ำ98%
G Color = เพชรน้ำ97%
H Color = เพชรน้ำ96%
I Color = เพชรน้ำ95%
เพราะฉะนั้นเพชรD Color คือเพชรที่ขาวที่สุดและมีมูลค่าสูงที่สุด
ส่วนเพชรZ Color คือเพชรที่เหลืองและมีมูลค่าน้อยที่สุด
แต่ไม่ได้หมายความว่า”เพชรสีเหลือง”จะไม่ดี
เพราะหากเพชรมีสีเหลืองมากจนพ้นZ Color ไปแล้ว
จะกลายเป็น“ Fancy Color Grading Scale “
ซึ่งโดยทั่วไปเพชร“ Fancy Color “จะมีราคาสูงและหายากมาก
***คุณมักจะเคยได้ยินคนพูดถึงเพชรเบลเยียมน้ำ100% หรือเพชรD Color กันอยู่บ่อยๆเพราะเป็นเพชรน้ำงามที่สุดและเป็นเพชรน้ำที่ได้รับความนิยมสูงแต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงกรณีที่เพชรมีสีแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นสีน้ำเงินสีชมพูและสีเหลืองซึ่งเพชรสี(Fancy Color) เป็นเพชรที่หายากจึงมีมูลค่าสูงกว่าเพชรสีขาวทั่วไปในบางกรณีอาจจะแพงกว่าหลายเท่าตัว
Clarity
Clarity หมายถึงความสะอาดของเพชรโดยนักอัญมณีจะเป็นผู้ให้คะแนน
ด้วยกล้องขยาย10 เท่าเพื่อวิเคราะห์หาตำหนิจุดดำหรือร่องรอย
อันไม่พึงประสงค์ภายในเพชรโดยทั่วไปClarity ของเพชรที่อยากจะแนะนำให้คุณซื้อและสะสมควรอยู่ระว่างVVS1/2 – VS1/2 เพราะเป็นคุณภาพที่ถือว่าสะอาดและมีมูลค่าสมราคาที่สุดหากต่ำลงไปมากกว่านี้เช่นSI คุณจะมีมองเห็นตำหนิบนเพชรได้ด้วยตาเปล่าแบบง่ายๆซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคงไม่อยากให้มีบนเพชรของคุณอย่างแน่นอน
Cut
Cut นั้นหมายถึงคุณภาพในการเจียระไนเพชรซึ่งจะมีระบุตั้งแต่Excellent ไปจนถึงPoor ซึ่งเป็น1 ใน3 ส่วนของการที่จะเป็นเพชร3 Excellent หากคุณมีเพชรกลมทรงมาตรฐานแบบที่มี57 เหลี่ยมหลายคนอาจให้ความสำคัญกับColor เป็นหลักโดยเฉพาะเพชรD Color (น้ำ100%) เพราะใครๆก็ชอบให้เพชรดูขาวไว้ก่อนบ่อยครั้งที่คุณคงจะได้เห็นเพชรขาวแต่กลับดูแล้วหมองๆไม่เล่นไฟนั่นก็เป็นเพราะCut ยังไม่ดีพอนั่นเอง
สำหรับมืออาชีพส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญกับCut มากที่สุดใน4C’s of Diamonds ทั้งหมดเพราะจะส่งผลต่อประกายและความเล่นไฟของเพชรโดยตรงเพราะฉะนั้นเพชรทุกเม็ดที่คุณควรคัดเลือกควารจะเป็นเพชร3 Excellent เพราะว่าจะเล่นไฟได้ดีกว่าเพชรที่เป็นเกรดรอง
4. ข้อมูลเพิ่มเติมและหมายเหตุ
Polish และSymmetry เป็นอีก2 ใน3 ปัจจัยสำคัญของเพชรที่จะเป็น3 Excellent
Polish
Polish นั้นหมายถึงความเรียบของพื้นผิวเพชรหากเพชรมีพื้นผิวเรียบเนียนก็จะทำให้สามารถสะท้อนไฟได้อย่างชัดเจนและไม่ดูผิดเพี้ยนไปถ้าให้ผมเปรียบเทียบก็คงจะคล้ายกับการส่องไฟลงบนกระจกเรียบๆซึ่งจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าการส่องไฟลงบนกระจกที่มีเม็ดทรายโปรยอยู่
Symmetry
Symmetry คือความสมมาตรของหน้าเพชรทั้งหมดว่าดูแล้วมีความเท่าเทียมกันแค่ไหนเมื่อมองจากมุมต่างๆเพชรที่มีความสมมาตรดีเวลาส่องไฟลงไปแล้วแสงจะตกกระทบตามองศาได้อย่างถูกต้องทำให้ดูมีประกายไฟมากกว่าเพชรที่ไม่สมมาตร
Fluorescence
Fluorescence หมายถึงปฏิกิริยาที่เพชรแสดงออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงUV
โดยทั่วไปเพชรที่ติดFluorescence จะดูแล้วออกเป็นสีฟ้าๆเพราะฉะนั้นเพชรที่ไม่ติดFluorescence จึงได้รับความนิยมมากกว่าเพชรที่ติดFluorescence
