มีเวลาน้อย ก็เที่ยวได้ นี่คือคอนเซป ในทริปนี้
ขึ้นเขาขึ้นดอย ไม่จำเป็นต้องไปตอนเช้าอย่างเดียว ขึ้นตอนเที่ยงก็เจอหมอกลอยมาปะทะหน้าได้เหมือนกัน ไม่ร้อนอย่างที่คิด
ครั้งนี้เราไปเชียงรายมาค่ะ ถึงที่แรกก็เที่ยงแล้ว อากาศก็ทั่วๆไปมีแดดบ้าง แต่โดยรวมเย็นสบายๆค่ะ แถมยังมีหมอกจางๆให้พอได้สัมผัสอีกด้วย ใครอยากออกไปใกล้ชิดธรรมชาติ รับพลังธรรมชาติ สูดออกซิเจนฟอกปอด แต่เวลาน้อยมีเวลาวันเดียวก็สามารถค่ะ Routeนี้ แนะนำเลยค่ะ ไปได้ถึง4ที่ คนแทบไม่มีหรือเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ได้ค่ะ เขาทั้งลูกเป็นของเรา ไปเริ่มที่แรกกันเลยดีกว่าค่ะ

วนอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่า ภูชี้ฟ้า เป็นภูที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเชียงราย เราเห็นต่างชาติก็ยังขึ้นมา ภูชี้ฟ้าอยู่ระหว่างรอยตะเข็บชายแดนไทย ลาว มองไกลๆบริเวณปลายสุดของหน้าผามีลักษณะแหลม ซึ่งในหลายๆดอยที่เคยไปมาก็มีรูปร่างคล้ายแบบนี้หลายที่ หากใครอยากชมทะเลหมอกก็ต้องมาลุ้นกันแต่เช้า ควรขึ้นไปยอดภูตั้งแต่ฟ้ายังมืด ประมาณตี5 เพื่อรอชมความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นและวัดดวงเอากับทะเลหมอกเน้อ ส่วนในรูปเราขึ้นไปถึงตอนเที่ยง ก็ยังได้บรรยากาศที่ไม่คิดว่าจะได้ อยู่ๆหมอกจางๆก็พัดมา
การเดินทาง : เราสามารถขับรถมาจอดทางขึ้นได้เลย แล้วเดินต่ออีก760เมตร ด้วยทางที่ไม่ลำบาก สบายๆ อาจมีชันบ้างนิดหน่อยค่ะ

ระหว่างทางเดินขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขับรถตามเรามา เหมือนจะรู้ว่าเราไปไหน ตามแม้กระทั่งเราขับเลย ถึงรู้ว่าเขาตาม ฮาา

เด็กๆที่นี่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน น่าอิจฉาสวนหลังบ้านของน้องๆเลยค่ะ 
อ่อ! ไม่คิดว่าที่นี่จะมีทาก เพื่อนเราเดินเข้าไปในต้นไม้หญ้าๆ ได้ทากติดขามาตัวนึง ขนลุกซู่ รีบเพ่นเลยจ้า ไม่ได้กลัวนะแต่ก็ไม่อยากเสียเลือด


เรื่องราวระหว่างทางจากภูชี้ฟ้าไปภูชี้ดาวค่ะ สวยจนต้องจอดรถลงมาเลยจ่ะแม่ 


ภูชี้ดาว ห่างจากภูชี้ฟ้าประมาณ8โล ใกล้กันมากๆ ภูนี้จะเดินเหนื่อยหน่อยเพราะค่อนข้างชันแต่เดินง่าย ถ้าเป็นสมัยก่อนหลายปีที่แล้วที่เป็นที่รู้จักใหม่ๆ คงลำบากและอันตรายน่าดู เดินไปพักถ่ายรูปไปแปปๆก็ถึง 

เดินขึ้นมา3-4ร้อยเมตร ก็จะหายเหนื่อยกลับวิวพาโนรามา มองลงไปจะเห็นลานจอดรถที่เป็นจุดเริ่มต้นเดินขึ้นมา

ทางเดินสู่ปลายเขา มีรั้วกั้นช่วยเซฟตี้ระดับนึงพออุ่นใจ แต่หากใครไปยังไงก็ต้องระวังตัวเองให้มากสุดเพื่อความปลอดภัย มองจากมุมนี้ไกลๆจะเห็นยอดแหลมๆของภูชี้ฟ้าด้วย แถมยังแอบเห็นสัตว์ป่าเดินขบวนกันเป็นแถว ไม่แน่ใจว่าตัวอะไรเพราะมันไกลแค่เห็นว่าขยับเดิน

เห็นมั้ยล่ะ ไม่มีใครเลยไม่ต้องเบียดใคร ไปตอนบ่ายสิคะ สวยเหมือนกัน ภูชี้ดาวเป็นของเราาาา

วิวโดยรอบ ภูชี้ดาว ทิวเขาล้อมรอบ แค่นี้ก็รับพลังกลับไปทำงานกันต่อได้ล่ะ

นี่คือทาง ตอนลง มันโยก เด้งตลอด ถ่ายมาได้แค่นี้ ในส่วนอื่นต้องเกาะไว้อย่างเดียวไม่สามารถจับภาพมาฝากได้ค่ะ
การเดินทาง : รถส่วนตัวไม่สามารถขึ้นถึงด้านบนเนื่องจากทางชัน แคบ ขรุขระ ลูกรัง แนะนำว่าจ้างรถชาวบ้านจะชำนาญทางและปลอดภัยกว่า ระยะทางขึ้นไป3โล คนละ100บาท เหมาไม่เกิน5คน คันละ500บาท เราติดต่อที่ พี่ยี เบอร์ 0821840504 จะบอกว่าราคานี้คือคุ้มค่าแล้วล่ะ ทางมันไม่ง่ายจริงๆ แค่นั่งเฉยๆยังเพลีย ส่วนมอเตอร์ไซค์เราเห็นมีรีวิวขี่ขึ้นไปได้นะ แต่เราว่ามันก็ลำบากพอตัว แล้วแต่จะสะดวกกันค่ะ

