กราบสวัสดีมิตรหมอแคน แฟนหมอลำที่สิงสถิต ณ เวปไซต์พันทิป แห่งนี้ และที่พลัดหลงเข้ามาอีกจำนวณนึง นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วจำไม่ได้เหมือนกันที่ผมต้องออกเดินทางคนเดียว แต่รู้สึกว่าการเดินทางคนเดียวทุกครั้งนั้นมันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้เสมอในการที่จะออกไปพบเจอสิ่งที่เราไฝ่ฟ้า(ไขว่ขว้า) นั่นก็คือการที่เราได้ออกเดินทางไปเยือนที่ๆอยากไป และครั้งนี้เป็นการเดินทางภายใต้นิยามที่ว่า " The best plan is no plan " = (แผนที่ดีที่สุด คือ การไม่มีแผน) มีพี่คนนึงได้กล่าวไว้ก่อนวันที่ผมจะออกเดินทาง พอเริ่มการเดินทางก็เจอปัญหาทันทีคือ ผมไม่ได้จองตั๋วเดินทางเอาไว้ล่วงหน้า คิดว่าจะมาซื้อตอนเดินทางเลย ซึ่งผมต้องการเดินทางไปเที่ยวภาคเหนือ เช็คสภาพอากาศแล้วมี 2 จังหวัดที่น่าไป คือ แม่ฮ่องสอน กับ เชียงราย แต่ปัญหาคือตั๋วเต็ม ผมจึงตัดสินใจซื้อตั๋วรถทัวร์ลงเชียงใหม่ก่อน แล้วค่อยเช็คสภาพอากาศอีกที ผมเดินทางจาก กรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ประมาณ 6.00 น. ของวันที่ 7 ก.พ. 2559 เช็คสภาพอากาศแล้วพอๆกัน ผมจึงตัดสินใจจะไปเที่ยวเชียงรายดีกว่าและต่อรถบัสไปลงเชียงรายทันที และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ทำความรู้จักเมืองเชียงรายซะที แต่เป้าหมายของผมตอนนี้ไม่ใช่ตัวจังหวัดเชียงราย แต่เป็น ภูชี้ฟ้า ซึ่งต้องต่อรถประจำทางออกไปที่ อ.เทิง ระยะทางประมาณ 70 km. และต้องต่อรถขึ้นไปภูชี้ฟ้าอีก 50 km. ตอนที่ผมมาถึง อ.เทิง ก็บ่ายโมงแล้ว ไม่รุ้ว่ายังจะมีรถขึ้นไปไหม สอบถามแม่ค้าแถวนั้นว่าน่าจะมีรถตู้เหลืออีกคันนึงที่กำลังจะขึ้นไปส่งนักท่องเที่ยวที่ภูชี้ฟ้า แต่ต้องลุ้นเอาว่าจะยังมีที่นั่งเหลือมั้ย และในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี รถตู้เหลือที่ให้ผมนั่งได้เป็นคนสุดท้ายพอดี เดชะบุญพ่อคุณทูนหัวของบ่าว งานนี้ผมได้ไปต่อครับ
ระหว่างการเดินทางจะผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูซาง ซึ่งคุณลุงขับรถตู้ได้จอดให้เราทำธุระส่วนตัวกัน 10 นาที บริเณใกล้ๆจะมีน้ำตกมีนักท่องเที่ยวพากันมาพักผ่อนยุจำนวนนึง
ผมเดินทางถึงหมู่บ้านทางขึ้นภูชี้ฟ้าประมาณ 16.00 น. ใจก็อยากจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ดาวก่อน แล้วกลับมานอนที่หมู่บ้านรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้าพรุ่งนี้เช้า สอบถามคนในหมู่บ้านว่ามีรถไปภูชี้ดาวไหม ชาวบ้านบอกมันน่าจะไปไม่ทัน เพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ผมจึงตัดสินในจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ฟ้าแทนละกัน โดยจะมีรถคอยบริการพานักท่องเที่ยวขึ้นไป คนละ 30 บาท โอเค งั้นตกลงผมไปคับ