หากเป็นเพชรที่ไม่ติดFluorescence ในใบเซอร์GIA จะระบุว่าNone (ไม่มี) ในขณะที่ใบเซอร์HRD จะระบุว่าNil (ปราศจาก) ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายเหมือนกัน
เสียดายพื้นที่กระทู้ได้เพียงเท่านี้ หากท่านใดอ่านแล้วสนใจเรื่องราวของอัญมณีที่ชื่อว่า “ชื่อว่าเพชร”
โดยผู้ซื้อที่กำบังศึกษาข้อมูลเพ่อแย้งกับคำโฆษณา ชวนเชื่อ โปรดติดตาม bolg ค่ะคิดว่าคงพอจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
กระทู้นี้เกิดจากการโฆษณา เพชรสังเคราะห์ใน ig ต้องเจาะลึกศึกษากันหน่อย โฆษณาเกินจริงไปมันไม่ถูกต้อง
1. ส่วนบน: ชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ สิ่งแรกที่คุณควรสังเกตคือชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ สำหรับวงการเพชรในประเทศไทยแล้วสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือGIA และHRD
GIA เป็นองค์กรแบบไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและผู้ขายอัญมณีด้วยมาตรฐานการให้คะแนนเพชรพลอยที่เคร่งคัดจนได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในวงการเพชรพลอย
เพชรเซอร์HRD
HRD เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มีพันธกิจเดียวกันกับGIA ก่อตั้งขึ้นในประเทศเบลเยียมและถือเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากเป็นอันดับต้นๆในฝั่งยุโรป
GIA เทียบกับHRD
เรื่องความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 สถาบันนับได้ว่าเยี่ยมยอดทั้งคู่ความแตกต่างหลักๆที่คุณจะได้พบเจอในฐานะผู้ซื้อคือ
เพชรHRD จะได้รับการซีลอยู่ภายในแผงพลาสติกอย่างแน่นหนาตั้งแต่ออกจากแล็บ
เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อในขณะที่
เพชรGIA จะมาเป็นเพชรร่วงในซองที่แนบมากับใบเซอร์แต่โดยทั่วไปเพชรใบเซอร์GIA จะมีมูลค่าสูงกว่าเพชรHRD
เนื่องจากGIA เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเหนือกว่าจึงได้รับความนิยมมากกว่า
2. เลขใบเซอร์รูปทรงเพชรและสัดส่วน
เลขใบเซอร์
รายละเอียดต่อไปที่คุณจะได้พบคือเลขใบเซอร์เปรียบเสมือนSerial Number
ที่ใช้สำหรับระบุข้อมูลของเพชรแต่ละเม็ดโดยจะมีเลขเดียวกันกับที่คุณจะพบบนเลเซอร์ขอบเพชร
ในบรรทัดต่อมาคุณจะพบข้อมูลเกี่ยวกับรูปทรงเพชรและสัดส่วนของเพชร
ที่วัดด้วยหน่วยมิลลิเมตรเพชรที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อคือเพชรกลม
โดยในใบเซอร์จะระบุเป็นภาษาอังกฤษว่าRound Brilliant
3. หัวใจสำคัญ: 4C’s of Diamonds
4C: Carat, Color, Clarity และCut ตามลำดับ
Carat
Carat หมายถึงน้ำหนักของเพชรซึ่งวัดเป็นหน่วยกะรัตเสมอ(1 กะรัต= 0.2 กรัม)
โดย1 กะรัตจะมีค่าเท่ากับ100 ตัง(ความหมายเดียวกันกับ1 บาทที่แปลงได้เป็น100 สตางค์) หลายคนนิยมเรียกน้ำหนักเพชรด้วยหน่วยตังกันจนคุ้นเคยเช่นเพชร50 ตัง
ก็คือเพชร0.50 กะรัตนั่นเอง น้ำหนักกะรัตของเพชรจะส่งผลต่อความใหญ่ของเพชรโดยตรง
ยิ่งกะรัตมากเท่าไรเพชรก็จะยิ่งเม็ดใหญ่มากเท่านั้น
Color
Color คือการวัดว่าเพชรมีความขาวมากแค่ไหนซึ่งความขาวนี้จริงๆแล้วหมายถึงการไม่มีสีแต่หากมีสีเจือปนก็จะออกเป็นสีเหลืองโดยจะวัดด้วยมาตรฐานD to Z Grading เรียงจากD Color ลงมาดังนี้:
D Color = เพชรน้ำ100%
E Color = เพชรน้ำ99%
F Color = เพชรน้ำ98%
G Color = เพชรน้ำ97%
H Color = เพชรน้ำ96%
I Color = เพชรน้ำ95%
เพราะฉะนั้นเพชรD Color คือเพชรที่ขาวที่สุดและมีมูลค่าสูงที่สุด