ภูชี้เดือน เป็นเทือกเขาชายแดนไทย-ลาว ที่มองไปฝั่งตรงข้ามหรือหลุดขอบเขานี้ไปคือประเทศลาวแล้ว เราอยู่กันที่ชายแดนพอดีเลย อยู่ห่างจากภูชี้เดือนแค่กิโลเดียวเท่านั้น ที่นี่ก็เหมือนภูชี้ดาว รถยนต์ไม่สามารถขับขึ้นได้เอง แนะนำรถชาวบ้านค่ะ ก่อนจะขึ้นต้องมีการเช็คก่อนด้วยว่าขึ้นได้มั้ย เพราะทางโหดกว่าภูชี้ดาว ถนนแคบสวนกันลำบากมาก เมื่อรถขึ้นมาจอดจะเดินไปจุดชมวิวจุดแรกแค่เพียง 50 เมตรทางไม่ชันเหมือนภูชี้ดาวเดินง่ายสุด และก็จะมีอีกฝั่งนึงเดินต่อไปถึงยอด400 เมตร ทางก็ตามภาพเลยค่ะ  ที่นี่ชมวิวได้360องศา มองไปทางไหนก็เจอแต่เขา ใครจะมาภูชี้เดือนสามารถมาชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกอีกด้วยค่ะ

ส่งตัวแทนไปชมวิวด้วยระยะทางขึ้น400เมตรค่ะ เราขอนั่งเสพวิวท่ามกลางแดดแต่ไม่ร้อนที่จุดชมวิวแรกพอ

การเดินทาง : รถส่วนตัวไม่สามารถขึ้นถึงด้านบนเนื่องจากทางชัน แคบ ขรุขระ ลูกรัง แนะนำว่าจ้างรถชาวบ้านจะชำนาญทางและปลอดภัยกว่า ทางขับรถขึ้นระยะทาง2800เมตร คนละ100บาท เหมาไม่เกิน5คน คันละ500บาท จะให้ชาวบ้านแถวภูชี้ดาวติดต่อให้ก็ได้ค่ะ หรือติดต่อทางภูชี้เดือน ได้ที่เบอร์ 0951390666

มาถึงที่สุดท้ายของวันเดย์ทริปเที่ยว4ภูแล้วค่ะ เราตั้งใจมาถึงที่นี่ที่สุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตก 
ดอยผาตั้ง ห่างจากภูชี้เดือน14โล เส้นทางเดินขึ้นยอดดอยอยู่ติดกับลานจอดรถ สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในตอนเช้าและชมพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น ด้วยความที่ไปมา3ภูแล้ว แค่เห็นทางขึ้นก็แทบไม่อยากไปต่อ ต้องบอกก่อนว่าที่นี่มีจุดให้ได้ไปชมวิวหลายจุด หากจะไปสุดต้องไปที่เนิน103 จะได้ชมทิวเขาอันสวยงามของดอยผาตั้งซึ่งต้องเดินไป950เมตร เวลาเราไม่ทัน เราเลยจะไปแค่เนิน102 ระยะทาง450เมตร ระหว่างทางมันน่ารักมากๆเลยค่ะ มีดอกไม้ขาวๆที่เราเห็นได้ทั่วๆไป แต่พอมันรวมตัวกันเยอะๆ กลับรู้สึกชอบมากและยิ่งแสงเย็นส่องมาอีก ฟินเบอร์100จ่ะพี่จ๋า

ตอนแรกจะไปถึงเนิน102ใช่ม่ะ แต่ความเป็นจริงคือผ่านป่าหินยูนนานระยะทาง250เมตร ตรงนี้ดีมากแก สวยมาก แล้วก็เลี้ยวเข้าช่องเขาขาดระยะทาง350เมตร แล้วจะเดินต่อแต่พอเห็นบันไดกันเท่านั้นแหละ เออ!ตรงนี้สวยดีเนอะ ไม่ต้องไปหรอกวิวคงเหมือนกัน ฮาาา จริงๆแล้วคือเวลาเราก็ไม่พอแล้วด้วยแหละ เลยใช้เวลากันอยู่ตรงนี้ไปละกัน

แสงสวยมากอ่ะ กระทบกับหญ้าสีเหลืองทอง งามสุด

พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี แสงอุ่นๆ อยากหยุดเวลาไว้เแค่ตรงนี้ แต่ต้องรีบกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวจะตกเครื่องจ้า

บ๊ายบายคุณพระอาทิตย์ ไว้เราเจอกันใหม่ จบทริปด้วยพลังธรรมชาติอันเต็มเปี่ยม
หวังว่าทริป วันเดียวเที่ยวสี่ภู จะเป็นประโยชน์นะคะ มีเวลาน้อยก็ออกไปเที่ยวกันได้ค่ะ ธรรมชาติรอเราอยู่ 

ติดตามเราต่อเพิ่มเติมได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้FB:ชอบเที่ยวมีไรปะ
https://www.facebook.com/BeCrazyAboutTravel/