รถจะพามาถึงลานจอดรถด้านบน เราต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดดอยอีกประมาณ 200 เมตร จริงรึป่าวผมไม่แน่ใจ เห็นเขาบอกว่า 200 เมตร แต่ผมว่าทำไมมันเหนื่อยจัง ระหว่างทางจะมีเด็กดอยตัวน้อยๆมาขายพวงกุญแจ ผมขออุตหนุนเด็กไทยเพื่อก้าวไกลสู่วงการลูกหนังโลกหน่อยละกันครับ
ถึงแล้วครับ บนยอดภูชี้ฟ้านี่จากการคาดคะเนด้วยจิตสัมผัสของผม อุณหภูมิน่าจะประมาณ 8.54 องศาเซลเซียส นะครับ หรือแปลงเป็นองศาฟาเรนไฮต์ จากสูตร °F = ((9/5) × °C) + 32 จะได้เท่ากับ 47.37 องศาฟาเรนไฮต์ ครับผม
ภูชี้ฟ้าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางที่ 1,628 เมตร มีลักษณะเป็นหน้าผาที่ชี้ขึ้นฟ้า สมกับชื่อที่เรียกว่าภูชี้ฟ้านั่นละครับ
ชมพระอาทิตย์ตกเสร็จแล้ว ต่อไปคือหาที่ซุกหัวนอนท่ามกลางอากาศหนาวครับ ผมมีเต๊นและถุงนอนติดมาด้วย คืนนี้ได้ที่นอนเหมาะเจาะเลย มาสัมผัสอากาศหนาวทั้งที ต้องแบบนี้ครับ ถึงจะสมศักดิ์ศรี
เช้าวันที่ 8 ก.พ. 59 วันนี้ตื่นตีห้าเพื่อขึ้นไปรอพระอาทิตย์นะครับ ขอสารภาพว่าไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน แต่เช้านี้ผมต้องล้างหน้าแปรงฟันครับ อุณหภูมิของเช้าวันนี้น่าจะต่ำกว่าเมื่อวานนี้แน่นอน น้ำน่าจะอุณหภมิประมาณ 4.83 องศาเซลเซีสครับ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ จิบกาแฟซักหน่อยก็เดินขึ้นไปบนยอดภูกันครับ เหมือนเดิมกะเมื่อวานเลยคือ หอบ-ครับ เริ่มยอมรับสภาพสังขานของตัวเองแล้ว
วันนี้คนขึ้นมาชมพระอาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเยอะมากนะครับ เพราะช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงขาลงแล้ว นักท่องเที่วไม่เยอะเท่าช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีมาเรื่อยๆ
บนจุดสูงสุดของยอดภูจะมีหลักกิโลเมตรอยู่เพื่อปักเป็นเขตแดนระหว่าง ไทย และ ลาว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นเขาบอกว่าการแบ่งเขตแดนนั้นให้แบ่งกันที่สันเขาที่เรียกว่า (สันปันน้ำ) อธิบายเป็นภาษาง่ายๆคือ ถ้าฝนตกลงมาใส่สันเขาแล้วน้ำไหลแยกจากกันตรงไหน นั่นคือเขตแดนระหว่าง ไทย กับ ลาว
จากภาพจะเห็นว่าด้านหน้าที่ผมหันนห้าไปคือหน้าผาและมองลงไปด้านล่างจะเป็นเขตประเทศลาว นั่นแสดงว่าถ้ามีใครตกลงไปฝั่งนั้น จะกลายเป็นว่า เป็นการตายในต่างประเทศทันทีครับ
แดดเริ่มมา ทะเลหมอกเริ่มจางหายไป ได้เวลาลงจากเขาแล้ว ตอนแรกว่าจะกลับวันนี้เลย แต่คิดไปคิดมาไหนๆก็มาถึงแล้ว ยังมีที่เที่ยวใกล้ๆกันที่ยังไม่ได้ไปและเวลาก็ยังเหลืออีก 2 วัน งั้นตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืนนึงละกัน ลงจากดอยชี้ฟ้ามาทานข้าวที่หมู่บ้านด้านล่างมีหนุ่มน้อยชาวดอยขับรถมอไซด์มาถามว่า พี่จะไปไหนต่อไหม ก็เลยถามกลับไปว่า ทำไม จะพาพี่ไปหรอ คิดวันเท่าไหร่ ตกลงกันเสร็จ น้องขอ 300 บาท พาไปดอยผาตั้ง ภูชี้ดาว งั้นโอเคเลย จัดไปไอ้น้อง
ในชีวิตไม่เคยคิดเลยครับว่าบนดอยสูงขนาดนี้จะมีเด็กแว้น ไอ้น้องคนนี้มันขับรถแว้น
เข้าโค้งอย่างกะแข่งมอเตอร์จีพี ผมนี่นั่งตัวเกร็งเลย
ในที่สุดน้องแว้นชาวดอยก็พาผมมาถึง ดอยผาตั้ง เป็นดอยที่ติดกับชายแดน ไทย-ลาว เช่นกัน มองไปจะเห็นหมู่บ้านทางฝั่งลาวและแม่น้ำโขงได้ชัดเจนมาก
เดิมชมวิวถ่ายรูปเรียบร้อย น้องแว้นจะพาผมย้อนกลับไปที่ภูชี้ดาว ซึ้งอยู่กลึ่งกลางระหว่าง ภูชี้ฟ้า กับ ดอยผาตั้ง จะมีหมู่บ้านที่ทางขึ้นภูชี้ดาว ภูชี้ดาวแห่งนี้เพิ่งเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อ 6 เดือนที่แล้วนี่เองครับ ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ก็ว่าได้ ทางขึ้นจะเป็นทางที่ยากลำบากมาก ไม่สามารถเอารถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปเองได้ เพราะทางชันมากและเป็นดินที่มีหลุมขุขละมาก จะมีรถรับจ้างพาขึ้นไปนะครับ แต่ตอนผมขึ้นไปนี่น้องแว้นชาวดอยพาแว้นขึ้นไปเองเลย โหดสัส มอไซด์หมดแรง ผมต้องกระโดดลงจากรถเพื่อช่วนดันท้ายให้รถขึ้นได้
และแล้วน้องแว้นชาวดอยก็พาผมมาถึงลานจอดรถ ผมต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 200 เมตร ซึ่งทางเดินนี้เพิ่งทำใหม่ เป็นทางเดินที่ชันกว่าทางเดินขึ้นภูชี้ฟ้าด้วย
ถึงแล้วว ยอดภูชี้ดาวที่กล่าวถึง ด้านบนจะเป็นสันเขาที่มีพื้นที่รับคนที่มาชมพร้อมๆกันได้ประมาณ 30 คน เท่านั้น และจะมีรั้วกันเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
บนยอดภูชี้ดาวนี้จะสามารถมองเห็นภูชี้ฟ้าได้นะครับ ซึ่งถ้าเอาจริงๆ ภูชี้ฟ้าและภูชี้ดาว สามารถเดินไต่ลัดเลาะตามสันเขามาได้ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ว่าถ้าอยากเดินก็เดินได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ระยะทางประมาณ 8 km. แต่ค่อนข้างจะอันตรายนิดนึงนะครับ เพราะเป็นสันเขาที่สูงและมีฟื้นที่น้องมาก บางจุดสูงชัน ต้องใช้มือจับตามต้นหญ้าเพื่อดึงตัวเองขึ้นไป จึงไม่แนะนำครับ แต่ถ้าใครชอบก็สามารถเดินเท้าได้ครับ
ยอดภูชี้ดาวสามารถมองเห็นทั้งภูชี้ฟ้า และฝั่งไทย-ลาว ได้หมด พูดง่ายๆคือ สามารถมองเห็นได้ 360 องศา เลยที่เดียว
จากภาพที่ถ่ายแบบพาโนรามั่ว ความรุ้สึกผมคิดว่าในภาพน่าจะมองเห็นประมาณ 200.53 องศา นะครับ
มาถึงจุดๆนี้ แบตโทรศัพย์หมดพอดีครับ ผมเลยให้น้องพาลงจากยอดภู แล้วผมก็ให้น้องพาไปหาร้านข้าวอร่อยๆกินกัน มื่อนี้ผมเลี้ยงน้องเองครับ ตอบแทนที่น้องพาแว้น 555
กินข้าวเสร็จนั่งพักผ่อน ชาร์ทแบตโทรศัพย์เต็มแล้วก็เย็นพอดี น้องบอกจะพาไปสวนกุหลาบ เป็นของที่บ้านนอกปลูกเอง และยังมีสวนสตอเบอรี่อีกด้วย น้องเสนอมา พี่ก็ไม่กล้าขัดใจครับ อะเคร งั้นไปกันเลย
น้องบอกจะตัดดอกกุหลาบให้กลับกรุงเทพด้วย แต่ผมบอกไม่เอา ให้น้องเอาไว้ขายดีกว่าเน้อะ เอาไปก็ไม่รุ้จะถึงกรุงเทพไหม กลัวมันเหี่ยวก่อน
นอกจากสวนกุหลาบแล้ว ใกล้กันยังมีสวนสตอเบอรี่ด้วย น้องบอกเก็บกินได้เลยนะพี่ น้องบอกขนาดนี้ พี่จะรอช้าอยู่ใย จัดเลยสิคับ
เมื่ออิ่มหนำสำราณกับสตอเอบรี่สดๆแล้ว ก็เลยให้น้องพากลับ เพราะมันเย็นมากแล้ว ต้องไปหาที่กางเต๊นนอนคืนนี้ ดูท่าทางแล้ว จะหนาวกว่าเมื่อคืนแน่นอน
ได้ที่กางเต๊นเรียบร้อยก็หาไรกินหน่อยให้น้องแนะนำร้านอาหาร น้องบอกร้านนี้เลยพี่ บรรยากาสดี อะเคร จัดไป
ระหว่างรออาหารผมก็จัดไวน์เบาๆ ชิวๆคนเดียว อาหารก็มาพอดี ร้านนี้อาหารอร่อยมากครับ แนะนำเลย วิวสวยด้วย
กินเสร็จรีบหาที่อาบน้ำก่อนจะมืดครับ คืนนี้หนาวมากจริงๆ แต่ก็ได้ฟิวนะผมว่า
เช้าวันที่ 9 ก.พ. 59
วันนี้ผมก็มาทานข้าวร้านเดิม เป็นข้าวต้มใส่เห็ดหอมร้อนๆ กับอากาสหนาวๆแบบนี้ มันสววยวดดมากล้วกกเพี้ยยย
และแล้วเวลานี้ก็มาถึง เวลาที่จะต้องกลับบ้านแล้ว ผมต้องนั่งรถตู้ลงไปข้างล่างและต่อรถเข้าเชียงราย ต้องขอขอบคุณน้องหนึ่ง ไกด์พาเที่วที่แว้นได้ใจพี่จริงๆ ขอฝากผลงานของน้องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่ได้ไปหรือจะไปอีกรอบ ถ้าอยากได้ไกด์ดีๆ ราคาย่อมเยา ติดต่อน้องได้เลยครับ
โทร 093-1531454 น้องหนึ่งครับ
สุดท้ายนี้ ผิดพลาดผมก็ขออภัย ผิดใจขอรอยยิ้มจากพี่น้องแล้วกันนะครับ เจอกันทริปหน้าคร้าบบบ
ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง ภูชี้ดาว (ตอน คนเดียวก็เฟี้ยวได้ อีกแล้ววว)
ระหว่างการเดินทางจะผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูซาง ซึ่งคุณลุงขับรถตู้ได้จอดให้เราทำธุระส่วนตัวกัน 10 นาที บริเณใกล้ๆจะมีน้ำตกมีนักท่องเที่ยวพากันมาพักผ่อนยุจำนวนนึง
ผมเดินทางถึงหมู่บ้านทางขึ้นภูชี้ฟ้าประมาณ 16.00 น. ใจก็อยากจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ดาวก่อน แล้วกลับมานอนที่หมู่บ้านรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้าพรุ่งนี้เช้า สอบถามคนในหมู่บ้านว่ามีรถไปภูชี้ดาวไหม ชาวบ้านบอกมันน่าจะไปไม่ทัน เพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ผมจึงตัดสินในจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ฟ้าแทนละกัน โดยจะมีรถคอยบริการพานักท่องเที่ยวขึ้นไป คนละ 30 บาท โอเค งั้นตกลงผมไปคับ
รถจะพามาถึงลานจอดรถด้านบน เราต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดดอยอีกประมาณ 200 เมตร จริงรึป่าวผมไม่แน่ใจ เห็นเขาบอกว่า 200 เมตร แต่ผมว่าทำไมมันเหนื่อยจัง ระหว่างทางจะมีเด็กดอยตัวน้อยๆมาขายพวงกุญแจ ผมขออุตหนุนเด็กไทยเพื่อก้าวไกลสู่วงการลูกหนังโลกหน่อยละกันครับ
ถึงแล้วครับ บนยอดภูชี้ฟ้านี่จากการคาดคะเนด้วยจิตสัมผัสของผม อุณหภูมิน่าจะประมาณ 8.54 องศาเซลเซียส นะครับ หรือแปลงเป็นองศาฟาเรนไฮต์ จากสูตร °F = ((9/5) × °C) + 32 จะได้เท่ากับ 47.37 องศาฟาเรนไฮต์ ครับผม
ภูชี้ฟ้าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางที่ 1,628 เมตร มีลักษณะเป็นหน้าผาที่ชี้ขึ้นฟ้า สมกับชื่อที่เรียกว่าภูชี้ฟ้านั่นละครับ
ชมพระอาทิตย์ตกเสร็จแล้ว ต่อไปคือหาที่ซุกหัวนอนท่ามกลางอากาศหนาวครับ ผมมีเต๊นและถุงนอนติดมาด้วย คืนนี้ได้ที่นอนเหมาะเจาะเลย มาสัมผัสอากาศหนาวทั้งที ต้องแบบนี้ครับ ถึงจะสมศักดิ์ศรี
เช้าวันที่ 8 ก.พ. 59 วันนี้ตื่นตีห้าเพื่อขึ้นไปรอพระอาทิตย์นะครับ ขอสารภาพว่าไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน แต่เช้านี้ผมต้องล้างหน้าแปรงฟันครับ อุณหภูมิของเช้าวันนี้น่าจะต่ำกว่าเมื่อวานนี้แน่นอน น้ำน่าจะอุณหภมิประมาณ 4.83 องศาเซลเซีสครับ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ จิบกาแฟซักหน่อยก็เดินขึ้นไปบนยอดภูกันครับ เหมือนเดิมกะเมื่อวานเลยคือ หอบ-ครับ เริ่มยอมรับสภาพสังขานของตัวเองแล้ว
วันนี้คนขึ้นมาชมพระอาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเยอะมากนะครับ เพราะช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงขาลงแล้ว นักท่องเที่วไม่เยอะเท่าช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีมาเรื่อยๆ
บนจุดสูงสุดของยอดภูจะมีหลักกิโลเมตรอยู่เพื่อปักเป็นเขตแดนระหว่าง ไทย และ ลาว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นเขาบอกว่าการแบ่งเขตแดนนั้นให้แบ่งกันที่สันเขาที่เรียกว่า (สันปันน้ำ) อธิบายเป็นภาษาง่ายๆคือ ถ้าฝนตกลงมาใส่สันเขาแล้วน้ำไหลแยกจากกันตรงไหน นั่นคือเขตแดนระหว่าง ไทย กับ ลาว
จากภาพจะเห็นว่าด้านหน้าที่ผมหันนห้าไปคือหน้าผาและมองลงไปด้านล่างจะเป็นเขตประเทศลาว นั่นแสดงว่าถ้ามีใครตกลงไปฝั่งนั้น จะกลายเป็นว่า เป็นการตายในต่างประเทศทันทีครับ
แดดเริ่มมา ทะเลหมอกเริ่มจางหายไป ได้เวลาลงจากเขาแล้ว ตอนแรกว่าจะกลับวันนี้เลย แต่คิดไปคิดมาไหนๆก็มาถึงแล้ว ยังมีที่เที่ยวใกล้ๆกันที่ยังไม่ได้ไปและเวลาก็ยังเหลืออีก 2 วัน งั้นตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืนนึงละกัน ลงจากดอยชี้ฟ้ามาทานข้าวที่หมู่บ้านด้านล่างมีหนุ่มน้อยชาวดอยขับรถมอไซด์มาถามว่า พี่จะไปไหนต่อไหม ก็เลยถามกลับไปว่า ทำไม จะพาพี่ไปหรอ คิดวันเท่าไหร่ ตกลงกันเสร็จ น้องขอ 300 บาท พาไปดอยผาตั้ง ภูชี้ดาว งั้นโอเคเลย จัดไปไอ้น้อง
ในชีวิตไม่เคยคิดเลยครับว่าบนดอยสูงขนาดนี้จะมีเด็กแว้น ไอ้น้องคนนี้มันขับรถแว้น เข้าโค้งอย่างกะแข่งมอเตอร์จีพี ผมนี่นั่งตัวเกร็งเลย
ในที่สุดน้องแว้นชาวดอยก็พาผมมาถึง ดอยผาตั้ง เป็นดอยที่ติดกับชายแดน ไทย-ลาว เช่นกัน มองไปจะเห็นหมู่บ้านทางฝั่งลาวและแม่น้ำโขงได้ชัดเจนมาก
เดิมชมวิวถ่ายรูปเรียบร้อย น้องแว้นจะพาผมย้อนกลับไปที่ภูชี้ดาว ซึ้งอยู่กลึ่งกลางระหว่าง ภูชี้ฟ้า กับ ดอยผาตั้ง จะมีหมู่บ้านที่ทางขึ้นภูชี้ดาว ภูชี้ดาวแห่งนี้เพิ่งเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อ 6 เดือนที่แล้วนี่เองครับ ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ก็ว่าได้ ทางขึ้นจะเป็นทางที่ยากลำบากมาก ไม่สามารถเอารถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปเองได้ เพราะทางชันมากและเป็นดินที่มีหลุมขุขละมาก จะมีรถรับจ้างพาขึ้นไปนะครับ แต่ตอนผมขึ้นไปนี่น้องแว้นชาวดอยพาแว้นขึ้นไปเองเลย โหดสัส มอไซด์หมดแรง ผมต้องกระโดดลงจากรถเพื่อช่วนดันท้ายให้รถขึ้นได้
และแล้วน้องแว้นชาวดอยก็พาผมมาถึงลานจอดรถ ผมต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 200 เมตร ซึ่งทางเดินนี้เพิ่งทำใหม่ เป็นทางเดินที่ชันกว่าทางเดินขึ้นภูชี้ฟ้าด้วย
ถึงแล้วว ยอดภูชี้ดาวที่กล่าวถึง ด้านบนจะเป็นสันเขาที่มีพื้นที่รับคนที่มาชมพร้อมๆกันได้ประมาณ 30 คน เท่านั้น และจะมีรั้วกันเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
บนยอดภูชี้ดาวนี้จะสามารถมองเห็นภูชี้ฟ้าได้นะครับ ซึ่งถ้าเอาจริงๆ ภูชี้ฟ้าและภูชี้ดาว สามารถเดินไต่ลัดเลาะตามสันเขามาได้ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ว่าถ้าอยากเดินก็เดินได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ระยะทางประมาณ 8 km. แต่ค่อนข้างจะอันตรายนิดนึงนะครับ เพราะเป็นสันเขาที่สูงและมีฟื้นที่น้องมาก บางจุดสูงชัน ต้องใช้มือจับตามต้นหญ้าเพื่อดึงตัวเองขึ้นไป จึงไม่แนะนำครับ แต่ถ้าใครชอบก็สามารถเดินเท้าได้ครับ
ยอดภูชี้ดาวสามารถมองเห็นทั้งภูชี้ฟ้า และฝั่งไทย-ลาว ได้หมด พูดง่ายๆคือ สามารถมองเห็นได้ 360 องศา เลยที่เดียว
จากภาพที่ถ่ายแบบพาโนรามั่ว ความรุ้สึกผมคิดว่าในภาพน่าจะมองเห็นประมาณ 200.53 องศา นะครับ
มาถึงจุดๆนี้ แบตโทรศัพย์หมดพอดีครับ ผมเลยให้น้องพาลงจากยอดภู แล้วผมก็ให้น้องพาไปหาร้านข้าวอร่อยๆกินกัน มื่อนี้ผมเลี้ยงน้องเองครับ ตอบแทนที่น้องพาแว้น 555
กินข้าวเสร็จนั่งพักผ่อน ชาร์ทแบตโทรศัพย์เต็มแล้วก็เย็นพอดี น้องบอกจะพาไปสวนกุหลาบ เป็นของที่บ้านนอกปลูกเอง และยังมีสวนสตอเบอรี่อีกด้วย น้องเสนอมา พี่ก็ไม่กล้าขัดใจครับ อะเคร งั้นไปกันเลย
น้องบอกจะตัดดอกกุหลาบให้กลับกรุงเทพด้วย แต่ผมบอกไม่เอา ให้น้องเอาไว้ขายดีกว่าเน้อะ เอาไปก็ไม่รุ้จะถึงกรุงเทพไหม กลัวมันเหี่ยวก่อน
นอกจากสวนกุหลาบแล้ว ใกล้กันยังมีสวนสตอเบอรี่ด้วย น้องบอกเก็บกินได้เลยนะพี่ น้องบอกขนาดนี้ พี่จะรอช้าอยู่ใย จัดเลยสิคับ
เมื่ออิ่มหนำสำราณกับสตอเอบรี่สดๆแล้ว ก็เลยให้น้องพากลับ เพราะมันเย็นมากแล้ว ต้องไปหาที่กางเต๊นนอนคืนนี้ ดูท่าทางแล้ว จะหนาวกว่าเมื่อคืนแน่นอน
ได้ที่กางเต๊นเรียบร้อยก็หาไรกินหน่อยให้น้องแนะนำร้านอาหาร น้องบอกร้านนี้เลยพี่ บรรยากาสดี อะเคร จัดไป
ระหว่างรออาหารผมก็จัดไวน์เบาๆ ชิวๆคนเดียว อาหารก็มาพอดี ร้านนี้อาหารอร่อยมากครับ แนะนำเลย วิวสวยด้วย
กินเสร็จรีบหาที่อาบน้ำก่อนจะมืดครับ คืนนี้หนาวมากจริงๆ แต่ก็ได้ฟิวนะผมว่า
เช้าวันที่ 9 ก.พ. 59
วันนี้ผมก็มาทานข้าวร้านเดิม เป็นข้าวต้มใส่เห็ดหอมร้อนๆ กับอากาสหนาวๆแบบนี้ มันสววยวดดมากล้วกกเพี้ยยย
และแล้วเวลานี้ก็มาถึง เวลาที่จะต้องกลับบ้านแล้ว ผมต้องนั่งรถตู้ลงไปข้างล่างและต่อรถเข้าเชียงราย ต้องขอขอบคุณน้องหนึ่ง ไกด์พาเที่วที่แว้นได้ใจพี่จริงๆ ขอฝากผลงานของน้องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ใครที่ยังไม่ได้ไปหรือจะไปอีกรอบ ถ้าอยากได้ไกด์ดีๆ ราคาย่อมเยา ติดต่อน้องได้เลยครับ
โทร 093-1531454 น้องหนึ่งครับ
สุดท้ายนี้ ผิดพลาดผมก็ขออภัย ผิดใจขอรอยยิ้มจากพี่น้องแล้วกันนะครับ เจอกันทริปหน้าคร้าบบบ