ส่วนเพชรZ Color คือเพชรที่เหลืองและมีมูลค่าน้อยที่สุด
แต่ไม่ได้หมายความว่า”เพชรสีเหลือง”จะไม่ดี
เพราะหากเพชรมีสีเหลืองมากจนพ้นZ Color ไปแล้ว
จะกลายเป็น“ Fancy Color Grading Scale “
ซึ่งโดยทั่วไปเพชร“ Fancy Color “จะมีราคาสูงและหายากมาก
***คุณมักจะเคยได้ยินคนพูดถึงเพชรเบลเยียมน้ำ100% หรือเพชรD Color กันอยู่บ่อยๆเพราะเป็นเพชรน้ำงามที่สุดและเป็นเพชรน้ำที่ได้รับความนิยมสูงแต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงกรณีที่เพชรมีสีแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นสีน้ำเงินสีชมพูและสีเหลืองซึ่งเพชรสี(Fancy Color) เป็นเพชรที่หายากจึงมีมูลค่าสูงกว่าเพชรสีขาวทั่วไปในบางกรณีอาจจะแพงกว่าหลายเท่าตัว
Clarity
Clarity หมายถึงความสะอาดของเพชรโดยนักอัญมณีจะเป็นผู้ให้คะแนน
ด้วยกล้องขยาย10 เท่าเพื่อวิเคราะห์หาตำหนิจุดดำหรือร่องรอย
อันไม่พึงประสงค์ภายในเพชรโดยทั่วไปClarity ของเพชรที่อยากจะแนะนำให้คุณซื้อและสะสมควรอยู่ระว่างVVS1/2 – VS1/2 เพราะเป็นคุณภาพที่ถือว่าสะอาดและมีมูลค่าสมราคาที่สุดหากต่ำลงไปมากกว่านี้เช่นSI คุณจะมีมองเห็นตำหนิบนเพชรได้ด้วยตาเปล่าแบบง่ายๆซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคงไม่อยากให้มีบนเพชรของคุณอย่างแน่นอน
Cut
Cut นั้นหมายถึงคุณภาพในการเจียระไนเพชรซึ่งจะมีระบุตั้งแต่Excellent ไปจนถึงPoor ซึ่งเป็น1 ใน3 ส่วนของการที่จะเป็นเพชร3 Excellent หากคุณมีเพชรกลมทรงมาตรฐานแบบที่มี57 เหลี่ยมหลายคนอาจให้ความสำคัญกับColor เป็นหลักโดยเฉพาะเพชรD Color (น้ำ100%) เพราะใครๆก็ชอบให้เพชรดูขาวไว้ก่อนบ่อยครั้งที่คุณคงจะได้เห็นเพชรขาวแต่กลับดูแล้วหมองๆไม่เล่นไฟนั่นก็เป็นเพราะCut ยังไม่ดีพอนั่นเอง
สำหรับมืออาชีพส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญกับCut มากที่สุดใน4C’s of Diamonds ทั้งหมดเพราะจะส่งผลต่อประกายและความเล่นไฟของเพชรโดยตรงเพราะฉะนั้นเพชรทุกเม็ดที่คุณควรคัดเลือกควารจะเป็นเพชร3 Excellent เพราะว่าจะเล่นไฟได้ดีกว่าเพชรที่เป็นเกรดรอง
4. ข้อมูลเพิ่มเติมและหมายเหตุ
Polish และSymmetry เป็นอีก2 ใน3 ปัจจัยสำคัญของเพชรที่จะเป็น3 Excellent
Polish
Polish นั้นหมายถึงความเรียบของพื้นผิวเพชรหากเพชรมีพื้นผิวเรียบเนียนก็จะทำให้สามารถสะท้อนไฟได้อย่างชัดเจนและไม่ดูผิดเพี้ยนไปถ้าให้ผมเปรียบเทียบก็คงจะคล้ายกับการส่องไฟลงบนกระจกเรียบๆซึ่งจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าการส่องไฟลงบนกระจกที่มีเม็ดทรายโปรยอยู่
Symmetry
Symmetry คือความสมมาตรของหน้าเพชรทั้งหมดว่าดูแล้วมีความเท่าเทียมกันแค่ไหนเมื่อมองจากมุมต่างๆเพชรที่มีความสมมาตรดีเวลาส่องไฟลงไปแล้วแสงจะตกกระทบตามองศาได้อย่างถูกต้องทำให้ดูมีประกายไฟมากกว่าเพชรที่ไม่สมมาตร
Fluorescence
Fluorescence หมายถึงปฏิกิริยาที่เพชรแสดงออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงUV
โดยทั่วไปเพชรที่ติดFluorescence จะดูแล้วออกเป็นสีฟ้าๆเพราะฉะนั้นเพชรที่ไม่ติดFluorescence จึงได้รับความนิยมมากกว่าเพชรที่ติดFluorescence
หากเป็นเพชรที่ไม่ติดFluorescence ในใบเซอร์GIA จะระบุว่าNone (ไม่มี) ในขณะที่ใบเซอร์HRD จะระบุว่าNil (ปราศจาก) ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายเหมือนกัน